ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่236 ไม่เกี่ยวกับผม
ตอนที่236 ไม่เกี่ยวกับผม
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาสอน ฉีเล่ยจึงได้เดินไปที่ห้องพักอาจารย์เพื่อพักผ่อนเสียหน่อย
เป็นเพราะเขาเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาจึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะขึ้นไปนั่งในห้องพักอาจารย์ บางวันเขาไม่ขึ้นไปห้องพักอาจารย์เลยทั้งวันก็มี ทำให้โต๊ะทำงานของเขามีฝุ่นค่อนข้างเขรอะ
แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในห้องทำงานนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากด้านใน
ทุกคนในห้องดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตาคุยกันอย่างจริงจังมาก แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้าไป เสียงพูดคุยก็ค่อยๆเบาลง แม้แต่ฉีเล่ยเองก็ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดชัดเจนนัก เหตุการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ฉีเล่ยพบเจอจนเป็นปกติ
อาจารย์ซ่งหันไปมองฉีเล่ย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงด้วยท่าทางเขินอาย พร้อมกับทำท่าเขียนอะไรบางอย่างลงบนหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ฉีเล่ยนึกประหลาดใจก็คือ ที่ผ่านมาทุกครั้งอาจารย์ซ่งจะเป็นศูนย์กลางของการจับกลุ่ม แต่วันนี้ เขากลับแยกตัวออกมา คล้ายถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
เสี่ยวเกอเดินตรงเข้ามาหาฉีเล่ยพร้อมกับทักทายฉีเล่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“อาจารย์ฉีคะ ครั้งก่อนอาจารย์รับปากจะไปทานข้าวกับเพื่อนๆของฉัน เมื่อไหร่จะว่างคะ?”
ฉีเล่ยฟังแล้วก็นึกได้ทันทีจึงได้ตอบกลบัไปว่า “พรุ่งนี้เย็นเป็นไง?”
“ได้เลยค่ะ! ฉันจะรีบไปบอกเพื่อนๆ อาจารย์ฉีห้ามกลับคำนะคะ เพื่อนๆของฉันหลายคนอยู่ในวงการแพทย์แผนจีนเหมือนกัน พวกนั้นได้อ่านข่าวของอาจารย์ฉีในหนังสือพิมพ์ แล้วก็ชื่นชมอาจารย์มากๆเลยค่ะ” เสี่ยวเกอร้องบอกด้วยสีหน้าท่าทางดีอกดีใจ
ฉีเล่ยกวาดตามองไปทั่วห้องพักอาจารย์ แล้วจึงกระซิบถามเสี่ยวเกอว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
เสี่ยวเกอจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงพร้อมตอบกลับไปว่า “ก็ใช่น่ะสิคะ แล้วก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย นี่อาจารย์ฉียังไม่รู้เรื่องอีกเหรอคะ?”
“ผมไม่ค่อยได้ขึ้นมาที่นี่ ปกติมาถึงก็เข้าสอนเลย สอนเสร็จก็กลับบ้าน จะไปรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
ฉีเล่ยตอบกลับ สีหน้าของเขาเหมือนคนที่ตัดขาดกับสังคมอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจริงๆ
หากเขาไม่ใช่ฉีเล่ย และยังมีบุคลิกนิสัยแบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าเขาไม่มีทางที่จะได้เลื่อนขั้นอย่างแน่นอน
เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณไม่เข้าหาคนเป็นหัวหน้า แล้วคนเป็นหัวหน้าจะรู้ได้ยังไงว่าคุณมีความสามารถอย่างไรบ้าง?
‘โชคดีที่ฉันไม่ต้องอาศัยตำแหน่งพวกนี้เพื่อเลี้ยงชีพ’ ฉีเล่ยแอบคิดกับตัวเอง
“ฉันก็นึกว่าอาจารย์ฉีรู้แล้วซะอีก ถึงได้ขึ้นมาห้องพักอาจารย์วันนี้เพื่อมาดูภาพที่ไม่ค่อยได้พบเห็นมาก่อน” เสี่ยวเกอตอบยิ้มๆ
“เปล่าเลย มันเป็นความบังเอิญมากกว่า!” ฉีเล่ยตอบกลับทันที
เสี่ยวเกอเหลือบมองไปทางอาจารย์ซ่งที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบ และกระซิบเสียงเบาว่า “ก็หัวหน้าคณะอาจารย์ซีของเราน่ะสิคะ กำลังจะถูกย้าย”
“ถูกย้ายงั้นเหรอ? ทำไมถึงได้ถูกย้ายล่ะ?”
ฉีเล่ยถึงกับตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าซีลู่เฉิงจะถูกย้ายอย่างกะทันหันแบบนี้ แม้จะเคยคิดอยากให้เขาโดนย้ายมาก่อนเหมือนกัน เป็นธรรมดาที่คนเราอยากจะให้เจ้านายที่เราไม่ชอบขี้หน้าถูกย้ายๆไปซะ
ความจริงแล้ว ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองได้เริ่มคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่เป็นเพราะการเดิมพันกับอาจารย์ต่างชาติเมื่อครั้งก่อน ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีแสดงความขัดแย้งกับฉีเล่ยอย่างรุนแรงต่อหน้าสาธารณะชน
แต่หลังจากที่ได้ข่าวเรื่องซีลู่เฉิงถูกย้าย ฉีเล่ยกลับรู้สึกแปลกใจมากกว่าดีใจ
“แต่นี่ก็ยังเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นนะคะอาจารย์ฉี ยังไม่มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะถูกย้ายไปที่ไหน แล้วก็ถูกย้ายด้วยสาเหตุอะไร? ว่าแต่อาจารย์ฉีไม่รู้จริงๆใช่ไหมคะว่า ทำไมหัวหน้าคณะอาจารย์ซีถึงได้ถูกย้าย?”
สายตาที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นจ้องมองหน้าฉีเล่ยอย่างพินิจพิจารณา และทำสีหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ผมเพิ่งจะรู้จริงๆ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ถูกย้าย?” ฉีเล่ยเอ่ยตอบด้วยสีหน้าอยากรู้เช่นกัน
“แต่… ทุกคนบอกว่า เป็นเพราะอาจารย์ฉีที่ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีถูกย้าย” เสี่ยวเกอกระซิบบอกด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
ห๊ะ?! ฉันนี่นะเป็นต้นเหตุของการถูกย้ายของซีลู่เฉิง?
ฉีเล่ยได้แต่นิ่งอึ้งไป และไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
การที่ซีลู่เฉิงถูกย้ายนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉีเล่ยจริงๆ
ซีลู่เฉิงถูกย้ายเพราะปัญหาเรื่องอุปนิสัย และเรื่องส่วนตัวของเขา มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งชื่อหวังหมิน เพื่อให้สามารถได้ทำงานในมหาวิทยาลัยการแพทย์หลังจบการศึกษา เธอยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับซีลู่เฉิง เพื่อแลกกับการที่ซีลู่เฉิงจะช่วยให้เธอได้ทำงานในมหาวิทยาลัยหลังเรียนจบ ต่างฝ่ายต่างทำเพราะข้อแลกเปลี่ยนของกันและกัน
แต่บังเอิญว่าข้อความลึกซึ้งที่ทั้งคู่คุยกันนั้น ได้ถูกแฟนหนุ่มของหวังหมินที่เรียนคณะเดียวกันพบเข้า ทำให้เขาโกรธมาก และนำข้อความนี้ไปแจ้งให้กับผู้บริหารระดับสูงของทางมหาวิทยาลัยทราบ เพื่อขอให้ลงโทษซีลู่เฉิง
และด้วยข้อความที่ซีลู่เฉิงส่งให้กับหวังหมินนั้นเป็นหลักฐานที่มัดแน่น ต่อให้เขาจะปฏิเสธอย่างไร ก็ไม่อาจแก้ต่างได้ว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักศึกษาสาวที่ชื่อหวังหมินจริง และเรื่องนี้ก็ได้แพร่สะพรัดในหมู่นักศึกษาด้วยกันเองอีกด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข่าวเสียหายกับทางมหาวิทยาลัยมากไปกว่านี้ และป้องกันไม่ให้ทางมหาวิทยาลัยต้องเสียชื่อ จึงได้มีการเรียกประชุมผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยอย่างเร่งด่วน และได้มีมติให้ปลดซีลู่เฉิงออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ และย้ายให้เขาไปทำงานที่ชานเมืองแทน
แม้ว่าอธิการบดีคนก่อนจะไม่พอใจกับมติครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่านี่เป็นการแก้แค้น และเอาคืนของหลินหมิงเจิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะซีลู่เฉิงทำความผิดจริง จึงต้องเก็บเอาความแค้นครั้งนี้ไว้ภายในใจ
แต่จะบอกว่าการที่ซีลู่เฉิงโดนย้ายนั้นไม่เกี่ยวข้องกับฉีเล่ยเลยก็ไม่ถูกนัก เพราะความจริงแล้ว เรื่องนี้สามารถจบลงด้วยผลลัพธ์แบบอื่นได้ อย่างเช่น ตกลงกับแฟนหนุ่มของหวังหมินให้ไม่เอาเรื่อง ด้วยการแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งบัณฑิตดีเด่นของทางมหาวิทยาลัย หรือให้ทุนในการเรียนต่อในระดับที่สูงกว่านี้
หากได้รับข้อเสนอแลกเปลี่ยนเช่นนี้ มีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่สนใจ!
แต่เป็นเพราะครั้งก่อนที่ซีลู่เฉิงไล่ฉีเล่ยออกอย่างไม่มีเหตุผล อีกทั้งที่ผ่านมาเขายังปฏิบัติต่อฉีเล่ยไม่สู้ดีนัก ทำให้หลินหมิงเจิ้งแอบไม่พอใจอยู่เงียบๆ และคอยหาโอกาสที่จะขับไล่อีกฝ่ายออกไปอย่างไม่นึกสงสารเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรื่องที่ซีลู่เฉิงถูกย้ายแพร่สะพรัดออกไป ทุกคนจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะฉีเล่ยไม่พอใจซีลู่เฉิง จึงได้หาทางเล่นงานเขา และหลังจากนั้น ก็จะมาเล่นงานคนอื่นๆที่ยังทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาอีกด้วย
อีกทั้ง อาจารย์ซ่งยังได้เล่าให้กับทุกๆคนฟังด้วยตัวเองว่า เขาเห็นฉีเล่ยดูสนิทสนมกับรองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข โจวเซียวตงมากด้วย ทุกคนจึงเข้าใจว่าโจวเซียวตงเป็นคนสั่งย้ายซีลู่เฉิงด้วยตัวเอง
เดิมทีทุกคนต่างก็เข้าใจว่า ฉีเล่ยเพียงแค่สนิทสนมกับหลินหมิงเจิ้ง แต่ไม่มีใครคิดว่าฉีเล่ยจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่เป็นถึงรองรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอย่างโจวเซียวตงด้วย
และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมวันนี้เมื่อฉีเล่ยก้าวเข้ามาในห้องพักอาจารย์ ทุกคนในห้องจึงมีสีหน้าท่าทางเคารพยำเกรงเขาเป็นอย่างมาก!
ความจริงทุกคนในห้องต่างก็อยากจะเข้ามาทักทาย และตีสนิทกับฉีเล่ย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น
แต่เพราะเสี่ยวเกอเป็นเพียงแค่เสมียนคนหนึ่งเท่านั้น เธอจึงไม่เข้าใจและล่วงรู้ถึงเหตุผลลึกๆเหล่านั้น จึงได้อธิบายไปตามภูมิความรู้ของตัวเอง ทำให้ฉีเล่ยไม่ค่อยจะเข้าใจมากนัก และได้แต่บอกไปว่า
“ขอยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องนี้ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่ถึงยังไงผมก็ยินดีกับการไปของเขา!”
“อาจารย์ฉีพูดตรงจังเลยนะคะ” เสี่ยวเกอถึงกับยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ก็ถ้าผมบอกว่าผมเสียใจกับเรื่องที่ซีลู่เฉิงถูกย้าย จะมีคนเชื่อผมไหมล่ะครับ?” ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ
แต่ในระหว่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักอาจารย์ก็ดังขึ้น อาจารย์คนหนึ่งลุกขึ้นไปรับ หลังจากนั้นก็หันมาร้องตะโกนบอกเสียงดังว่า
“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีขอให้ทุกคนไปที่ห้องประชุมครับ”
…..
ภายในห้องประชุม ซีลู่เฉิงนั่งอยู่หัวโต๊ะ ในมือคีบบุหรี่ที่ดูดจนเกือบจะหมดแล้วไว้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
กลุ่มคณาจารย์เดินพูดคุยกันเข้ามาในห้อง และเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว ซีลู่เฉิงก็รีบดับบุหรี่ในมือลงในที่เขี่ยบุหรี่ด้วยท่าทีขึงขังดุดัน กระทั่งฉีเล่ยเองยังสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา
ซีลู่เฉิงกวาดสายตามองหน้าทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องประชุม ฉีเล่ยไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองรึเปล่าว่า ซีลู่เฉิงดูเหมือนจะจ้องหน้าเขานานเป็นพิเศษ
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่ และผ่านไปนานครู่ใหญ่ ในที่สุดซีลู่เฉิงก็พูดขึ้นว่า “ผมถูกย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลในชานเมือง กัวจือซ่งจะเข้ามารับตำแหน่งเดิมของผม หวังว่าพวกคุณทุกคนจะให้ความร่วมมือกับเขาล่ะ”
จากนั้น เขาก็หันหน้าไปบอกกับกัวจือซ่งว่า “ขอเชิญคุณกัวกล่าวอะไรสักหน่อยครับ”
ระหว่างที่พูดซีลู่เฉิงก็ปรบมือนำ แล้วคนอื่นๆในห้องประชุมก็ปรบมือตาม ในการเข้ารับตำแหน่งใหม่ ใครๆย่อมอยากได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นทั้งนั้น
นับจากนี้เป็นต้น หลังจากซีลู่เฉิงก้าวเดินออกไปจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ความบาดหมางระหว่างเขากับฉีเล่ย ก็ดูเหมือนจะถูกลืมเลือนไปด้วยเช่นกัน
พลังงานของมนุษย์มีจำกัด จะมัวไปเสียเวลาให้กับคนไม่มีความสำคัญทำไมกัน?
จะรักหรือเกลียด ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ควรใส่ใจ!