ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่237 นักพรตเฒ่า
ตอนที่237 นักพรตเฒ่า
เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งซีลู่เฉิง และเลี้ยงต้อนรับกัวจือซ่งในคราวเดียว จึงได้มีการสั่งอาหารโรงแรมมาจัดเลี้ยงกันภายในมหาวิทยาลัย แต่เพราะฉีเล่ยได้รับปากจะไปทานอาหารกลางวันกับหลินชูวโม่และคนอื่นๆไว้ก่อนแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องปฏิเสธคำเชิญ
และการกระทำของฉีเล่ยในครั้งนี้ ก็ทำให้อาจารย์คนอื่นๆถึงกับต้องแอบถอนหายใจ และได้แต่คิดเหมือนกันว่า ‘ไอ้เด็กเหลือขอนี่ ไม่แม้แต่จะให้หน้าหัวหน้าคนใหม่เลยจริงๆ!’
ส่วนซีลู่เฉิงนั้นก็ได้แต่แอบคิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะหาเรื่องฉีเล่ยกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้กับอาจารย์หนุ่มคนนี้ทุกครั้ง จนในที่สุดต้องลงเอยแบบที่เห็น เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่จะมาแทนเขานั้นจะจัดการกับขวากหนามนี้ได้อย่างไร?
……
เนื่องจากวันนี้มีนัดถ่ายทำโฆษณาในช่วงบ่าย ทั้งสามคนจึงเลือกกินอาหารง่ายๆ แล้วรีบขับรถไปที่ตำหนักโบราณเพื่อถ่ายทำโฆษณาต่อ
วันนี้จางเหวินไคกระปรี้กระเปร่า และกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เขาอยากจะให้ผลงานโฆษณาชิ้นนี้ถ่ายเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้นำออกสู่สาธารณชนเสียที
เมื่อฉีเล่ย หลินชูวโม่ และถงเซียวเซียวมาถึง ก็รีบตรงไปยังห้องที่จางเหวินไคเช่าไว้สำหรับทำการถ่ายทำทันที
แต่เนื่องจากวัตถุบางส่วนภายในห้องไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้ จึงจำเป็นต้องเซ็ทฉากใหม่ขึ้นมาเป็นพื้นหลังบางส่วน อย่างเ่นพวกเตียงนอน หมอน และผ้าห่มที่ใช้ในยุคสมัยนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จางเหวินไคได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
“คุณหลิน คุณถง คุณฉี สวัสดีครับ! ห้องนี้ถูกเซ็ทฉากที่จำเป็นเพิ่มขึ้นมา ผมต้องการให้ภาพที่ถ่ายออกมาดูคลาสิค แล้วก็โบราณมากยิ่งขึ้น”
จางเหวินไคเอ่ยทักทายพร้อมกับบอกเล่ารายละเอียดให้ทั้งสามคนฟัง
“ลำบากผู้กำกับจางมากเลยนะคะเนี่ย!”
หลินชูวโม่ร้องบอกจางเหวินไคด้วยสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงความซาบซึ้งใจ และรู้สึกขอบคุณกับการทำงานที่ทุ่มเทของเขา แม้จะพยายามมองหาช่องโหว่แล้ว แต่กลับไม่พบเลยแม้แต่น้อย
นั่นแสดงให้เห็นว่าจางเหวินไคระมัดระวังและพิถีพิถันกังการถ่ายโฆษณาครั้งนี้มากแค่ไหน เพราะหากไม่ระมัดระวัง อาจเกิดปัญหาขึ้นหลังโฆษณาถ่ายเสร็จก็ได้ บางบริษัทที่ทำงานลวกๆ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของงานนั้น กระทั่งถ่ายเสร็จอาจพบขวดน้ำอัดลม หรือสิ่งของที่ไม่ควรอยู่ในโฆษณาปรากฏให้เห็นก็ได้
“คิดว่ามีปัญหาอะไรไหม?”
หลินชูวโม่หันไปถามความเห็นของฉีเล่ยกับถงเซียวเซียว “นี่.. เดี๋ยวพวกเธอสองคนจะต้องเล่นเป็นคู่รักกันในฉากนะ สำรวจดูให้ละเอียดล่ะ จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด”
“แหมๆ แม่นางหลิน อยากจะมาเล่นเป็นนางเอกแทนฉันก็ได้นะ ไม่เห็นต้องพูดเหมือนอิจฉาขนาดนั้นเลย” ถงเซียวเซียวอดที่จะตอบโต้เพื่อนสาวกลับไปไม่ได้
“นี่เธอดูออกด้วยเหรอยะแม่นางเซียวเซียว? แหมๆ เธอเล่นมากระซิบกระซาบกับฉีเล่ยของฉันต่อหน้ากล้องแบบนั้น จะไม่ให้ฉันรู้สึกอะไรได้ยังไงกันจ๊ะ”
หลินชูวโม่ตอบกลับพร้อมกับทำหน้าทำตาไม่พอใจ
“ถ้าอย่างนั้นไม่ลุกขึ้นมาถ่ายโฆษณาเองเลยล่ะจ๊ะ?” ถงเซียวเซียวไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่กล้าหรอกย่ะ ไม่เคยอยู่หน้ากล้องมาก่อน!” หลินชูวโม่โบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“อะไรกัน? นี่คุณหลินคนสวยเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่ไม่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ?”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่มั่นใจย่ะ แต่ฉันมั่นใจเกินไปต่างหากล่ะ! ถ้าคนสวยๆอย่างฉันไปเล่นโฆษณาซะเอง ใครจะมาซื้อสินค้าของฉันล่ะ บรรดาเมียๆทั้งหลายคงจะอิจฉาที่ฉันสวยกว่าจนพากันสาปแช่งฉันแทนน่ะสิ!”
หลินชูวโม่ร้องบอกพร้อมกับรอยยิ้มเย้ายวนมหาเสน่ห์
จางเหวินไคที่จัดการเซ็ทกล้องสำหรับถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้วิ่งเข้ามาหาฉีเล่ยกับถงเซียวเซียว พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณถง คุณฉี พวกคุณสองคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนดีไหมครับ? ระหว่างนี้ทางผมกับทีมงานก็จะสำรวจความเรียบร้อยอีกเล็กน้อย”
ฉีเล่ยและถงเซียวเซียวเดินตามผู้ช่วยของจางเหวินไคเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และแต่งหน้าทำผมอย่างว่าง่าย
“คุณหลิน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมคาดว่าบ่ายนี้น่าจะถ่ายทำโฆษณาเซ็ทแรกเสร็จ ส่วนคืนนี้น่าจะถ่ายชุดที่สองเสร็จ” จางเหวินไครายงานหลินชูวโม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ระหว่างนั้น ฉีเล่ยที่แต่งตัวเสร็จก็ได้เดินออกมาจากด้านหลัง เขาสวมใส่ชุดเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ส่วนถงเซียวเซียวนั้นดูเหมือนจะแต่งตัวยุ่งยากกว่า แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก
จางเหวินไคแจกจ่ายกระดาษในมือให้กับฉีเล่ยและถงเซียวเซียว พร้อมกับกำชับว่า
“พวกคุณสองคนต้องเล่นไปตามบทที่เขียนไว้ในนี้นะครับ ถึงแม้บทจะเรียบง่ายไม่มีอะไรมาก แต่ความสำคัญอยู่ที่การถ่ายทอดความรักระหว่างสามีภรรยาออกมา พวกคุณต้องทำให้คนดูสามารถสัมผัสได้ถึงความรักนั้น”
ฉีเล่ยและถงเซียวเซียวเข้าใจความต้องการของจางเหวินไคได้ดี ฉีเล่ยจดจ่ออยู่กับกระดาษตรงหน้า และพยายามนึกถึงวิธีการถ่ายทอดอารมณ์ตามที่ถงเซียวเซียวเคยสอน เพื่อให้สามารถแสดงเป็นสามีที่อ่อนโยนและรักภรรยาอย่างสุดซึ้งออกมาได้
จนกระทั่งผ่านไปราวสิบนาที จางเหวินไคจึงได้หันไปถามฉีเล่ยกับถงเซียวเซียวว่า “พวกคุณสองคนเข้าใจอารมณ์ที่จะต้องถ่ายทอดออกมาแล้วใช่ไหมครับ?”
เมื่อเห็นทั้งสองคนพยักหน้า จางเหวินไคจึงได้ร้องตะโกนออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดีๆ ถ้างั้นก็เริ่มกันได้เลย ผมหวังว่าจะเทคเดียวผ่านนะครับ!”
แต่เมื่อถงเซียวเซียวกับฉีเล่ยเดินเข้าไปยืนในฉาก และทีมงานต่างก็เข้าประจำที่พร้อมถ่ายทำแล้ว ก็มีหัวหน้าไกด์เดินนำนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เข้ามาพอดี
จางเหวินไคได้แต่หันไปยิ้มขื่นให้กับหลินชูวโม่ที่กำลังยืนส่ายหัวเช่นกัน แม้พวกเขาจะเช่าพื้นที่ในการถ่ายทำ แต่ก็ไม่สามารถห้ามคณะทัวร์ให้เข้าเยี่ยมชมตำหนักแห่งนี้ได้
ทุกอย่างเป็นเหมือนกับครั้งที่แล้วไม่มีผิด บรรดานักท่องเที่ยวต่างก็พากันมามุงดูอยู่นอกหน้าต่าง และหลายคนก็พากันหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาถ่าย
“สาม – สอง – หนึ่ง เริ่มได้!”
จางเหวินไคร้องตะโกนสั่งเริ่มการถ่ายทำโดยไม่สนใจกลุ่มนักท่องเที่ยวด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่แสงแรกส่องผ่านเข้ามา ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นในห้องที่อบอวลไปด้วยไออุ่น เมื่อเขาเห็นภรรยาสุดที่รักกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกทองแดง ชายผู้นั้นก็ได้ลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆก้าวเดินมายืนอยู่ด้านหลังภรรยา พร้อมกับโอบกอดเธอไว้ด้วยความรักใคร่ จากนั้น จึงค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบแปรงเขียนคิ้วขึ้นมา แล้วบรรจงปัดลงไปที่คู่คิ้วของภรรยาด้วยท่วงท่าอ่อนโยนยิ่งนัก…
ฉีเล่ยพยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้อินไปกับบทที่ได้รับ แต่ก็ยากมากสำหรับเขาที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้
นั่นเพราะเขารู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนดึงดูดให้ต้องหันไปมองอย่างมาก แต่ถึงแม้เขาอยากจะหันไปมองมากแค่ไหน ก็กลัวว่าจะทำลายบรรยากาศสามีภรรยาที่เขากับถงเซียวเซียวกำลังช่วยกันถ่ายทอดอยู่ แต่ยิ่งเขาพยายามสะกดกั้นความอยากของตนเองไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนว่าความต้องการนั้นกลับจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ฉีเล่ยก็เสียสมาธิและเผลอหันไปมองจนได้
“คัท!”
จางเหวินไคร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “มีสมาธิหน่อยสิครับนักแสดงชาย! คุณกำลังแสดงความรักต่อภรรยา สายตาก็ต้องจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของภรรยาสิครับ แล้วนั่นคุณมองอะไรห๊ะ?”
“ครับๆ ผมจะพยายามใหม่อีกครั้งนะครับ!”
ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มเจื่อน สายตาของเขากวาดมองไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว และค้นพบคู่สายตาที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาเสียสมาธิ
ด้านหลังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยืนมุงดูอยู่นั้น มีชายร่างผอมหนังหุ้มกระดูกสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผมยาวสีดำเกล้าเป็นมวยอยู่กลางศรีษะ ด้านหลังแขวนกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง ลักษณะโดยรวมคล้ายกับนักพรตยืนอยู่
นักพรตร่างผอมยืนอยู่ท่ามกลางชายหญิงที่แต่งตัวทันสมัย ให้ความรู้สึกราวกับนกกะเรียนในฝูงไก่ แต่ดูเหมือนคนอื่นๆกลับไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดนี้
คล้ายกับว่า นักพรตเต๋าผู้นี้เป็นเพียงภูติผีวิญญาณที่ไม่มีตัวตน!
หรือแม้จะมีตัวตนอยู่จริง แต่ก็ทำตัวเหมือนกำแพง ต้นไม้ ก้อนหิน ซึ่งเป็นเพียงฉากประกอบ ไม่โดดเด่น แต่กลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ
นักพรตคนนั้นจ้องมองฉีเล่ยพร้อมกับยิ้มให้เขาด้วยความรักใคร่ แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลย
ฉีเล่ยรู้สึกราวกับถูกใครบางคนร่ายมนตร์ใส่ ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามต้องการ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับไม่มีเสียงรอดออกมาจากลำคอ
“เอาล่ะทุกท่าน จากนี้จะพาทุกท่านไปชมลานฝึกวรยุทธภายในตำหนักต่อ”
ไกด์ร้องตะโกนบอกลูกทัวร์ของตัวเอง แต่ดูเหมือนทุกคนจะยังอยากอยู่ดูการถ่ายทำต่อมากกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นก็เดินตามไกด์ไปทันที แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก
หลังจากที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจากไปแล้ว ฉีเล่ยก็เพิ่งจะรู้ตัวว่านักพรตคนนั้นได้หายไปจากสายตาของเขาแล้วเช่นกัน!
เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก จนถึงกับเผลอวิ่งตามออกไปทั้งที่ยังถือแปรงเขียนคิ้วอยู่ในมือ
“ฉีเล่ย.. ฉีเล่ย! มีอะไรรึเปล่า? เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
หลินชูวโม่เห็นฉีเล่ยดูแปลกไป จึงรีบร้องตะโกนถามออกไปทันที
“ฉีเล่ย นายเป็นอะไรไป?”
ถงเซียวเซียวเองก็รีบวิ่งไปที่หน้าต่างพร้อมกับร้องตะโกนถามเช่นกัน
“ผมไม่เป็นอะไร เดี๋ยวผมกลับมานะ!”
หลังจากร้องตะโกนบอกสองสาวไปแล้ว ฉีเล่ยก็ได้วิ่งตามนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นไปทันที
เพียงแค่พริบตาเดียว จู่ๆจะหายไปได้ยังไง?
ฉีเล่ยได้แต่ครุ่นคิดด้วยความงุนงงสงสัยเมื่อไม่พบนักพรตคนนั้นอยู่ในกลุ่ม เขาจึงได้เดินเลี่ยงไปตามทางเดินด้านซ้ายมือแทน และพบว่ามีศาลาหินสำหรับใช้เป็นที่นั่งชมมวลดอกไม้และดวงจันทร์ตั้งอยู่
แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็เห็นนักพรตคนนั้นกำลังยืนอยู่ภายในศาลาด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างมาก แผ่นหลังของเขาหันออกมาให้ฉีเล่ย เผยให้เห็นกระบี่ไร้ฝักที่แขวนทแยงมุมไว้ ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามมากขึ้น
ฉีเล่ยก้าวเท้าตรงเข้าไปหาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น…
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้จักนักพรตผู้นี้!