ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่230 การแย่งชิงอำนาจของตระกูลใหญ่
ตอนที่230การแย่งชิงอำนาจของตระกูลใหญ่
“แล้วเขาทำเรื่องอะไรที่น่ากลัวบ้าง?” ฉีเล่ยถามต่อทันที
“หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เหอจื่อส่ายหน้าไปมา
“ไม่รู้งั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยถึงกับต้องหยุดกิน และเงยหน้าขึ้นมองเหอจื่อด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ใช่ค่ะ! เป็นเพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาทำเรื่องน่ากลัวอะไรบ้าง ทุกคนถึงได้กลัวไงคะ คนหนึ่งกลัว คนต่อๆมาก็พากันกลัวตามไปด้วย” เหอจื่ออธิบาย
“แล้วไม่เคยมีใครกล้ามีเรื่องกับเขาเลยจริงๆน่ะเหรอ?”
“ไม่อ่ะ ใครๆก็คิดว่าเขาเป็นคนดี ทุกคนที่เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้ล้วนหลงใหลในคาริสม่าของเขา แล้วก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แล้วก็หวาดกลัว คล้ายๆกับ… ความรู้สึกที่ฉันมีต่อพ่อไม่มีผิด”
เหอจื่อครุ่นคิดและพยายามอย่างมากที่จะอธิบายให้ฉีเล่ยเข้าใจ
ฉีเล่ยพยักหน้า ดูเหมือนนี่จะเป็นจุดที่ทำให้ฉินฟางดูน่ากลัว รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของผู้ชายคนนี้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย แต่เหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ที่อาวุโสกว่า
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะพูดคุยกับคุณอย่างเป็นกันเอง แต่ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างคอยเตือนคุณว่า หากคุณทำให้ผู้ชายคนนี้โกรธหรือไม่พอใจ เขาสามารถตบหน้าคุณในฐานะที่อาวุโสกว่าได้ในทันที
“แล้วในปักกิ่งนี้ยังมีใครที่เหนือกว่าเขาอีกไหม?”
ฉีเล่ยถามต่อ แต่ละคนต่างก็ต้องมีเพื่อนและมีศัตรูของตัวเอง เขาก็เลยอยากจะรู้ว่า คนอย่างฉินฟางมีเพื่อน และมีศัตรูเป็นใครบ้าง
“จะบอกว่ามีใครเหนือกว่าเขารึเปล่าก็ไม่ถูกนัก แต่เอาเป็นว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ฉินฟางเกรงๆ” เหอจื่อตอบกลับไป
“ใครเหรอ?”
“ชูซินซูแห่งตระกูลชู ผู้หญิงคนนี้ออกจะลึกลับ ไม่มีใครสามารถพบเจอเธอได้ง่ายๆหรอกนะ หนูไม่คิดว่าอาจารย์จะมีโอกาสได้พบเจอผู้หญิงคนนี้หรอก นี่จารย์ ผู้หญิงคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของประเทศจีนเลยนะคะ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นความจริงรึเปล่า?” เหอจื่อเอ่ยตอบ
“บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะสวยสู้เธอไม่ได้นะเหอจื่อ”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบยิ้มๆ เขาคิดไม่ถึงว่าชูซินซูจะเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดึงหนึ่งของจีนอีกด้วย
แต่จะว่าไป เพียงแค่เธอยิ้มให้ใครสักคน คนๆนั้นก็อาจจะหยุดหายใจไปเลยก็ได้
เหอจื่อถึงกับหน้าแดง แต่ก็ไม่เสแสร้งถ่อมเนื้อถ่อมตัว เธอตอบฉีเล่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจว่า
“หนูเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะอาจารย์ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ หนูยอมให้เธออยู่อันดับหนึ่งก็ได้ ว่าแต่อาจารย์รู้ไหมคะว่า ฉินฟางตามจีบผู้หญิงคนนั้นมาตั้งนานเป็นปีๆ แต่จนป่านนี้ยังไม่สามารถชวนเธอไปบ้านได้ด้วยซ้ำไป แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะกล้าขัดใจผู้หญิงที่เขาชอบด้วยนะคะ”
ฉีเล่ยพยักหน้า เรื่องที่ฉินฟางชอบชูซินซูนั้นเขารู้ดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นฉินฟางคงไม่ถึงกับส่งคนไปเชิญเขามาพบแน่
“ไม่มีคนอื่นอีกแล้วเหรอ?”
“ยังมีหนุ่มคุณชายฮัว – ชูซินฮังอีกคนค่ะจารย์” เหอจื่อร้องตอบทันที
คุณชายฮัว – ชูซินฮัง?
ฉีเล่ยแทบสำลักน้ำชาในปาก
“อาจารย์เป็นอะไรไปเหรอคะ?”
เหอจื่อเห็นสีหน้าท่าทางประหลาดของฉีเล่ยก็อดที่จะถามออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้
“ทำไมถึงเรียกเขาว่าคุณชายฮัวล่ะ? เขาเป็นพวกหนุ่มเพลย์บอยงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยย้อนถามยิ้มๆ และคิดไม่ถึงว่าชูซินซังถูกตั้งฉายาอะไรแบบนี้
“ฮ่าๆๆ ตาชูซินฮังนี่ไม่ได้เป็นหนุ่มเพลย์บอยหรอกค่ะจารย์ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูดีของเขา ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ อีกอย่างหมอนั่นยังมีงานอดิเรกไม่เหมือนใครด้วยนะคะ เขาชอบผู้หญิงที่อายุมากกว่า ถ้าได้เจอผู้หญิงสวยๆอายุมากกว่าแล้วล่ะก็ หมอนั่นจะตกหลุมรักได้ง่ายๆทันทีเลยค่ะ คนข้างนอกก็เลยแอบตั้งฉายาให้ว่าคุณชายฮัว ฮ่าๆๆ”
เหอจื่ออธิบายให้ฉีเล่ยฟังพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อพูดถึงฉายาที่คนแอบตั้งให้กับชูซินฮัง
“แล้วทำไมเขาถึงได้สนิทสนมกับฉินฟางได้ล่ะ?” ฉีเล่ยแกล้งถามออกไปเหมือนคนไม่รู้เรื่อง
“หมอนั่นเป็นน้องชายของชูซินซู ฉินฟางก็เลยค่อนข้างเอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษยังไงล่ะ แต่ชูซินฮังก็ออกจะนับถือฉินฟางไม่น้อยเหมือนกัน หมอนั่นเอาแต่เดินตามฉินฟางต้อยๆไปทุกที่”
เหอจื่อยังคงอธิบายให้ฉีเล่ยฟังต่อ “แต่คนที่ดูเหมือนจะทำให้ฉินฟางปวดหัวได้มากที่สุดดูเหมือนจะเป็นต่งมู่ฟานแห่งสกุลต่ง สองคนนี้เป็นเหมือนคู่แข่งกันมานาน แม้จะแข่งขันกันนานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏผลชัดเจนว่าใครเป็นผู้ชนะ เรื่องนี้คนในวงสังคมต่างก็รู้กันทั้งนั้น”
“ต่งมู่ฟาน? ผู้ชายคนนี้คงมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งไม่แพ้ฉินฟางสินะ?” ฉีเล่ยร้องถามด้วยความตกใจเล็กน้อย
ไม่บ่อยนักที่เหอจื่อจะได้มีโอกาสมานั่งกินข้าวกับฉีเล่ยสองต่อสองแบบนี้ มิหนำซ้ำยังมีโอกาสให้ความรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้กับเขาด้วย เหอจื่อจึงมีความสุขไม่น้อยทีเดียว
เธอกระดกถ้วยชาขึ้นดื่มกลั้วคอแห้งก่อนจะเล่าต่อทันที “ในเมืองหลวงมีตระกูลใหญ่ๆ ที่มีอำนาจอิทธิพลมากที่สุดอยู่ทั้งหมดสามตระกูลด้วยกันค่ะจารย์ แต่ตระกูลอันดับหนึ่งจะเป็นสกุลต่งของต่งมู่ฟานนี่ล่ะ สกุลต่งไม่เพียงแค่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของปักกิ่งนะคะ แต่ยังเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศด้วย ตามมาด้วยตระกูลฉินกับตระกูลชู แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างไกลตระกูลต่งมากล่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สกุลชูก็มีคนมีฝีมือเข้าขั้นอัจฉริยะอย่างชูเฟิงอี้ คนๆนี้ได้นำพาสกุลชูให้ขึ้นมาผงาดในวงการธุรกิจได้รวดเร็วอย่างมาก ทำให้สกุลต่งเริ่มรับรู้ได้ถึงวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตระกูล หลังจากแอบวางแผนอย่างเงียบๆอยู่สองสามปี ภายในคืนเดียว ผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งของสกุลชูก็พากันหันเหไปทางสกุลต่ง”
ด้วยภูมิหลังครอบครัวที่ไม่ธรรมดาของเหอจื่อ ทำให้เรื่องราวที่ค่อนข้างเป็นความลับ และไม่เคยเปิดเผยสู่คนภายนอกมาก่อน ถูกนำมาเปิดเผยให้ฉีเล่ยได้รู้
“แล้วที่แย่กว่านั้นก็คือ ในช่วงเวลาวิกฤติที่สองตระกูลกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชูซินซูซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ของสกุลชูกลับต้องมาป่วยหนัก ทำให้คนสกุลต่งต่างก็กระหยิ่มยิ้มย่องกันอย่างมีความสุข และรีบเร่งที่จะเอาชนะสกุลชูให้เร็วขึ้น แต่ในขณะที่สกุลชูกำลังจะล้มแหล่มิล้มแหล่นั้น จู่ๆ ก็มีหมออัจฉริยะมากฝีมือคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น แถมยังช่วยรักษาอาการป่วยของชูซินซูจนหายด้วย และนั่นทำให้ชูซินซูสามารถพลิกสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ”
เหอจื่อเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนเองรู้ให้อีกฝ่ายฟังไปเรื่อยๆ ส่วนฉีเล่ยเองก็นั่งฟังด้วยความเพลิดเพลิน
ฉีเล่ยพอจะจินตนาการภาพการต่อสู้ทางธุรกิจของตระกูลใหญ่ทั้งสองได้ และเขาก็สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังท้อแท้ที่เกิดขึ้นกับสกุลซูในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ การกระทำของตนในครั้งนั้นจะสามารถช่วยให้ชูซินซูกลับฟื้นคืนพลิกสถานการณ์ของสกุลซูขึ้นมาได้
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตัดสินใจที่จะเดินทางมาปักกิ่งเพื่อพัฒนาตัวเองแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้รักษาอาการเจ็บป่วยของชูซินซูในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน
แล้วสถานการณ์ของสามตระกูลใหญ่ในตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ?
ตระกูลชูในตอนนี้จะเป็นยังไงกัน?
แล้วตระกูลต่งที่สามารถรวมเอาตระกูลชูเข้าไปได้นั้น จะกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ และทรงอิทธิพลมากขนาดไหนกัน?
มิน่าล่ะ ชูเฟิงอี้ถึงได้ใช้วิธีการแบบนั้นสืบสวนเขา มาถึงตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป ฉีเล่ยอดลังเลใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความจริงใจในระดับหนึ่ง? เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตอนนั้นหลังจากที่เขาปฏิเสธข้อเสนอกลับไปตรงๆแบบนั้น ชายชราคงจะรู้สึกขายหน้า ก็เลยโกหกว่าเป็นเพียงแค่การทดสอบเท่านั้น?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ข้อเสนอในครั้งนั้นเป็นความต้องการของชูซินซูเอง?
ในวันที่เขาไปเยี่ยมเยียนสกุลครั้งนั้น ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ชูซินซูคงจะกระดากใจที่จะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง ก็เลยตัดสินใจให้ปู่ของเธอเป็นคนยื่นข้อเสนอแทน และถ้าเขาปฏิเสธ ก็จะได้เลี่ยงไปว่าเป็นการทดสอบของชายชราเท่านั้น
ใช่แล้ว! เป็นไปได้มากเลยทีเดียว
เป็นธรรมดาที่เมื่อใครสักคนกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เศร้าโศก สิ้นหวัง และท้อแท้ เมื่อมีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยฉุดดึงให้หลุดพ้นจากความมืดมิด ย่อมต้องรู้สึกซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณของคนๆนั้น
แต่ด้วยสถานะของชูซินซู คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เเธอมานั่งคุกเข่าต่อหน้าเขา แล้วร้องห่มร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ
เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยยังคงนั่งฟังอย่างสงบนิ่ง เหอจื่อจึงได้เล่าต่อ
“หลังจากที่ล้มเหลวในครั้งนั้น ตอนนี้ดูเหมือนตระกูลต่งก็ได้รับความเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน ทำให้ชูซินซูอาศัยโอกาสนี้ขยายอำนาจบารมีของสกุลซูออกไป และในช่วงระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆ เธอก็สามารถนำพาสกุลซูให้ขึ้นมาผงาดเป็นตระกูลอันดับสองในเมืองหลวงได้ ส่วนตระกูลฉินก็ทำตัวเป็นคนหาปลาที่เฉลียวฉลาด ในระหว่างที่ตระกูลต่งกับตระกูลซูกำลังต่อสู้คัดง้างกันนั้น สกุลฉินก็แอบขยายฐานอำนาจอย่างเงียบๆเหมือนกัน และตอนนี้ก็ได้ขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับสามต่อจากสกุลต่งกับสกุลซู”
เพียงแค่พลิกฝ่ามือเมฆก็ก่อตัว และแค่พลิกฝ่ามืออีกครั้งเมฆก็กลายเป็นสายฝน วงการธุรกิจพลิกผลันไปมารวดเร็วมากจริงๆ