ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่242 เชิญไปออกทีวี
ตอนที่242 เชิญไปออกทีวี
ฉีเล่ยมีความสุขอย่างมาก หลังจากนี้เขาคงต้องเตรียมเรื่องที่จะหาคนเข้าไปตกแต่งสำนักงาน
หลังจากออกไปตะลอนๆด้านนอกอยู่ทั้งวันแล้ว ฉีเล่ยก็กลับมาที่บ้านหลินชูวโม่อีกครั้ง และทันทีที่มาถึง เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาด้วยความเมื่อยล้ากระทั่งเผลอหลับไป ทางด้านถงเซียวเซียวนั้นก็ออกไปทำงาน และอาจจะไม่กลับมาที่บ้าน ในขณะที่หลินชูวโม่เองก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน
นับตั้งแต่ออกมาถ่ายโฆษณา ฉีเล่ยก็ยังไม่ได้กลับไปบ้านสกุลหลี่เลย และเพียงแค่ทิ้งข้อความไว้ให้หลี่ถงซีรู้ว่า เขามีธุระส่วนตัวที่ต้องออกมาสะสาง
หลินชูวโม่กลับมาถึงบ้านราวสามทุ่มตรง หลังจากฉีเล่ยตื่นขึ้น เขาก็จ้องมองหญิงสาวพร้อมกับร้องบอกด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“พี่สาว ผมนอนรอคุณจนเผลอหลับไป นี่ยังไม่ได้กินอะไรมาเกือบทั้งวันเลย หาอะไรให้กินหน่อยสิ?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลินชูวโม่ก็เดินถืออาหารเข้ามาวางที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น ก่อนจะนั่งลงยองๆคีบอาหารกินโดยไม่สนใจภาพลักษณ์
“นายได้สถานที่สำหรับทำเป็นสำนักงานรึยัง?”
“ต้องได้อยู่แล้ว” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ฉันหวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”
หลินชูวโม่ตอบกลับคล้ายไม่อยากจะเชื่อในความสามารถของฉีเล่ย จนฉีเล่ยต้องถามกลับว่า
“ทำไม?! ไม่เชื่อผมเหรอ? นี่.. ผมจะบอกอะไรให้นะ สถานที่ที่ผมเลือกไว้ทำเลดีมากเลย สิ่งแวดล้อมก็ดี ราคาก็เหมาะสม คุณคอยดูก็แล้วกัน”
แม้หลินชูวโม่จะชอบหยอกเย้าฉีเล่ยเล่น แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทำสีหน้าขุ่นเคืองไม่พอใจ เธอจึงได้ลุกขึ้นยืนและหันไปบอกกับเขาว่า
“ฉันจะไปอาบน้ำ ห้ามแอบดูล่ะ!”
ถึงแม้ว่าฉีเล่ยจะทำสีหน้าท่าทางไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่ความจริงแล้ว ด้วยเรือนร่างสวยงามเย้ายวนไร้ที่ติของหลินชูวโม่นั้น สามารถทำให้เลือดในกายของชายหนุ่มอย่างเขาเดือดพล่านได้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มิหนำซ้ำสายตาเว้าวอนคู่นั้นที่จ้องลึกลงไปในดวงตาของฉีเล่ย จนเขาต้องร้องตอบกลับไปว่า
“อย่านะ อย่ามาส่งสายตาแบบนี้ให้ผม ไม่งั้นคืนนี้ผมบุกเข้าไปหาคุณที่ห้องนอนแน่ๆ!”
แต่มีหรือที่ผู้หญิงอย่างหลินชูวโม่จะกลัวคำขู่ของฉีเล่ย เธอร้องตะโกนตอบกลับไปทันที
“ก็ลองเข้ามาสิ! รับรองว่านายได้กลายเป็นขันทีแน่!”
ระหว่างที่พูดนั้น หลินชูวโม่ก็หันไปบอกฉีเล่ยยิ้มๆ “หยุดพูดมาก แล้วก็ไปนอนได้แล้ว!”
………..
วันรุ่งขึ้น ฉีเล่ยรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวไปพบนายหน้าตามนัด และคาดว่าไปถึงจะสามารถทำสัญญา จ่ายเงิน แล้วก็รับกุญแจมาได้เลย แต่ปรากฏว่า นอกจากนายหน้าคนเดิมแล้ว ฉีเล่ยยังพบเจอคนนอกอีกสองคนที่มากับนายหน้าคนนั้นด้วย
“พวกเขาคือ…”
ฉีเล่ยเอ่ยถามนายหน้าด้วยสีหน้างุนงง
“คุณฉีครับ พอดีเมื่อวานผมลืมบอกคุณไปว่า ห้องที่คุณฉีจะเอามีลูกค้าคนอื่นมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาเองก็สนใจ แต่ผมยังไม่ได้ทำสัญญากับใครเลย
“ถึงแม้ในเอกสารจะระบุราคาค่าเช่าไว้ที่สามแสนห้าหมื่นหยวน แต่ในเมื่อมีคนสนใจมากกว่าหนึ่งคน ผมคงต้องใช้วิธีประมูลนะครับ ใครเสนอราคาสูงก็จะได้ไป”
นายหน้าคนนั้นเอ่ยบอกทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอเชิญทุกท่านเสนอราคามาได้เลยครับ”
นี่เป็นเรื่องที่ฉีเล่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอ เขาคิดไม่ถึงว่าจะต้องมานั่งประมูลราคาค่าเช่าห้องแข่งกับคนอื่นแบบนี้
“คุณครับ ทำไมจู่ๆวันนี้ถึงได้มีคนสนอกสนใจจนต้องมาประมูลราคาแข่งกันแบบนี้ นี่คุณกำลังเล่นตุกติกอะไรกับผมอยู่รึเปล่า?”
ทันทีที่ได้ยินฉีเล่ยถามออกมาแบบนั้น นายหน้าก็รีบหันไปบอกเขาว่า “คุณฉีอย่าได้เข้าใจผมผิดนะครับ ผมไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นแน่”
ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้า และหันไปถามลูกค้าคนอื่นที่สนใจว่า “ไม่ทราบพวกคุณจะเสนอราคาเช่ากันเท่าไหร่กันครับ?”
“ผมให้ห้าแสนหยวน”
ชายสวมชุดสูทรองเท้าหนังเป็นคนเสนอราคาก่อนคนแรก
‘อะไรนะ?!’
ฉีเล่ยได้แต่อุทานในหัวด้วยความตกใจ พร้อมกับหันไปถามชายสวมชุดสูทด้วยสีหน้าที่ยังคงช็อค “คุณครับ คุรเข้าใจอะไผิดรึเปล่าครับ ห้องแค่นั้นคุณเสนอราคาสูงถึงห้าแสนหยวนต่อเดือนเชียวเหร?”
แต่ยังไม่ทันที่ชายสวมชุดสูทจะได้ตอบ ชายอีกคนข้างๆก็ได้พูดสวนขึ้นมาว่า “ผมให้เจ็ดแสนห้า!”
จู่ๆ ราคาค่าเช่าก็พุ่งสูงขึ้นจากเดิมอีกหลายแสนหยวน และหากเขาต้องการที่จะเช่าที่นี่ทำสำนักงานจริงๆ เขาจะไม่ต้องใช้เงินสูงถึงสิบล้านต่อปีเลยเหรอ?
ในที่สุดฉีเล่ยก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้ “นี่! พวกคุณสองคนเสนอราคาสูงขนาดนี้ เท่ากับว่านายหน้าได้กินส่วนต่างฟรีๆโดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลยนะ?”
ชายสวมสูทหันไปมองฉีเล่ยพร้อมตอบกลับไปว่า “คุณไม่รู้อะไร ราคาที่ดินในปักกิ่งขึ้นพุ่งพรวดรวดเร็วอย่งกับอะไรดี ขืนคุณไม่รีบคว้าไว้ก็อดน่ะสิ”
ชายที่เสนอราคาเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวนรีบพูดต่อทันที “คุณอย่าคิดว่าราคานี้แพงนะครับ ในเอกสารก็ระบุไว้แล้วว่า พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ขายดี ถึงตอนที่คุณอยากได้จริงๆ ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้”
ฉีเล่ยที่สงสัยคลางแคลงใจก่อนหน้า ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจได้ เขาหันไปคุยกับชายทั้งสองคนว่า
“คุณครับ ผมมีความจำเป็นจะต้องใช้พื้นที่นี้ในการทำธุรกิจ ถ้าพวกคุณสองคนยอมถอย ผมจะให้เงินพวกคุณคนลุห้าหมื่นหยวนเป็นค่าเสียเวลา…”
ชายหนุ่มสองคนหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยหยิบธนบัตรขึ้นมานับต่อหน้า พวกเขาก็รีบพยักหน้าตกลงทันที
เงินสดๆ ใครบ้างจะปฏิเสธลง?
หลังจากฉีเล่ยทำสัญญากับนายหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้มอบกุญแจให้กับฉีเล่ย และความฝันในการก่อตั้งสภาแพทย์แผนจีนขึ้นมาเพื่อปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีนของเขา ก็ค่อยๆเป็นความจริงขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยแล้ว
ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนเสื่อมศรัทธามากขึ้น และมีผู้ที่เชื่อถือการแพทย์แผนจีนน้อยลงทุกวัน
ส่วนหนึ่งที่แพทย์แผนจีนได้รับความนิยมน้อยกว่าแพทย์ตะวันตกนั้น ก็เป็นเพราะว่า ทั้งการตรวจวินิจฉัย และกระบวนการรักษานั้นใช้ระยะเวลาที่นานกว่า ไม่ได้เห็นผลรวดเร็วเหมือนการแพทย์ตะวันตก
และด้วยเหตุผลนี้เอง ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องเสนอตัวเป็นผู้นำในการปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีน ด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติของแพทย์แผนจีน และปรับปรุงข้อบกพร่องต่างๆของการแพทย์แผนจีน ซึ่งการจะปฏิวัติให้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีทั้งพรสวรรค์ เงินทุน และเวลา
และหากฉีเล่ยสามารถทำการปฏิวัติวงการแพทย์แผนจีนได้สำเร็จริงๆ แน่นอนว่าชื่อของเขาจะต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการนี้อย่างแน่นอน
และนี่เป็นเพียงก้าวแรกของการเดินทางเท่านั้น แม้เส้นทางจะยังอีกยาวไกล แต่ฉีเล่ยก็รู้สึกตื่นเต้นกับมันเป็นอย่างมาก
เมื่อฉีเล่ยกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบหลินชูวโม่กำลังนั่งไขว่ห้างดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น และทันทีที่หญิงสาวเห็นฉีเล่ยกลับมา เธอก็รีบเอ่ยถามทันที
“เป็นยังไงบ้าง? เรียบร้อยดีไหม?”
“ไม่มีปัญหา!”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบหน้าบานพร้อมกับยกซองเอกสารในมือขึ้นโชว์ “หกแสนหยวนต่อเดือน ผมเซ็นสัญญาเช่าทั้งหมดสามปี”
“แต่เมื่อคืนนายบอกฉันว่าค่าเช่าสามแสนห้าหมื่นหยวนไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมจู่ๆวันนี้ราคาถึงได้ขึ้นเท่าตัวแบบนี้ล่ะ?”
หลินชูวโม่ร้องถามออกมาด้วยความสงสัย จากนั้น ฉีเล่ยก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับหญิงสาวฟัง หลังจากฟังจนจบแล้ว เธอจึงได้บอกกับฉีเล่ยว่า
“เฮ้อ.. นายรู้ไหมว่าราคาค่าเช่าที่นายทำสัญญาไป สามารถเช่าพื้นที่อาคารในแถบวงแหวนที่สี่ได้สบายๆเลยล่ะ”
“ห๊ะ?!”
ฉีเล่ยถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เอกสารในมือร่วงหล่นลงกับพื้นทันที
“นี่คุณพูดจริงๆเหรอ?!”
หลังจากที่ฉีเล่ยเริ่มรู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกนั้น เขาก็โมโหเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อทำสัญญาไปแล้ว เขาเองก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
หลินชูวโม่ได้แต่ปลอบไปว่า “ช่างเถอะ! ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน อย่าไปคิดมากเลย อีกอย่าง นายก็เซ็นสัญญากับเขาไปแล้ว เอาเป็นว่ามาฟังข่าวดีที่ทำให้นายมีความสุขจะดีกว่า”
หลินชูวโม่ปิดทีวี ก่อนจะเดินถือโน๊ตบุ๊คไปวางไว้ตรงหน้าฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“รายการเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนจะเชิญนายไปออกรายการอาทิตย์หน้า แต่ค่าตอบแทนไม่มากหรอกนะ”
“ที่ไหนเหรอ?”
“เจียงหลิง เป็นรายการของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น เขาเชิญนายไปออกรายการในฐาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบ”
เวลานี้ ฉีเล่ยค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในวงการแพทย์แผนจีน เพราะนอกจากเขาจะเป็นลูกศิษย์ของเป่ยฉวนเทียนแล้ว การประลองก่อนหน้านี้ยังได้สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างมากด้วย
“ฉันส่งรายละเอียดไปให้นายทางอีเมลแล้วนะ นายไปดูเอาเองก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ หลินชูวโม่ก็เอนกายพิงโซฟา แล้วหันกลับไปเปิดทีวีดูต่อ
เจียงหลิงงั้นเหรอ?
ฉีเล่ยโบกมือพร้อมตอบกลับไปว่า “เรื่องค่าตัวผมไม่สนใจ ผมสนใจแค่ว่า การไปออกรายการทีวีจะทำให้ผมได้มีโอกาสโปรโมทสภาแพทย์แผนจีนให้ทุกคนได้รู้”
ฉีเล่ยเดินเข้าไปในห้องทำงาน และได้ทำการตอบอีเมลของทีมงานจากเจียงหลิงว่า เขายินดีที่จะไปออกรายการตามคำชม
หลังจากนั้นเพียงแค่สองสามนาที ทีมงานก็ได้ส่งเอกสารต่างๆกลับมา มีทั้งสคริปต์และตารางการถ่ายทำ
เมื่อได้รับคำยืนยันตอบรับจากฉีเล่ยแล้ว ก็ได้มีการโปรโมทให้กับผู้คนล่วงรู้ เนื่องจากรายการออกอากาศช่วงดึกราว 22.00 นาฬิกา หากไม่โปรโมทคงจะไม่มีคนดูมากนัก
…….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถงเซียวเซียวที่ไปถ่ายงานนอกสถานที่ก็กลับมา และเธอก็ได้แนะนำบริษัทรับจ้างตกแต่งภายในที่เชื่อถือได้ให้กับฉีเล่ย พร้อมกับให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการตกแต่งสำนักงานอีกด้วย
และเมื่อรู้ว่าฉีเล่ยจะไปออกรายการทีวี เธอก็แสดงสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างชัดเจน
“นี่ฉีเล่ย ต่อไปถ้านายดังมากกว่านี้ จะมีรายการมากมายติดต่อมาขอให้นายไปออกรายการเต็มไปหมดเลยล่ะ ถึงตอนนั้น นายจะจ้างฉันไปเป็นบอดี้การ์ดให้ก็ได้นะ”
ถงเซียวเซียวร้องบอกพร้อมกับแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู หากเปรียบหลินชูวโม่เป็นมารร้าย ถงเซียวเซียวก็แสนจะสดใสบริสุทธิ์