ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่243 ช่วยชีวิต
ตอนที่243 ช่วยชีวิต
เพื่อให้สามารถเดินทางไปเจียงหลิงกับฉีเล่ยได้ ถงเซียวเซียวจึงได้เร่งถ่ายทำงานที่ค้างคาให้เสร็จโดยเร็ว ส่วนฉีเล่ยเองก็ได้ยื่นใบลาหยุดกับทางมหาวิทยาลัยไปล่วงหน้า และเมื่อเพื่อนๆอาจารย์ได้ยินว่าฉีเล่ยจะไปออกรายการทีวีที่เจียงหลิง พวกเขาก็ถึงกับตกใจไม่น้อย
“ยอดเยี่ยมมากเลยครับอาจารย์หลี่ ว่าแต่ไปออกรายการอะไร วันไหน แล้วก็กี่โมงครับ? พวกเราจะไปช่วยกันเปิดดูเรียกยอดเรตติ้งให้”
ฉีเล่ยจำชื่อรายการไม่ได้ จึงต้องไปเปิดอีเมลดูอีกครั้ง และแม้แต่เขาเองยังไม่เคยได้ยินชื่อรายการ ‘เวทีแพทย์แผนจีน’ นี้เลยสักครั้ง และทันทีที่เขาบอกชื่อรายการไป เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
“รายการอะไรเนี่ย? จะมีคนดูรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
เป็นเสียงของชายวัยกลางคนหนึ่ง ในฐานะที่อีกฝ่ายทำงานมาก่อนและนานกว่า จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกเขม่นอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างฉีเล่ย
เขาคร้านที่จะตอบโต้อะไรมากมาย จึงแค่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างน้อยก็ได้ค่าตัว แล้วก็ได้เที่ยวไปในตัว!”
แต่ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะอ้าปากตอบโต้ฉีเล่ย ก็มีเสียงร้องตอบโกนขัดขึ้นมาก่อน
“พี่หมิงครับ หัวหน้าเรียกพบ คงจะมีอะไรอยากคุยด้วย”
“ฉันไปก่อนนะ หัวหน้าชอบคนที่มีประสบการณ์อย่างฉัน ส่วนหนุ่มๆอย่างเธอคงต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ล่ะ”
หลังจากพูดจบ ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ แล้วจึงเดินตรงเข้าไปที่ห้องของหัวหน้าตนทันที
ฉีเล่ยเองไม่ค่อยรู้จักเรื่องราวของหัวหมิงมากนัก อีกทั้งหลายวันนี้เขาก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องสภาแพทย์แผนจีนของตัวเอง
ความจริงหัวหมิงมีคุณสมบัติที่จะได้ขึ้นมารับตำแหน่งแทนหัวหน้าคณะอาจารย์ซี แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เขาพลาดโอกาสดีนั้นไป ใครจะไปคิดว่า งานวิจัยของหัวหมิงจะเป็นของปลอม จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก
ทางมหาวิทยาลัยจึงได้ลงโทษหัวหมิงด้วยการลดตำแหน่งของเขาลงมา ให้มาเป็นอาจารย์ระดับเดียวกับฉีเล่ย แต่หัวหมิงกลับมองเห็นฉีเล่ยเป็นศัตรู และคู่แข่งที่จะไต่เต้ากลับไปสู่จุดเดิมของตนเอง
เฮ้อ.. ดูเหมือนฉันไปที่ไหนก็จะมีแต่ศัตรูสินะ?
ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“อย่าไปสนใจเขาเลย ก็แค่ตัวตลกเท่านั้นล่ะนะ” ใครบางคนกระซิบบอกฉีเล่ย
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรน่าวิตก แต่ฉีเล่ยกลับรู้สึกว่า ในวันข้างหน้า คนๆนี้จะนำปัญหามาให้เขา หรือแม้แต่สภาแพทย์แผนจีนของเขา
หลังจากยื่นใบลาเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้กลับไปบ้าน และเตรียมตัวบินไปเจียงหลิงในตอนบ่าย
เจียงหลิงเป็นเมืองแห่งสายธาร และมีสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจค่อนข้างดี เมืองเจียงหลิงจึงค่อนข้างดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาเยี่ยมเยียน
สถานีโทรทัศน์อยู่ไม่ห่างจากสนามบินมากนัก และทันทีที่เครื่องบินร่อนลงสู่พื้นดิน ถงเซียวเซียวก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจในขณะจ้องมองทิวทัศน์ด้านนอก
ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นพ่อ และกำลังพาลูกสาวมาเที่ยว เพราะหญิงสาวดูตื่นเต้น และสนอกสนใจไปซะทุกเรื่อง
โรงแรมที่พักก็อยู่ใกล้กับสนามบิน ทั้งคู่จึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก
ทั้งสองคนมาถึงก่อนการถ่ายทำหนึ่งวัน ฉีเล่ยจึงใช้เวลาว่างนี้ทำความคุ้นเคยกับสคริปต์ แล้วก็พาถงเซียวเซียวไปเดินเล่นตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเจียงหลิง
ระหว่างที่เดินเล่นนั้น ด้วยความที่ถงเซียวเซียวเป็นนางแบบอยู่ก่อน และรูปร่างที่สวยงามสมบูรณ์แบบของเธอ ทำให้กลายเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา หลายคนพากันชี้นิ้วมาทางพวกเขาสองคน แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูด แต่ฉีเล่ยก็พอจะสัมผัสอารมณ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากคนเหล่านั้นได้
พวกเขาทั้งตื่นเต้น ดีใจ อิจฉา และหนุ่มๆบางคนดูเหมือนจะโกรธด้วยซ้ำไป!
แต่ฉีเล่ยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เพียงแค่รีบๆพาถงเซียวเซียวหลบไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนหญิงสาวจะมีความสุขมากที่ได้อยู่ภายใต้การปกป้องดูแลของฉีเล่ย
หนึ่งในเหตุผลที่ถงเซียวเซียวอยากจะตามฉีเล่ยมาที่เจียงหลิงก็เพราะว่า ที่นี่มีร้านที่เธอชอบมาก และร้านนี้ก็ไม่มีสาขาในปักกิ่งด้วยนั่นเอง
หลังจากที่เข้าไปในร้านได้ ฉีเล่ยก็ไม่ได้สนใจถงเซียวเซียวอีกเลย แต่รีบวิ่งไปหาที่นั่งพักผ่อนทันที
เดิมทีฉีเล่ยตั้งใจว่าจะนั่งรอถงเซียวเซียวอยู่ตรงนี้จนกว่าเธอจะซื้อของเสร็จ แล้วค่อยลุกออกไปจากร้านทีเดียว แต่หูของเขากลับได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นอยู่มุมใดมุมหนึ่ง
‘นั่นมันเสียงอะไร?’
ฉีเล่ยรีบลุกขึ้น และค่อยๆเดินตามเสียงร้องนั้นไปทันที จนในที่สุดก็พบว่า เสียงร้องอันน่าเวทนานั้นน่าจะดังมาจากหลังประตูบันไดหนีไฟบานนี้ เขาจึงได้ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“มีใครอยู่ไหมครับ?”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่เสียงร้องคร่ำครวญนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ และยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
‘ต้องมีคนอยู่หลังประตูนี่แน่ๆ!’
ฉีเล่ยไม่ลังเลอีกต่อไป เมื่อมั่นใจว่าเสียงร้องคร่ำครวญน่าเวทนานั่นดังมาจากด้านหลังประตูหนีไฟ เขาก็มั่นใจว่ากำลังมีคนต้องการความช่วยเหลือ จึงรีบเปิดประตออกไปทันที และภาพที่เขาพบเห็นตรงหน้าก็คือ ร่างของชายชราที่กำลังทรุดกองกับพื้น!
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!’
ฉีเล่ยไม่นึกไม่ฝันว่าตนเองจะต้องมาพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ จึงได้นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
หลังจากได้สติ เขาก็ไม่มาเสียเวลาคิดว่า ทำไมชายชราถึงได้มาอยู่ตรงนี้ หรือคิดหาเหตุผลอะไรอื่นๆอีก ด้วยสัญชาติญาณ ฉีเล่ยพุ่งเข้าไปหาร่างของชายชราอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้นในทันที
แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของชายชรา ฉีเล่ยก็รู้ได้ทันทีว่า อาการของเขาอยู่ในขั้นที่หนักทีเดียว เพียงแต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ชายชราถูกพิษ หรือเป็นเพราะปัญหาภายในระบบร่างกายของเขากันแน่
ฉีเล่ยรู้ดีว่า การจะมานั่งคิดถึงสาเหตุคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร สิ่งที่เขาควรทำโดยเร็วคือช่วยชีวิตของชายชราคนนี้ก่อน ด้วยเหตุนี้ฉีเล่ยจึงรีบล้วงเอายาสะกดวิญญาณที่นำติดตัวมาด้วย ใส่เข้าไปในปากของชายชราเพื่อยื้อชีวิตให้กับเขาก่อน
ไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนี้เลย เนื่องจากเป็นทางหนีไฟที่อยู่ค่อนข้างไกล กระทั่งฉีเล่ยร้องตะโกนเรียกเสียงดัง ก็ยังไม่มีคนมาช่วย
หลังจากที่ได้กินยาสะกดวิญญาณของฉีเล่ยเข้าไป ชายชราก็เริ่มหายใจเป็นปกติมากขึ้นกว่าเดิม และเริ่มหยุดร้องคร่ำครวญ เวลานี้อาการของเขาดูเหมือนจะสงบลงจากเดิมมาก
ฉีเล่ยรีบเปิดเปลือกตาของชายชราเพื่อที่จะตรวจดูอาการให้ละเอียดขึ้น แต่ทันทีที่เปิดเปลือกตาของชายชราขึ้น เขาก็ถึงกับตกใจอย่างมากับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ดวงตาทั้งคู่ของชายชราเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ส่วนลูกนัยน์ตาสีดำนั้นกลับค่อยๆจางลงเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
‘ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!’
แม้ฉีเล่ยจะไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อะไรกันแน่ แต่เขาก็รู้แจ้งแก่ใจดีว่า ขืนปล่อยชายชราไว้แบบนี้ เขาจะต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน
ขณะที่ฉีเล่ยใช้สองนิ้วตรวจจับชีพจรของชายชราดูนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และอะไรลึกลับบางอย่างที่กำลังดิ้นอยู่ในร่างของชายชรา มันดูคล้ายกับแมลง แต่ฉีเล่ยกลับรู้สึกว่ามันแตกต่างกว่านั้นเล็กน้อย
“ถูกวางยา!”
ฉีเล่ยพึมพำออกมาทันที แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่า พิษที่ว่านี้ค่อนข้างพบเจอได้ยากยิ่งนัก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยพบเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนเลย
มันคล้ายๆกับพิษของคนเผ่าเหมี่ยวที่เรียกกันติดปากว่า ‘หนอนกู่’!
และไม่ว่าหนอนกู่นี้จะเข้าไปในร่างของชายชราผู้นี้ได้ยังไงนั้น ฉีเล่ยก็เชื่อว่า เรื่องนี้จะต้องมีตื้นลึกหนาบางแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
ฉีเล่ยสะบัดหัวไปมาเพื่อขับไล่ความคิดต่างๆออกไปก่อน และพยายามที่จะทำให้ชายชราฟื้นคืนสติโดยเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ฉีเล่ยล้วงเอาเข็มเงินของตนเองออกมา พร้อมกับเปิดเสื้อบริเวณหน้าอกของชายชราออกอย่างรวดเร็ว จากนั้น จึงได้เริ่มทำการฝังเข็มลงไปบนหน้าอกของเขา ในขณะที่มืออีกข้างซึ่งว่างอยู่ ก็พยายามคลำหาทิศทางที่หนอนกู่ซ่อนตัวอยู่ จากนั้น จึงค่อยบีบบังคับให้มันออกมา
เดิมทีฉีเล่ยคิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ กลับพบว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด นั่นเพราะหนอนกู่ดูเหมือนจะถูกใครบางคนควบคุมอยู่ และพยายามดิ้นรนให้อยู่ห่างจากเข็มเงินของฉีเล่ย
ดูเหมือนฉีเล่ยจะช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะเวลานี้ ดวงตาทั้งสองข้างของชายชราเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นสีขาวทั้งหมด
แต่ฉีเล่ยจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นต่อหน้าต่อตาเขาแน่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉีเล่ยไม่รีรอ เขารีบล้วงเอาขี้ผึ้งกระปุกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วรีบป้ายขึ้ผึ้งนั้นลงไปบนหน้าผากของชายชราอย่างรวดเร็ว
ฉีเล่ยได้ทดลองหลอมกลั่นขี้ผึ้งนี้ตามคัมภีร์ที่นักพรตซวนจื่อซือมอบให้เขาก่อนจากกัน แต่เขาก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองใช้มันเลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้ ฉีเล่ยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องนำมันออกมาเพื่อช่วยชีวิตของชายชราผู้นี้!
ในวินาทีที่ขี้ผึ้งนี้ถูกป้ายลงบนร่าง ชายชราก็ถึงกับสั่นเทิ้มในทันที ก่อนจะหยุดนิ่งไปและไม่เคลื่อนไหวใดๆอีกเลย กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างที่ปิดอยู่ก็เบิกกว้างขึ้นด้วย
ฉีเล่ยถึงกับแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้น จึงรีบคลำหาตำแหน่งของหนอนกู่ในร่างของชายชราอีกครั้ง เข็มเงินถูกปักลงไปในจุดฝังเข็มแห่งหนึ่งในร่างของเขา ก่อนที่จะค่อยๆบีบเอาหนอนกู่นั้นออกมาได้ในที่สุด
อะไรบางอย่างที่มีลักษณะทรงกลมสีดำ และมีขนาดเล็กมากๆ พุ่งออกมาจากปากของชายชรา เล็กขนาดที่ว่าหากไม่สังเกตให้ดีก็จะมองไม่เห็นเลยทีเดียว
และในเวลานั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของชายชรา ก็ค่อยๆเปลี่ยนกลับไปเป็นปกติเหมือนเช่นคนทั่วไป
เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชายชรา ฉีเล่ยก็ถึงกับทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นแน่นิ่ง!
ในระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกของถงเซียวเซียวดังมาจากในร้าน แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะลุกเดินไปหาหญิงสาวนั้น ก็อดที่จะเป็นห่วงชายชราไม่ได้ จึงรีบร้องตะโกนเรียกหญิงสาว พร้อมกับแบกร่างที่ยังไม่ได้สติของชายชราเดินออกมาจากหลังประตูบันไดหนีไฟ
เมื่อหวนนึกกลับไปถึงการรักษาของตนเองเมื่อครู่ ฉีเล่ยก็อดที่จะเหงื่อตกไม่ได้ หากเมื่อครู่เขาลงมือรักษาชายชราช้าไปกว่านี้อีกนิด รับรองได้ว่าเขาคงจะไม่สามารถช่วยชีวิตของชราได้อย่างแน่นอน
และถ้าชายชราต้องมาตายต่อหน้าต่อตาเขา เขาคงต้องรู้สึกผิดไปอีกนานอย่างแน่นอน!
เมื่อถงเซียวเซียวเห็นฉีเล่ยแบกร่างของชายชราคนหนึ่งออกมาด้วย เธอก็ถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจ แต่จากสภาพของชายชรา เขาก็ดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากได้สติ เธอก็รีบหุบปากที่อ้ากว้างลงทันที
ท้ายที่สุด ทั้งหมดก็เรียกรถกลับไปที่โรงแรม แม้คนขับรถจะรู้สึกแปลกประหลาด แต่ก็นั่งเงียบ และได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปโดยไม่พูดไม่จา
ในที่สุด ทั้งหมดก็ไปถึงห้องพักที่โรงแรม ฉีเล่ยวางร่างของชายชราลงบนเตียง แล้วจึงเดินไปยืนข้างๆถงเซียวเซียว
“ฉีเล่ย นี่ใครอ่ะ? ทำไมจู่ๆถึงมีคนเพิ่มมาอีกคนแบบนี้ล่ะ?”