ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่226 มีคนอยากพบ
ตอนที่226 มีคนอยากพบ
“โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย – ปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีน…”
“โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยจัดให้มีการปรึกษาฟรีที่จัตุรัสเทียนอันเหมินอันโด่งดัง และนี่เป็นครั้งแรกที่บรรดาแพทย์แผนจีนที่โด่งดังจะออกมาเดินเหินปรากฏให้เห็นตามท้องถนนง่ายๆแบบนี้…”
“โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยกำลังจะเปิดช่องให้ความรู้เรื่องสุขภาพทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง..”
“ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา จิตวิญญาณของแพทย์จะยังคงอยู่ – นี่ๆ ประโยคนี้เขียนโดยนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลังโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยเชียวนะ ตอนนี้ดูเหมือนชื่อเสียงของสถาบันนี้จะโด่งดังมากทีเดียว สื่อต่างๆพากันเล่นข่าวหมด”
ฉีเล่ยพลิกหนังสือพิมพ์ดูทีละฉบับๆ หลังจากอ่านดูแล้วเขาก็ถึงกับหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่านับวันโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยจะยิ่งโด่งดังมากขึ้น หนังสือพิมพ์ลงทุกฉบับเลยนะครับเนี่ย”
“เมื่อครู่มีรายงานข่าวทางทีวีด้วย เดี๋ยวก็น่าจะมีอีกล่ะ เธอคอยดูสิ!” หลี่ฮั่วเฉินร้องบอกฉีเล่ยพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่ทีวีตรงหน้า
“ดูเหมือนผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรงเรียนนี้คงจะมีอำนาจอิทธิพลไม่เบาทีเดียว ในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆ ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมไม่น้อยเลยนะครับ แม้แต่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งยังต้องรายงานข่าวเรื่องนี้” ฉีเล่ยเอ่ยชมจากใจ
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะ! ถ้าไม่มีอำนาจอิทธิพลเลย ก็คงจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้แน่”
หลี่ฮั่วเฉินตอบกลับแต่สีหน้าของเขาก็มีแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลก มีคนดีจริงๆแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“นี่เป็นบทสัมภาษณ์ของเขาไม่ใช่เหรอครับ? เห็นว่าปู่ของเขาเองก็เป็นแพทย์แผนจีนเหมือนกัน เขาน่าจะอยากเติมเต็มความปรารถนาของปู่ แล้วเผยแพร่ศาสตร์แพทย์แผนจีนด้วยใจจริง”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับชี้ไปที่หัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ ปากก็อ่านให้ฟังว่า “จิตที่เมตตาปราณีเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของผู้เป็นแพทย์”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดีน่ะสิ…”
หลี่ฮั่วเฉินเปรยออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้ามีคนอีกคนหนึ่งที่สามารถลุกขึ้นมาทำเรื่องแบบนี้ได้ เธอก็จะไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้เพียงลำพัง แต่จิตใจของมนุษย์ล้วนมีความโลภ ฉันกลัวแต่ว่าคนพวกนี้จะเพียงแค่ออกหาปลาเพื่อเงินเท่านั้นน่ะสิ แล้วพอได้เงินสมใจแล้ว พวกเขาก็จะจากไปโดยทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้ให้โดยไม่สนใจอะไรอีก วงการแพทย์แผนจีนของเราไม่สามารถรับแรงกระแทกรุนแรงได้มากกว่านี้หรอกนะ”
ฉีเล่ยพยักหน้ารับรู้พร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าอาวุโสหลี่กังวลเรื่องนี้มาก ผมก็จะจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดก็แล้วกันนะครับ ถ้าพรุ่งนี้มีเวลาว่า ผมจะลองแวะไปดูที่โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยด้วยตัวเอง”
“ดีแล้วล่ะ จับตาดูใกล้ชิดหน่อยก็ดี ฉันรู้สึกตะขิดตะขวงใจยังไงก็ไม่รู้สิ”
หลี่ฮั่วเฉินร้องบอก คนอย่างเขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับศาสตร์แพทย์แผนจีน และทะนุถนอมดูแลศาสตร์นี้ราวกับลูกน้อยของตัวเอง เขาจึงต้องคอยระมัดระวังคนที่จ้องจะเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์โดยไร้ซึ่งความหวังดีอย่างแท้จริง
“แล้วถงซีล่ะครับอยู่ที่ไหน?”
“อยู่บนห้อง ไม่รู้ว่าจะหลับอยู่รึเปล่า?” หลี่ฮั่วเฉินตอบกลับไป
“ถ้างั้นผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ อาวุโสหลี่เองก็รีบไปพักผ่อนล่ะครับ” ฉีเล่ยร้องบอก
“อืมม ที่ฉันนั่งรอเธอกลับมาก็เพราะจะปรึกษาหารือเรื่องนี้ล่ะ ขืนไม่ได้พูดออกไปจิตใจของฉันคงจะวุ่นวายไม่น้อยเลยล่ะ” หลี่ฮั่วเฉินร้องตอบฉีเล่ยไป
เมื่อฉีเล่ยเดินผ่านห้องนอนของหลี่ถงซี เขากลับมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของอีกฝ่ายทันที
“ใคร?”
“ผมเอง”
“มีอะไร?”
“ไม่มีอะไร แค่อยากรู้ว่าคุณนอนรึยัง?”
“…”
…..
เช้าตรู่ของวันที่สอง ระหว่างที่ฉีเล่ยยังคงนอนหลับอยู่ในห้องนอนนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
เขาเอื้อมมือไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงขึ้นมาดู และพบว่ายังไม่ทันหกโมงเช้าด้วยซ้ำ เขาจึงร้องตะโกนถามออกไปว่า “ใครครับ?”
“คุณฉีคะ ดิฉันเองค่ะ! คุณหนูบอกว่าวันนี้คุณมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ก็เลยสั่งให้ฉันมาปลุกคุณฉี่ตอนตีห้าครึ่งค่ะ คุณฉีตื่นรึยังคะ?” เสียงคนรับใช้ในบ้านร้องตะโกนบอก
“…”
“ตื่นแล้วๆ”
ฉีเล่ยร้องบอกคนรับใช้ไปทั้งที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง เขารู้ได้ทันทีว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังแก้แค้นเขาคืน
“เก่งนี่! เดี๋ยวนี้รู้จักแก้แค้นเป็นด้วย”
ฉีเล่ยพึมพำออกมายิ้มๆพร้อมกับกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว จึงได้เปลี่ยนเป็นชุดกีฬาที่หลี่ถงซีซื้อให้ไปออกกำลังกาย
หลังจากนั้น เขาก็ได้ออกจากบ้านไปประชุมที่มหาวิทยาลัย แต่จู่ๆกลับมีชายสวมใส่สูทราคาแพงหน้าตาดุดันมาขวางทางเขาไว้
“นายคืออาจารย์ฉีเล่ยใช่ไหม?”
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะออกมาพร้อมกับจ้องมองฉีเล่ย เผยให้เห็นฟันเหลืองสองแถวในปากของเขา
“ใช่!”
ฉีเล่ยจ้องมองชายหน้าตาดุดันพร้อมกับย้อนถามกลับไปว่า “แล้วนายล่ะเป็นใคร?”
“ฉันชื่อไท่โหล่ว ถ้านายพอจะมีเวลาก็ตามฉันมา มีคนต้องการพบนาย”
“มีคนต้องการพบฉันงั้นเหรอ? ถ้างั้นก็เสียใจด้วย ฉันไม่ว่าง!” ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆพร้อมกับเดินผ่านชายคนนั้นไป
หึ! เป็นผีหรือคนก็ไม่รู้ แล้วจะให้ฉันตามไปพบได้ยังไง?
“นี่นายคงไม่อยากให้ฉันใช้กำลังหรอกนะ?”
ชายหนุ่มคนนั้นแสยะยิ้มพร้อมกับใช้สองนิ้วคีบบุหรี่ที่เหลือออกจากปาก และกำส่วนที่เหลือใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
“ก็แล้วแต่”
ฉีเล่ยยักไห่อย่างไม่ใส่ใจ แต่แอบรวบรวมพลังปราณในร่างไปไว้ที่ฝ่ามือ และถ้าอีกฝ่ายกล้าลงมือ เขาก็พร้อมที่จะซัดฝ่ามือใส่ไม่ยั้งเหมือนกัน
เวลานี้ สายตาของคนทั้งสองสบกันแน่นิ่ง บรรยากาศในเวลานี้เปลี่ยนเป็นตึงเครียด และเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ต่างฝ่ายต่างนิ่งหยั่งเชิง และรอให้อีกฝ่ายเป็นคนลงมือก่อน
แต่แล้วจู่ๆ ใบไม้ใบหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาตรงกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน…
ในจังหวะที่ใบไม้กำลังจะร่วงลงสัมผัสกับพื้นดินนั้น จู่ๆไท่โหล่วก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ.. ทำไมนายต้องสร้างความลำบากให้กับฉันด้วยนะ คุณชายอุตส่าห์ส่งฉันมาเชื้อเชิญนายดีๆอย่างเป็นทางการ แล้วจะให้ฉันใช้กำลังกับนายได้ยังไงกัน? ท่านฉีครับท่านฉี ได้โปรดไปกับผมดีๆเถิดนะครับ แล้วผมไท่โหล่จะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของคุณเลยนะครับคุณฉีครับ!”
ไท่โหล่วเอ่ยขอร้องฉีเล่ยพร้อมกับคุกเข่าลง และโขกศรีษะให้เขาไม่หยุด
ฉีเล่ยเห็นแล้วก็ได้แต่นึกขบขัน และอยากจะรู้ภูมิหลังของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที จึงได้ร้องถามกลับไปว่า “ใครสั่งให้นายมาเชิญฉันไปพบ?”
“ฉินฟาง” ไท่โหล่ตอบกลับฉีเล่ยทันที
ฉินฟาง?! เป็นเขาจริงๆงั้นเหรอ?!
ฉีเล่ยรู้สึกตกใจไม่น้อย เขาเองก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอของชูซินซูไปแล้ว และไม่ได้คิดอยากจะแย่งผู้หญิงที่เขาชอบแล้วนี่นา แต่ทำไมฉินฟางยังส่งคนมาตามเขาไปพบแบบนี้อีกล่ะ?
สิ่งที่ฉีเล่ยไม่รู้ก็คือว่า ชูซินฮังได้บอกเรื่องที่ชูซินซูชอบเขาให้กับฉินฟางรู้ และในวันที่ฉินฟางไปเชิญชูซินซูด้วยตัวเอง เธอก็ได้บอกกับฉินฟางว่าจะพาคนสนิทไปด้วยคนหนึ่ง
ด้วยความเฉลียวฉลาดของฉินฟาง มีหรือที่จะคาดเดาไม่ได้ว่าคนสนิทที่ชูซินซูจะพาไปด้วยนั้นเป็นฉีเล่ย!
“ฉินฟางเป็นใคร? ฉันกับเขาไม่รู้จักกันนี่” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่! ฉันกับนายก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหมือนกัน” ไท่โหล่วตอบกลับยิ้มๆ
“ก็ฉันไม่รู้จักกับเขา แล้วทำไมจะต้องไปพบกับเขาด้วยล่ะห๊ะ?” ฉีเล่ยย้อนถามกลับไป
“ไม่แน่ว่าคุณชายฉินฟางอาจจะอยากทำข้อตกลงกับนายก็ได้ ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกน่า รับรองว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อนายมากกว่าเป็นผลเสีย ไม่งั้นฉันคงไม่มาหานายถึงที่นี่หรอกน่า”
เขาเดินตรงเข้าไปหาฉีเล่ยพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่า ทำเหมือนกับว่าทั้งคู่สนิทสนมกันมานานหลายปี
ฉีเล่ยถอยออกไปข้างๆหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการตีสนิทของไท่โหล่ว พร้อมตอบกลับไปว่า
“ก็ใช่ไง! ฉันกับนายก็ไม่รู้จักกันสักหน่อย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้เบอร์มือถือของฉันกับนาย นายก็ให้คุณชายอะไรนั่นโทรมาหาฉันก็แล้วกัน มีอะไรอยากจะพูดอยากจะถามก็คุยผ่านทางโทรศัพท์ได้ ไม่เห็นจำเป็นที่ฉันจะต้องตามนายไปด้วยเลย ไม่มีเหตุผล อีกอย่าง ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่านายจะไม่ทำร้ายฉัน?”
“เรื่องนั้นสบายใจได้ ไม่ต้องห่วง! ฉันรับรองได้ว่าจะไม่ทำร้ายนายแม้แต่ปลายเล็บ”
ไท่โหล่วรีบร้องบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าจริงจัง