ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่231 เยี่ยมเยียนโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย
ตอนที่231 เยี่ยมเยียนโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย
“แล้วต่งมู่ฟานอะไรนี่เป็นคนยังไงเหรอ?” ฉีเล่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“หมอนี่ได้ฉายาว่า ‘คนบ้า’ ได้ยินแค่ชื่อก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้วใช่ไหมคะอาจารย์ฉี?”
ฉีเล่ยทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมว่า.. ถ้าผู้ชายคนนี้งัดข้อกับฉินฟางมานานหลายปี แต่กลับยังไม่พลาดท่าให้กับฉินฟางซะที นี่แสดงว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีไอคิวที่ไม่ด้อยไปกว่าหมอนั่นเลยล่ะ”
เหอจื่อพยักหน้าและเล่าให้ฉีเล่ยฟังต่อ
“สองคนนี้ต่างกันสุดขั้วเลยล่ะค่ะจารย์ คนหนึ่งก็ทำตัวอ่อนน้อมซะเหลือเกิน ส่วนอีกคนก็จองหองอวดดีมาก ถึงแม้คนข้างนอกจะเห็นว่า ฉินฟางจะได้รับความนิยมมากกว่า แต่ต่งมู่ฟานก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น แค่เขามีเพื่อนไม่มากเท่ากับฉินฟางเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครที่สามารถเข้ากับต่งมู่ฟานได้ พวกเขาต่างก็ยอมรับว่าคนบ้าอย่างต่งมู่ฟานก็น่าร่วมงานด้วยเหมือนกัน”
“ดูเหมือนปักกิ่งจะมีแต่คงเก่งๆ แล้วก็มีพรสวรรค์ทั้งสั้นเลยนะ” ฉีเล่ยพึมพำออกมา
เหอจื่อยิ้มหวานและพูดต่อทันที “แต่หนูว่าไม่มีใครเก่งเท่าอาจารย์ฉีอีกแล้วล่ะค่ะ นี่ถ้าจารย์ฉีเกิดในตระกูลใหญ่ๆของปักกิ่ง หนูเชื่อว่าอาจารย์จะต้องโด่งดังมีชื่อเสียงแบบที่สองคนนั่นเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะขื่น แต่ก็พูดติดตลกกลับไปว่า “แล้วถ้าผมโด่งดังแบบพวกเขา ผมควรจะได้ฉายาอะไรดีะล่ะ?”
ฉีเล่ยเพียงแค่ล้อเล่นสนุกๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเหอจื่อจะทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ราวกับว่ากำลังพิจารณาเรื่องสำคัญอย่างมากอยู่
เธอถือช้อนส้อมแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อืมม เรื่องนี้เหรอคะ? หนูว่าอาจารย์ฉีเหมาะกับฉายา ‘สุดหล่อ’ อิอิ จารย์ฉีหล่อเหมือนพระเอกในนิยายที่หนูชอบอ่าน”
“หยุดๆ หยุดเลย! อย่ามาล้อเล่นแบบนี้ ขืนผมได้ฉายา ‘สุดหล่อ’ จริงๆแล้วล่ะก็ ผมคงต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ๆ ไม่เอาๆ” ฉีเล่ยร้องโวยวายพร้อมกับโบกไม้โบกมือ
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ฉีเล่ยกับเหอจื่อก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสิบหกของอาคารแห่งหนึ่ง ในเมื่อต้องการล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสถาบันแห่งนี้ เขาก็ต้องมาสำรวจดูด้วยตัวเอง
“อาจารย์ฉีคะ อาจารย์มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?”
เหอจื่อหันไปถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองป้ายสีเงินที่เขียนไว้ว่า ‘อาคารเซาท์เทอร์น’ ซึ่งติดอยู่นอกตัวอาคาร
“มาเยี่ยมเยียนคนในวงการเดียวกัน” ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ
ทั้งสองคนกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นสิบหกทันที ด้านหลังประตูใสเป็นสำนักงานหรูหราใหญ่โต และด้านหน้าประตูมีป้ายชื่อเขียนไว้ว่า ‘โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย’
ดูจากภาพลักษณ์ด้านนอก สถาบันแห่งนี้นอกจะดูหรูหราสง่างามแล้ว ยังดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมากอีกด้วย
เมื่อเห็นแขกเดินเข้ามาด้านใน พนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มก็รีบเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
“ผมอยากจะมาขอพบผู้จัดการของสถาบันแห่งนี้ครับ” ฉีเล่ยเอ่ยบอก
“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีผู้จัดการเพิ่งจะออกไปเมื่อกี้เองค่ะ ไม่ทราบว่าได้นัดไว้ล่วงหน้าไหมคะ? หรือว่ารบกวนขอชื่อของคุณผู้ชายและเบอร์ติดต่อไว้ได้ไหมคะ ผู้จัดการกลับมาจะได้ติดต่อกลับได้ค่ะ”
ฉีเล่ยมองไปรอบๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมมาใหม่อีกครั้งจะดีกว่า”
“ค่ะ สถาบันของเรายินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวตอบกลับฉีเล่ยอย่างมีมารยาท
ฉีเล่ยเดินนำเหอจื่อออกไปยืนรอลิฟท์อยู่ด้านนอกเพื่อลงไปด้านล่าง
ติ๊ง..
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก ทั้งคู่ก็เห็นคนสองคนซึ่งก็คือคังฟานกับหลู่หยานกำลังเตรียมตัวจะก้าวเดินออกมา แล้วทั้งสองฝ่ายก็บังเอิญได้พบหน้ากันอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว
นับตั้งแต่ในงานเลี้ยงคืนนั้นที่ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องผิดใจกัน ฉีเล่ยก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบกับคังฟานอีกเลย เพราะเขาไม่ได้ไปหาหลี่ถงซีที่มหาวิทยาลัยหรือที่บ้านเลยสักครั้ง และดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายออกจะห่างเหินเย็นชากันมาก
เป็นไปได้ไหมว่า หลังจากเลิกรากันครั้งนั้น ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน?
ฉีเล่ยคิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกับคังฟานที่นี่โดยบังเอิญ และดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะคิดเช่นเดียวกับเขาเหมือนกัน เพราะใบหน้าของคังฟานก็ปรากฏร่องรอยประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
แต่เมื่อได้มาเผชิญหน้ากันแบบไม่คาดคิดเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ยืนนิ่งและไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรเช่นกัน และเมื่อประตูลิฟท์กำลังจะปิดลง หลู่หยานก็รีบเอาร่างเข้ามาขวางไว้ ส่วนคังฟานก็หันไปยิ้มให้กับฉีเล่ย ก่อนจะก้าวเดินตรงไปทางโรงเรียนแพทย์แผนจีนเซี่ยหัว
ฉีเล่ยดึงมือเหอจื่อให้เข้าไปในลิฟท์ แล้วกดลงไปด้านล่างทันที ตลอดระยะทางที่ลิฟท์เคลื่อนลงไปนั้น ทั้งสองคนต่างก็นิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อกลับเข้าไปในห้องทำงาน คังฟานก็ทรุดลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับหยิบเอาบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบทันที จากนั้นจึงเอนกายพิงพนักโซฟาพร้อมกับหลับตาแน่นิ่งคล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิดอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลู่หยานก็เดินตามเข้ามา หลังจากปิดประตูห้องแล้ว เขาก็เดินเข้าไปนั่งข้างคังฟานพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันไปถามพนักงานต้อนรับมาแล้ว เธอบอกว่าสองคนนั่นมาหาผู้จัดการ เธอได้ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้แล้ว แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่เป็นไรวันหลังจะมาใหม่”
คังฟานดูดเอาควันเข้าปอดไปอึกใหญ่ หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พวกเรากับพวกมันต่างก็กินแหนงแคลงใจกัน อย่างกับเป็นความแค้นระหว่างตระกูลยังไงยังงั้น”
“แล้วพวกเราจะทำยังไง? ไม่รู้ว่าหมอนั่นมาที่นี่เพราะจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
หลู่หยานจุดบุหรี่ขึ้นสูบด้วยเช่นกัน จากนั้น ทั้งสองคนก็นั่งพ่นควันโขมงเต็มห้อง และเวลานี้ภายในห้องก็ดูเหมือนกับมีเมฆหมอกปกคลุมไม่มีผิด
“ตอนนี้โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยของเรากำลังมีชื่อเสียงอย่างมาก หมอนั่นน่าจะได้อ่านข่าวล่ะ ในฐานะที่เขาเองก็เป็นแพทย์แผนจีน ก็คงอยากจะมาหาดูให้เห็นกับตา ฉันว่าคงไม่มีอะไรหรอก หมอนั่นคงแค่อยากจะมาดูๆเท่านั้นเอง” คังฟานตอบกลับยิ้มๆ
“ฮ่าๆๆ หมอนั่นมันจะมาทำไมก็ช่างเถอะ แต่ที่แน่ๆ อะไรที่จะสามารถทำเงินได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปเลยล่ะ ตอนนี้ฉันได้ติดต่อเพื่อจะทำโฆษณากับทางสถานีโทรทัศน์ไปแล้วว่า สถาบันของเราจะเปิดคลาสสำหรับดูแลสุขภาพ โดยจะแบ่งเป็นขั้นเริ่มต้นกับขั้นแอดวานซ์ ฉันว่าจะมาปรึกษาหารือกับนายเรื่องราคาคอร์สอยู่พอดี สมัยนี้คนรวยๆล้วนแต่กลัวตายเหมือนที่นายพูดไม่มีผิดเลย ฉันว่าพวกเราสามารถกอบโกยผลประโยชน์จากวงการแพทย์แผนจีนเข้ากระเป๋าได้อีกมากเลยล่ะ”
“เรื่องนั้นนายตัดสินใจเองได้เลย ส่วนฉันก็จะเดินหน้าไปพบแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาเข้ามาร่วมงานกับเราให้มากขึ้น ที่มีอยู่ตอนนี้ยังนับว่าแค่เริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ… การปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีนครั้งใหญ่ต่างหาก ถ้าเราสามารถทำได้สำเร็จ รับรองได้ว่าประชาชนชาวจีนจะต้องแห่กันมาเป็นลูกค้าของสถาบันเราอย่างแน่นอน”
คังฟานยิ้มและพูดต่อด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ฉันว่านะ ในอนาคตคนที่จะรวยกว่าบิลเกตส์ได้จะต้องเป็นนักธุรกิจที่กุมอุตสาหกรรมด้านสุขภาพได้เท่านั้น!”
แต่ถึงอย่างนั้น คังฟานก็แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ เขาเพียงแค่ต้องการเข้ามาทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ต้องการแบกรับภารในการปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีนอย่างที่ปากพูดแม้แต่น้อย
แต่นับเป็นความโชคร้ายของคังฟาน ที่เมื่อเขาก้าวสู่เส้นทางนี้แล้ว ย่อมยากที่จะหันหลังกลับ
ฉันแค่หวังว่าหมอนั่นมันจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรหรอกนะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ใครก็หยุดฉันไม่ได้!
“อาจารย์ฉีคะ สองคนนั่นมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?”
ระหว่างที่เดินออกนอกอาคาร จู่ๆเหอจื่อก็ร้องถามขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัด
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน?”
ระหว่างที่ตอบนั้น สมองของฉีเล่ยก็กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก นั่นเพราะคำถามของเหอจื่อ คือสิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดหาคำตอบอยู่เช่นกัน
ทำไมจู่ๆคังฟานถึงได้มาที่โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย?
เขามีความเกี่ยวข้องกับสถาบันแห่งนี้ยังไงนะ?