ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่224 คู่คิ้วแห่งชีวิต
ตอนที่224 คู่คิ้วแห่งชีวิต
“นี่ฉีเล่ย นายรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นขวัญใจของสาวๆ?”
หลินชูวโม่ร้องบอกพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มแน่นิ่ง
“ไม่มีทาง! ผมจะไปเป็นขวัญใจของสาวๆได้ยังไงกัน”
ฉีเล่ยทำสีหน้าเขินอายขณะตอบ ในใจก็ได้แต่แอบคิดว่า ผู้หญิงคนนี้หน้าซื่อใจคดเชื่อไม่ได้แน่ๆ
“จริงๆ! ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน นายทั้งหน้าตาไม่หล่อ สูงก็ไม่สูง รูปร่างก็งั้นๆ…”
“เฮ้อ.. จริงอยู่ที่ผมไม่สูง รูปร่างก็ไม่ได้ดีอะไรนัก แต่ว่า… ทำไมถึงได้บอกว่าผมไม่หล่อ? อันนี้ผมไม่เห็นด้วย”
“นายไม่ใช่ผู้ชายหล่อนะ อย่างน้อยก็ไม่ได้หล่อตามนิยามความหล่อของฉันไง ทั้งรสนิยม อุปนิสัย หนวดเครา นัยน์ตา ล้วนไม่ตรงกับนิยามความหล่อของฉันเลยสักนิด ผิวก็ขาวเกินไป แล้วก็ดูอ่อนแอยังไงก็ไม่รู้… แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมสาวๆหลายๆคนต่างก็อยากจะได้อยู่ใกล้ๆนาย?”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉีเล่ยตอบกลับเสียงเบาสีหน้าหม่นหมอง เดิมทีเขาค่อนข้างอารมณ์ดี แต่ตอนนี้หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์อย่างตรงไปตรงมาจากหลินชูวโม่ ทำให้เขาอดที่จะหงุดหงิดใจขึ้นมาไม่ได้
“แต่ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะนายเป็นผู้ชายที่แตกต่างจากผู้ชายทั่วๆไป”
หลินชูวโม่ไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจของฉีเล่ยที่แสดงออกมา “นายไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆที่ฉันเคยพบเจอมา นายเป็นคนที่มีความคิดความอ่าน แล้วก็มีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นายดูซื่อๆโง่ๆ แต่กลับเป็นคนที่คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ นายเป็นคนที่ใสซื่อไร้เดียงสาเวลาอยู่กับเพื่อน แต่จะเป็นตรงกันข้ามเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู ถ้านายไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของใครบางคน นายจะไม่ปล่อยให้พวกเขาผ่านหูผ่านตาไป แต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับคนพวกนั้น…”
“บางสิ่งบางอย่างที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดีสมเหตุสมผล แต่นายกลับจะทำตรงกันข้าม หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น คนอื่นๆมองว่าต้องกินข้าวต้มเป็นอาหารเช้า แต่นายจะเป็นคนเดียวที่เดินถือชามบะหมี่ออกมา แล้วบอกกับทุกคนว่ากินบะหมี่ตอนเช้าช่างดีจริงๆ อะไรทำนองนี้.. หรือในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังเอาเป็นเอาตายกับเรื่องๆหนึ่ง แต่นายกลับเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง…”
หลินชูวโม่จ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ ก่อนจะยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดต่อทันที “แต่นั่นกลับเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของนาย ในเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าพูด นายจะพูดมันออกมาโดยไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง พูดง่ายๆก็คือนายกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ! นายกล้าทำทั้งที่รู้ว่าเมื่อทำออกไปจะต้องมีคนไม่ชอบ หรือถึงขั้นเกลียดนาย แต่การกระทำแบบนั้น กลับทำให้คนส่วนหนึ่งถึงขั้นศรัทธานายได้ ศรัทธาจนถึงขั้นเห็นนายเป็นไอดอล เห็นได้ชัดจากนักศึกษาที่นายสอนยังไงล่ะ”
“ทำไมนักศึกษาพวกนั้นถึงได้ชื่นชอบนายมากขนาดนั้น? ทำไมถึงได้มีนักศึกษามาเข้าคลาสที่นายสอนกันล้นหลาม? ทั้งที่เมื่อก่อนนี้ไม่มีใครสนใจที่จะเข้าฟังคลาสของอาจารย์แพทย์แผนจีนเลย ส่วนใหญ่ไปฟังคลาสแพทย์แผนตะวันตกกันหมด แต่ตั้งแต่นายเข้ามาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย นักศึกษาก็แห่กันมาเข้าคลาสของนายจนแน่นเอี้ยด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครก็คิดไม่ถึง!”
“แล้วทำไมหลังจากที่นายถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออก นักศึกษาของนายถึงได้กล้าก้าวออกมาปกป้องนายโดยไม่เกรงกลัวใคร? ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีอาจารย์ท่านอื่นถูกไล่ออกไปเหมือนกัน แต่ทำไมนักศึกษาถึงไม่ทำเหมือนที่ทำกับนาย? แล้วดูตอนนี้สิ นักศึกษาส่วนใหญ่ต่างพากันสวมเสื้อสูทสีฟ้าเหมือนกับนายเกือบทั้งมหาวิทยาลัย!”
“ในอนาคต ถ้าชื่อเสียงของนายเติบโตมากกว่านี้ ก็จะยิ่งมีผู้คนรู้จักนายมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งมีคนรู้จักและติดตามนายมากเท่าไหร่ ถึงตอนนั้นนายก็จะกลายเป็นไอดอลของผู้คนทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่านายจะขยับตัวทำอะไรแม้เพียงแค่เล็กน้อย นายก็จะกลายเป็นที่จับตามองของทุกๆคน แล้วถึงตอนนั้นนายจะทำยังไง?”
“ในยุคที่ศรัทธาเสื่อมสลายแบบนี้ นายไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใครๆ และไม่จำเป็นต้องทำตามกระแส แต่ต้องเป็นตัวอย่างที่สามารถให้คุณค่าดีๆกับพวกเขา ไม่ใช่แบบที่บินไปเรื่อยเปื่อยไม่ต่างจากแมลงวันหัวขาดเหมือนสังคมในยุคนี้”
“นายก็แค่ต้องทำดีที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ฉีเล่ย!” หลินชูวโม่พูดออกมาซะยืดยาว
หลังจากที่หลินชูวโม่พูดจบไปราวสองสามนาทีแล้ว ฉีเล่ยกลับยังคงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงงแน่นิ่ง จนเธอถึงกับต้องยกฝ่ามือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขาเบาๆ ปากก็ร้องถามออกไปว่า
“นี่! นายเป็นอะไรมากป่าว?”
“สงสัยคุณจะเป็นภูติผีวิญญาณสินะ!”
ฉีเล่ยพึมพำตอบเสียงเบา เขายอมรับว่าสิ่งที่หลินชูวโม่พูดมายืดยาวนั้นทำให้เขาตกใจอย่างมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้ เขารู้เพียงแค่ว่าเขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าทำไมตัวเองถึงต้องทำอะไรแบบนั้น?
เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน? แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นคนแบบนั้น?
เขาไม่เคยวิเคราะห์ตัวเองได้ทะลุปรุโปร่งแบบนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยมีใครที่สามารถมองเขาได้กระจ่างแจ้ง และขาดเหมือนหลินชูวโม่มาก่อน แม้กระทั่งตัวเขาเอง!
แต่หลินชูวโม่กลับทำได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!
หญิงสาวคนนี้ไม่เพียงมองเห็นตัวเขาในปัจจุบัน แต่ยังมองเห็นตัวเขาในอนาคตอีกด้วย ไม่เพียงเธอจะสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เวลานี้ แต่ยังสามารถบอกได้ว่า เขาควรจะทำอย่างไรในอนาคต…
ผู้หญิงคนนี้เป็นทั้งปีศาจและปราชญ์ในเวลาเดียวกัน
แต่ฉีเล่ยก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเธอคือปราชญ์ ใครให้เธอมาวิจารณ์ว่าเขาหน้าตาไม่หล่อกันเล่า?
หลินชูวโม่ขยิบดวงตาเฉี่ยวดั่งดวงตาหงส์ให้ฉีเล่ย พรอ้มกับแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมตอบกลับไปว่า
“ก็แล้วถ้าฉันเป็นภูติฝีวิญญาณที่สามารถกินเลือดกินเนื้อมนุษย์ได้จริง นายจะกลัวไหมล่ะ?”
“กลัวเหรอ?!”
แววตาของฉีเล่ยเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง พร้อมตอบกลับไปทันที “งั้นก็รีบๆมากินผมเร็วเข้า รับรองว่าผมจะไม่ต่อสู้ดิ้นรนเลยล่ะ”
จางเหวินไคเดินถือกล้องเข้ามาหาคนทั้งคู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ภาพเซ็ทแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าผู้ช่วยของผมเอาชุดมาให้เมื่อไหร่ พวกเราก็ถ่ายเซ็ทต่อไปได้เลย ไม่ทราบว่าคุณจะมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมสำหรับภาพเซ็ทใหม่ที่ที่กำลังจะถ่ายทำบ้างไหมครับ?”
หลินชูวโม่หันไปมองฉีเล่ยพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นี่.. สงสัยนายจะปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะฉีเล่ย ดูท่านายคงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ!”
“ปฏิเสธ? ปฏิเสธอะไรเหรอครับ?”
จางเหวินไคร้องถามออกมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ก็เราสรุปไอเดียสำหรับถ่ายเซ็ทสองไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนอีกแล้ว!”
“ก็คุณเตรียมการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วไม่ใช่เหรอครับ แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ?”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมว่าเราเรียกภาพถ่ายเซ็ทนี้ว่า ‘คู่คิ้วแห่งชีวิต’ ดีไหมล่ะครับ?”
“คู่คิ้วแห่งชีวิตงั้นเหรอ?”
จางเหวินไคทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ “วิเศษ! วิเศษมากเลย คุณฉีนี่อัจฉริยะชัดๆ!”
“อืมม ชื่อนี้ฟังดูดี!”
หลินชูวโม่พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับพูดต่อว่า “ชื่อนี้ถ้าผู้หญิงคนไหนได้ฟังคงจะต้องถึงกับใจสั่นแน่ มีผู้หญิงคนไหนบ้างจะไม่อยากให้ผู้ชายที่ตัวเองรัก คอยดูแลเอาใจใส่แม้กระทั่งวาดคิ้วให้ไปตลอดชีวิตล่ะ? เพราะนายเข้าใจจิตใจผู้หญิงดีแบบนี้นี่เอง ถึงได้มีผู้หญิงมากมายอยากจะอยู่ใกล้ๆนาย”
“ผมก็แค่พูดไปตามความจริง” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“แหมๆๆ คิดไม่ถึงจริงๆว่านายจะคิดชื่อโรแมนติคแบบนี้ออกมาได้นะ นี่ฉันคงต้องอยู่ให้ห่างจากนายมากๆแล้วล่ะ ไม่งั้นฉันคงจะเผลอตกหลุมรักนายจริงๆแน่ ถึงตอนนั้นฉันคงต้องกลายเป็นยายแก่เที่ยวตามแย่งชิงนายจากผู้หญิงรอบๆตัวนายแน่” หลินชูวโม่หัวเราะคิกคักขณะพูดจาหยอกเย้าฉีเล่ย
คนทำงานในกองได้ยินถึงกับพากันหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็หอบเสื้อผ้าสำหรับใส่เข้าฉากไปให้ฉีเล่ย
……..
เสื้อผ้าที่ฉีเล่ยสวมใส่เข้าฉากนั้นเรียบง่าย ทั้งเสื้อและกางเกงทำจากผ้าไหมสีขาว รองเท้าผ้าที่สวมใส่ก็สีเดียวกัน ศรีษะสวมวิกผมแบบชายหนุ่มโบราณ ภาพลักษณ์ของเขาดูเหมือนกับคุณชายในละครจีนย้อนยุคโบราณ ที่กำลังจะไปเที่ยวหาความสุขตามซ่องนางโลม
ฉากที่เซ็ทขึ้นสำหรับทำการถ่ายทำในตอนนี้ พระเอกโฆษณาเพิ่งจะตื่นนอน เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่จึงเป็นชุดเรียบง่าย กระทั่งใบหน้าของถงเซียวเซียวยังถูกลบเครื่องสำอางแต่งใหม่ให้ดร็อปลงกว่าครึ่ง
ส่วนฉีเล่ยเวลานี้ ก็แค่ทำท่าทางวาดคิ้วบนใบหน้าของถงเซียวเซียวเท่านั้น ไม่ได้เขียนคิ้วลงบนใบหน้าสวยงามของเธอจริงๆ
เวลานี้ถงเซียวเซียวเองก็ถอดชุดราชินีราคาแพงนั่นออกแล้วเช่นกัน และเปลี่ยนมาเป็นชุดผ้าแพรสำหรับสวมใส่ในห้องนอน เนื้อผ้าบางเบาเน้นให้เห็นหน้าอกใหญ่โตของถงเซียวเซียวชัดเจนมากขึ้น… และนี่คือสาเหตุที่ทำให้มือที่ถือดินสอเขียนคิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย
“นักแสดงหญิง ช่วยเล่นให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้หน่อย… นั่นล่ะ ให้เป็นธรรมชาติกว่านั้นอีก นี่ๆๆ พวกคุณสองคนเล่นเป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานแล้วนะครับ ยังจะทำหน้าแดงเขินอายกันอีกทำไมล่ะครับ?”
“อ้าวๆ แล้วนักแสดงนำชายนั่น ไปยืนบังกระจกไว้ทำไมล่ะครับ? เอียงไปทางซ้ายอีกนิด.. อีกนิด..”
“โอ๊ยๆ นักแสดงนำชายค้าบ ตั้งใจเขียนคิ้วให้นักแสดงสาวหน่อยสิครับ… นี่คุณกำลังเขียนคิ้วนะครับ ไม่ใช่กำลังแก้ผ้าให้นักแสดงหญิงสักหน่อย ตาน่ะตา มองที่คิ้วสิครับ มองต่ำกว่าคิ้วทำไมล่ะครับ?”
“อย่าหัวเราะสิครับนักแสดงชาย! คุณต้องทำสีหน้าดื่มด่ำลุ่มหลงในความรักอย่างหัวปรักหัวปรำ อีกอย่าง คุณถงก็ออกจะสวยขนาดนั้น ทำไมคุณถึงแสดงสีหน้าที่ผมต้องการออกมาไม่ได้?”
ทันทีที่เข้าสู่การถ่ายทำ จางเหวินไคก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึงขังขึ้นมาทันที ทั้งฉีเล่ยและถงเซียวเซียวเมื่อเข้าฉากแล้วก็ต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย ไม่กล้าเมินเฉย ลังเล หรือไม่ให้ความร่วมมือกับเขาแม้แต่น้อย
หลินชูวโม่เห็นฉีเล่ยถ่ายโฆษณาครั้งแรกในชีวิต และงกๆเงิ่นๆเล่นไปตามบทบาทที่จางเหวินไคสั่ง ก็ถึงกับหัวเราะออกมาจนท้องคัดท้องแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่จางเหวินไคร้องตะโกนดุฉีเล่ยให้มองหน้าถงเซียวเซียว และเตือนว่าเขากำลังวาดคิ้วไม่ได้ปลอดกระดุมเสื้อ เธอถึงกับหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน
ส่วนคนที่มุงดูอยู่ด้านนอกก็พากันยกมือขึ้นชี้มาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างสนอกสนใจ
หลังจากที่จางเหวินไคกดชัตเตอร์สองสามครั้ง ก็ย้อนกลับไปดูภาพที่ถ่าย แต่แล้วก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวังพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“พักกองกันก่อน! ส่วนพวกคุณสองคนก็ไปปรึกษาหารือกัน เพราะในภาพถ่ายที่ถ่ายออกมา ผมมองไม่เห็นความเป็นสามีภรรยาในรูปที่ถ่ายออกมาเลย”
“เซียวเซียว ผมขอโทษนะครับ ผมไม่เอาไหนจริงๆ”
ฉีเล่ยเอ่ยขอโทษถงเซียวเซียวพร้อมกับยิ้มเจื่อน เขารู้ดีว่าเป็นเพราะตัวเขาเองที่แสดงไม่เอาไหน ก็เลยทำให้ถงเซียวเซียวต้องถูกจางเหวินไคตำหนิเอาด้วย
หลังจากที่มีท่าทางเขินอายเล็กน้อยในช่วงแรกๆ ถงเซียวเซียวก็สามารถปรับตัว และสามารถเล่นไปตามบทบาทได้อย่างรวดเร็ว เธอแสดงออกมาได้เหมือนเป็นภรรยาจริงๆของฉีเล่ยเลยทีเดียว แต่คนที่ตีบทไม่แตกกลับเป็นตัวฉีเล่ยเอง
“ไม่เป็นไร! ครั้งแรกก็แบบนี้ทุกคนนั่นแหละ ตอนฉันถ่ายโฆษณาชิ้นแรกก็เป็นเหมือนนี่ล่ะ แขนขาของฉันสั่นหนักกว่านายตอนนี้อีก นายยังนิ่งกว่าฉันอีกรู้ไหม?”
ถงเซียวเซียวยิ้มพร้อมกับพูดปลอบใจฉีเล่ย เธอเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับการได้ถ่ายโฆษณากับชายหนุ่มมาก
ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นมืออาชีพ ถงเซียวเซียวไม่ควรต้องเขินอายด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายคือฉีเล่ย ซึ่งเธอเองแอบรักอยู่จริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมีอาการแบบนั้นเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขา
แม้ว่าเธอจะแอบถอดใจตั้งแต่ที่ได้ยินหลินชูวโม่เล่าว่า มีคุณหนูระดับมหาเศรษฐีขับโรลรอยส์มาชอบฉีเล่ยแล้วก็ตาม ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เธอยังมั่นใจว่าจะมีโอกาสแข่งขันได้บ้าง แต่ผู้หญิงที่เพียบพร้อมแบบนั้นเธอจะเอาชนะได้ยังไงกัน?
แต่ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้กลายมาเป็นคู่สามีภรรยาในชีวิตจริง แค่ได้แสดงบทบาทนี้อยู่หน้ากล้องก็พอแล้ว!
และด้วยสาเหตุนี้เอง เธอจึงได้กระตือรือร้นทำงานด้วยความแข็งขัน