ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่234 ฉันรักคุณ
ตอนที่234 ฉันรักคุณ
หลี่ถงซีถึงกับใจอ่อนยวบ ในที่สุดเธอก็ยอมเดินไปหยิบชุดกาน้ำชาในตู้ แล้วเดินผ่านหน้าฉีเล่ยไปที่ระเบียงห้องนอนของตนเอง
ฉีเล่ยเห็นแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะเบาๆ แล้วเดินตามหลี่ถงซีไปที่ระเบียงห้องเช่นกัน
ช่วงนี้ปักกิ่งได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงค่อนข้างเย็นลงมาก แม้ว่าบนท้องฟ้าจะมีดวงดาวทอประกายระยิบระยับ แต่ก็ไม่สามารถหายใจเอาอากาศเข้าไปได้เต็มปอดนัก
ระเบียงห้องของหลี่ถงซีคืนนี้ได้ปิดกระจกไว้ และเครื่องทำความร้อนในห้องก็ได้ถูกเปิดใช้งาน ฉะนั้นแม้ว่าหญิงสาวจะสวมใส่ชุดนอนเนื้อบาง เธอก็ไม่ได้รู้สึกหนาวแต่อย่างใด
ท่าทางการนั่งของหลี่ถงซียังคงสง่างามเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่ใบหน้ายังคงไร้ซึ่งความปิติยินดีใดๆ จะมีก็เพียงสีหน้าที่แสดงออกถึงความหลงใหล ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความหลงใหลในวิถีแห่งการชงชา หรือเป็นความหลงใหลที่ได้อยู่กันสองต่อสองกับฉีเล่ยกันแน่
ฉีเล่ยยื่นมือออกมารับถ้วยชาที่หลี่ถงซีส่งให้ขึ้นจิบ แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อืมม กลิ่นหอมมากเลย นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ดื่มชาที่คุณชงให้”
หลี่ถงซีเพียงแค่จิบชาในถ้วยของตนโดยไม่ได้ตอบอะไรฉีเล่ยกลับไป
แต่ฉีเล่ยรู้ดีว่านั่นเป็นบุคลิกของเธอ เขาจึงไม่ได้ถือสาหรือว่าใส่ใจอะไรนัก จะมีผู้ชายคนไหนบ้างที่มีโอกาสได้นั่งดื่มชากับหลี่ถงซีลำพังสองต่อสองอย่างเขาล่ะ?
“ก่อนจะมาคุณทำอะไรอยู่เหรอ?” ฉีเล่ยชวนคุย
“อ่านหนังสือ”
“อ่านหนังสืองั้นเหรอ? ผมเองก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน แล้วคุณอ่านหนังสือประเภทไหนเหรอ?”
ในที่สุดฉีเลยก็ค้นพบหัวข้อที่จะพูดคุยกับหลี่ถงซีต่อ แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปแน่ นั่นเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจดารา เซลิบริตี้ ไม่สนใจแฟชั่น ไม่เคยคิดที่จะซื้อกระเป๋าหลุยส์วิกตองรุ่นล่าสุด และไม่มีงานอดิเรกพิเศษใดๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาหัวข้อมาพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้
แต่หลี่ถงซีกลับนิ่งเงียบไปอีกครั้ง และนั่นแสดงว่าเธอไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของฉีเล่ย
แต่ด้วยสายตาที่แหลมคมของฉีเล่ย เขาแอบสังเกตเห็นหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะที่หลี่ถงซีเปิดค้างไว้อยู่ จึงได้รีบลุกขึ้นไปหยิบขึ้นมาดูทันที
“อ่อ ที่แท้ก็เป็นหนังสือเกี่ยวกับบทกลอนนี่เอง”
ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ ทุกวันนี้หาคนที่จะมานั่งอ่านบทกลอนอะไรแบบนี้ได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทกลอนต่างประเทศแบบนี้
ฉีเล่ยพลิกหน้าที่หลี่ถงซีเปิดค้างไว้ขึ้นมาอ่าน แต่ขณะที่กำลังจะเตรียมอ่านบทกลอนด้วยความตั้งอกตั้งใจนั้น เขาก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเสียก่อน
เพราะตัวอักษรทั้งหมดล้วนเป็นภาษาอังกฤษ!
ฉีเล่ยหัวเราะกระอักกระอ่วนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “โอ้โห! คุณนี่เป็นคนที่มีความรู้สูงมากเลย อ่านหนังสือที่คนอื่นอ่านแล้วไม่เข้าใจ ฮ่าๆๆ”
หลี่ถงซีปรายตามองฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หน้าหลังมีคำแปลเขียนไว้อยู่”
หญิงสาวรู้ว่าฉีเล่ยอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกจึงได้ร้องบอก ฉีเล่ยพลิกไปหน้าหลัง และพบว่ามีบทแปลภาษาจีนเขียนไว้อยู่จริงๆ หลังจากกวาดสายตาอ่านบทแปลอย่างรวดเร็วแล้ว เขาจึงได้เริ่มท่องบทแปลออกมา
“ในปีที่ฉันจากไป เมื่อใดที่อารมณ์ของเธอเศร้าหมอง จงนั่งลงข้างกองไฟ เปิดบทกลอนของฉันออกอ่าน…”
“ค่อยๆอ่านให้เสมือนว่าเธอกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน เธอจะสัมผัสได้ถึงความรักความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่…”
“หยุดอ่านได้แล้ว!” หลี่ถงซีตอบ
“ทำไมล่ะ? ผมว่าเป็นบทกลอนแปลที่ไพเราะดีออก”
ฉีเล่ยเอ่ยถามยิ้มๆ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าก็เป็นแค่บทกลอน แต่ยิ่งได้อ่านก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไพเราะจับใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีผู้คนหลากหลายที่หลงใหลในเสน่ห์ของคุณ หลงรักใบหน้าที่งดงามนั้น”
“แต่มีเพียงคนเดียวที่รักคุณอย่างบริสุทธิ์ใจแท้จริง…”
“แม้ในวันที่ความสวยของคุณร่วงโรย ด้วยอายุที่โรยราไป เขาก็ยังรักคุณอย่างสุดหัวใจ!”
“ฉันบอกให้หยุดอ่าน!”
หลี่ถงซีตวาดฉีเล่ยเสียงดังกว่าเดิม
“ไฟในเตาเผายังคงอบอุ่นและโชติช่วง ได้โปรดโน้มศรีษะของเธอลงมาเล็กน้อย…”
“ท่ามกลางขุนเขาแลหุบเขา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงดาราทอประกาย คือใบหน้าของเธอ..”
หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยจึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ลายมือของคุณสวยมากเลยนะครับเนี่ย แต่ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่า คุณจะสามารถแต่งกลอนแปลได้ไพเราะมากขนาดนี้”
จากนั้น ฉีเล่ยก็ได้ยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถงซี ถ้าคุณแก่เฒ่า ผมคงไม่สามารถแต่งกลอนให้คุณแบบนี้ได้แน่ แต่ผมจะคอยรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยให้กับคุณ แม้ว่าพอแก่เฒ่ากันไป สุขภาพของพวกเราจะเริ่มโรยราไปตามวัย แต่ผมรับปากว่าจะคอยดูแลคุณให้มีสุขภาพแข็งแรง มีใบหน้าที่สุกปลั่งอย่างคนสุขภาพดี”
อารมณ์ที่ถูกระงับและเก็บกดมาเป็นเวลานานของหลี่ถงซีระเบิดตูมขึ้นมาทันที เธอกระแทกถ้วยชาในมือลงกับโต๊ะเสียงดังปัง พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาเกรี้ยวกราด ปากก็ร้องตะโกนออกไปสุดเสียง
“ทำไม? ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ทุกครั้ง?”
ผู้ชายประเภทไหนที่ผู้หญิงเกลียดมากที่สุดอย่างนั้นหรือ?
ก็ผู้ชายที่กำลังทำให้ผู้หญิงรู้สึกสับสนจนแทบจะเป็นบ้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกมาว่า ‘ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องทำ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้’
และสำหรับหลี่ถงซีแล้ว ฉีเล่ยคือผู้ชายแบบนั้น!
หลี่ถงซีผ่านความเจ็บปวดทางใจมามาก แม้ภายนอกจะเย็นชา แต่ภายในกลับมีอารมณ์อ่อนไหวได้ง่าย หลังจากหนีความเจ็บปวดจากอเมริกากลับมาได้ เธอจึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนภายนอกอย่างสิ้นเชิง
หลังจากกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้รับการปลอบโยนและไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที จึงส่งผลให้เธอเกิดสภาวะซึมเศร้าภายใน จนกระทั่งพัฒนากลายมาเป็นโรคเกลียดผู้ชาย ในความคิดของหลี่ถงซี ผู้ชายทุกคนก็ไม่ต่างจากนักต้มตุ๋นเจ้าเล่ห์หลอกลวง ดังนั้น เมื่อต้องพบเจอกับผู้ชาย เธอจึงได้แสดงความห่างเหิน และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยท่าทีเย็นชา หรือกระทั่งแสดงความรังเกียจขยะแขยงออกมาด้วยซ้ำไป
โดยฉพาะอย่างยิ่งกับหนุ่มๆที่คอยตามจีบเธอ ผู้ชายพวกนั้นทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่อยากจะเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้นไปอีก และยิ่งผู้ชายพวกนั้นพยายามที่จะเข้าใกล้เธอมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งพัฒนาการตอบโต้กลับไปให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้เธอจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วย และคนใกล้ชิดเองก็รู้เช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไร หรือแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นได้
แต่ฉีเล่ยนั้นไม่ใช่ เขาอาศัยความเป็นแพทย์เข้าหาหลี่ถงซีได้สำเร็จ
ในครั้งแรกที่พบกัน หลี่ถงซียังเห็นฉีเล่ยเป็นศัตรูอย่างมาก แต่เพราะความดึงดันของฉีเล่ย จึงสามารถโน้มน้าวให้หญิงสาวยอมเปิดใจได้ในที่สุด อีกทั้งยังให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดีด้วย
ในการรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตใจนั้น หากผู้ป่วยเปิดใจยอมรับการรักษา นั่นย่อมหมายถึงว่าได้สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทักษะความสามารถของแพทย์ และระยะเวลาที่ใช้ในการรักษา
และภายใต้การดูแลรักษาของฉีเล่ยในครั้งนั้น หลี่ถงซีก็มีอาการดีวันดีคืนจนสามารถพูดคุยกับคนรอบข้างๆได้ แม้กระทั่งยอมยิ้มให้กับฉีเล่ยก็ยังมี…
เพียงแต่เธอยังไม่ยอมใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงาน แต่นั่นอาจเป็นเพราะบุคลิกของเธอที่เป็นมาเช่นนั้นนานหลายปี จึงใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ในกระบวนการรักษาของฉีเล่ยนั้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายของคนไข้ได้ หากเป็นผู้หญิงคนอื่น คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรนัก แต่หลี่ถงซีซึ่งอยู่ในวัย 27 ปีกลับเกิดระลอกคลื่นบางอย่างในจิตใจของเธอ
หากฉีเล่ยกับหลี่ถงซีสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีนี้ไว้ได้ และปลูกต้นรักให้เติบโตขึ้นแล้วล่ะก็… อาการของหลี่ถงซีก็อาจจะค่อยๆฟื้นคืน และกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนได้
แต่ในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนที่สุดนั้น จู่ๆ คังฟานก็กลับมา จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ร้านอาหารในครั้งนั้น และการผลุนผันจากไปของฉีเล่ยในวันนั้น ก็ได้ทำให้หลี่ถงซีกลับสู่สภาวะสูญญากาศแห่งจิตใจอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกราวกับถูกผลักตกลงเหวลึกอย่างกะทันหัน และไม่ต้องการรับรู้อะไรอีก
และนี่คือสภาวะของการปิดใจระยะเริ่มต้น!
และด้วยอุปนิสัยของหลี่ถงซี เธอเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้ภายในใจ
เมื่อเธอถูกคังฟานหลอกลวง เธอก็เลือกที่จะเงียบ เมื่อตกหลุมรักฉีเล่ย เธอก็เลือกที่จะเงียบ และเมื่อฉีเล่ยผลุนผันออกไปเพราะเข้าใจผิด เธอก็ยังคงเลือกที่จะเงียบเช่นเคย
แต่ภายใต้ความเงียบนั้น กลับอัดแน่นไปด้วยอารมณ์หลากหลายชนิดอยู่ภายใน และเมื่อถึงจุดหนึ่งเขื่อนที่สกัดกั้นอารมณ์ก็ไม่อาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป และท้ายที่สุดก็พังทลายลงมา
แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ฉีเล่ยก็กลับมา และเข้ามาวุ่นวายกับหลี่ถงซีอีกครั้ง เขาทำให้เธอทั้งรู้สึกประทับใจ และรู้สึกกำกวมในการกระทำของเขาอยู่หลายครั้ง – สิ่งที่ฉีเล่ยทำลงไปนั้น ได้ทำให้จิตใจของหลี่ถงซีกระเพื่อมขึ้นๆลงๆ ไม่สามารถสงบนิ่งได้อย่างแท้จริง
ผู้คนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ มักไล่หาไขว่คว้าในสิ่งที่ตนเองไม่มี และเป็นเพราะหลี่ถงซีชอบปกปิดความรู้สึกของตนเอง ทำให้เธอถนัดและชื่นชอบที่จะอ่านใจและอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
บทกวีนี้มีชื่อว่า ‘เมื่อเธอชรา’ เป็นบทกวีที่หลี่ถงซีโปรดปรานที่สุด บทกวีนี้พูดถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ความงดงามได้จางหายไป และกลายเป็นหญิงชราผมขาวโพลน เนื้อกายเหี่ยวย่น
แต่เมื่อฉีเล่ยเอามาอ่าน และทำเหมือนกับว่าตัวเธอคือหญิงสาวคนนั้น ทำให้กำแพงแห่งความเย็นชาของหลี่ถงซีพังทลายลงในทันที ในที่สุดเธอจึงได้ร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธแบบนั้น
ทำไม? ทำไมต้องทำแบบนี้ทุกครั้ง?
พอฉันเริ่มรักนาย นายก็ตีจาก
แต่พอฉันเริ่มลืมได้ นายก็กลับมา
ฉีเล่ยถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงความไร้เหตุผลอันผิดปกติที่หลี่ถงซีแสดงออกมา จึงได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้กระทั่งว่าตนเองได้ทำอะไรผิดไป
ก็แค่อ่านกลอน ทำไมต้องโกรธมากขนาดนี้ด้วย?
ฉีเล่ยซึ่งเป็นผู้ชายทื่อๆไม่ละเอียดอ่อน จะสามารถเข้าใจจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างไร?
แต่เมื่อเห็นหลี่ถงซีนั่งเอามือปิดหน้าน้ำตาไหลพราก พร้อมกับร้องไหสะอึกสะอื้นออกมา ฉีเล่ยจึงได้เริ่มรู้สึกตัว เขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นเธอต้องเป็นแบบนั้น จึงได้รีบวิ่งเข้าไปโอบกอดหญิงสาวที่กำลังร้องไห้จนตัวโยน พร้อมกับถามขึ้นว่า
“ถงซี นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผมทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ? บอกให้ผมรู้หน่อยได้มั๊ย?”
“ฉีเล่ย ฉันจะทำยังไงดี? ฉันควรทำยังไงดี?” หลี่ถงซีร้องถามสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลออกมานองหน้า
“คุณต้องบอกผมให้เข้าใจก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลังจากเล่าให้ผมฟังแล้ว พวกเราจะได้ค่อยๆช่วยกันคิดหาทางออกยังไงล่ะ” ฉีเล่ยเอ่ยตอบทันที
ถ้าเธอสามารถพูดออกไปได้ เธอจะต้องมานั่งเจ็บปวดใจอยู่อย่างนี้ทำไมกัน?
‘ฉันรักคุณ’ สามคำสั้นๆเพียงแค่นี้ แต่กลับต้องใช้ความกล้าหาญ และพละกำลังอย่างมหาศาลที่จะพูดมันออกมา
“ช่างเถอะ คุณไม่ต้องบอกผมก็ได้!” ฉีเล่ยปลอบใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“เดี๋ยวผมจะบอกเองว่าคุณควรต้องทำยังไง?”
จากนั้น ฉีเล่ยก็ใช้สองมือประคองใบหน้าของหลี่ถงซีไว้ พร้อมกับค่อยๆบรรจงเช็ดน้ำตาไห้ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้หญิงเย็นชาคนนี้แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างไร้การควบคุมแบบนี้
“ทำไมคุณถึงต้องทำตัวเป็นผู้หญิงแข็งแกร่งขนาดนี้? อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาสิ รู้จักทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจบ้างก็ได้ หรือปล่อยให้ผู้ชายทำหน้าที่บางอย่างให้บ้างก็ได้นี่?”
“ทำตัวแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือยังไง?”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ได้ก้มลงจูบหน้าผากและขอบตาของหลี่ถงซี เพื่อช่วยซับน้ำตาที่ไหลออกมาราวไข่มุกนั้นให้
หลี่ถงซีถึงกับตัวแข็ง และหยุดร้องไห้ทันที
ฉีเล่ยจุมพิตริมฝีปากของหลี่ถงซี หญิงสาวเองก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบคอฉีเล่ยไว้แน่นอนเช่นกัน ราวกับเกรงว่าเขาจะหายไปจากชีวิตของเธออีก