ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่247 ความลับของหลี่ถงซี
ตอนที่247 ความลับของหลี่ถงซี
เช้าขนาดนี้ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มสว่างเท่านั้นเอง แล้วถงซีมาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้กันนะ?
ฉีเล่ยสลัดความคิดต่างๆที่อยู่ภายในหัวเวลานี้ทิ้งไปทันที และกำลังตั้งใจจ้องมองดูเพื่อให้แน่ใจว่า หญิงสาวที่ดูเหมือนหลี่ถงซีคนนี้ ใช่หลี่ถงซีจริงๆหรือไม่?
เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉีเล่ยจึงรีบล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาหลี่ถงซี และทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย เขาก็รีบร้องถามออกไปว่า
“ถงซี ตอนนี้ผมอยู่เจียงหลิงแล้วเหมือนกัน นี่เพิ่งจะอัดรายการเสร็จ คุณทำอะไรอยู่เหรอ?”
ก่อนที่ฉีเล่ยจะมาที่นี่ เขาเองก็รู้มาก่อนแล้วว่า หลี่ถงซีได้เดินทางมาทำธุระที่เจียงหลิงเช่นกัน แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเวลานี้ จะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดรับ และตอบกลับมาว่า
“อ้าว.. นี่นายถ่ายรายการเสร็จแล้วเหรอ ฉันเพิ่งจะตื่นนอนเอง ตอนนี้ยังอยู่โรงแรมอยู่เลย”
ฉีเล่ยถึงกับตกใจอย่างที่สุด เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำโกหกจากปากหลี่ถงซี แต่ก็ยังเอ่ยปากถามย้ำกลับไปว่า
“ตอนนี้คุณอยู่โรงแรมแน่เหรอ?”
“อืมม.. ทำไม? มีอะไรเหรอ?”
ฉีเล่ยอยากจะเดินตรงเข้าไปหาหลี่ถงซี และแสดงตัวให้เธอรู้ไปเลยว่า เขารู้ว่าเธอกำลังพูดโกหก แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจล้มเลิกความคิดนั้นไป ในเมื่อหลี่ถงซีไม่ต้องการที่จะบอกความจริงกับเขา อาจเป็นไปได้ว่าเธอคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับเขาได้ ฉีเล่ยจึงได้แต่แอบถอนหายใจ และตอบกลับไปว่า
“ไม่มีอะไร ผมแค่ถามดูเฉยๆ”
หลี่ถงซีทำสีหน้าท่าทางลังเลและครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจึงร้องบอกฉีเล่ยไปว่า
“ฉีเล่ย ฉันยังมีอะไรต้องทำอีกมาก แค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ ไว้ฉันเสร็จงานเมื่อไหร่ ค่อยติดต่อกลับไปหานายใหม่”
“อืมม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ!”
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็กดวางสายไปทันที
ถงเซียวเซียวจ้องมองฉีเล่ยด้วยความตกอกตกใจ พร้อมกับร้องถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย
“นั่นมันหลี่ถงซีไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายไม่เข้าไปหาเธอล่ะ จะได้รู้ความจริงว่าเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่?”
“อย่าดีกว่า บางทีเธออาจจะมีเหตุผลที่ไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้”
“นี่ฉีเล่ย ฉันมั่นใจว่าการที่หลี่ถงซีโกหกแบบนี้ต้องไม่ใช่เพราะเหตุผลทั่วไปแน่ สัญชาติญาณของฉันบอกว่า ถ้านายไม่เข้าไปหาเธอตอนนี้ หรือลงมือทำอะไรสักอย่าง นายจะต้องเสียใจแน่ๆ”
ถงเซียวเซียวที่ปกติมีท่าทีเชื่อฟังฉีเล่ย กลับเปลี่ยนเป็นมีความเห็นขัดแย้งกับเขาอย่างสิ้นเชิง
“คุณรู้สึกแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ?”
“จริง! นายเชื่อฉันสิ!”
ถงเซียวเซียวตอบกลับด้วยสีหน้า และน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หลังจากได้ฟังคำแนะนำของถงเซียวเซียวแล้ว ฉีเล่ยจึงได้ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหาหลี่ถงซี แต่ในระหว่างนั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดเทียบข้างหญิงสาว และเมื่อคนที่อยู่ด้านในเปิดประตูให้ หลี่ถงซีก็ก้าวเดินขึ้นไปนั่งทันที
ดูเหมือนว่าคำพูดก่อนหน้าของถงเซียวเซียวจะมีเหตุมีผลไม่น้อยทีเดียว!
ฉีเล่ยรีบโยนเงินจำนวนสองสามร้อยหยวนให้กับเจ้าของร้านกั้งเสียบโดยไม่สนใจเงินทอน จากนั้น ตัวเขาเองก็รีบวิ่งตรงเข้าไปหารถคันนั้นทันที แต่ทว่า ในจังหวะนั้นเอง รถที่หลี่ถงซีนั่งไปก็ได้พุ่งทะยานออกไปเช่นกัน แม้ฉีเล่ยจะพยายามวิ่งตามไป แต่ก็ไม่สามารถสู้ความเร็วของรถได้ ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็ได้วิ่งนำฉีเล่ยไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
“คราวนี้จะทำยังไงดีล่ะ?”
ฉีเล่ยจ้องมองรถที่แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว และค่อยๆวิ่งห่างจากพวกเขาสองคนไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานั้น ฉีเล่ยได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลี่ถงซีตั้งแต่แรก และตอนนี้ เขากลับรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเธออย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องห่วง! เมื่อกี้ฉันจดหมายเลขทะเบียนรถไว้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยใช้ข้อมูลนี้ตามหารถคันนั้นก็ได้ จะได้รู้ว่ารถคันนั้นขับไปที่ไหนบ้าง?”
ถงเซียวเซียวเดินเข้าไปตบบ่าฉีเล่ยเป็นการปลอบใจ พร้อมกับเอ่ยปากบอก
ฉีเล่ยได้แต่นึกเสียใจ เมื่อครู่ในระหว่างที่คุยโทรศัพท์กับหลี่ถงซี หากเขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ ก็คงจะไม่มีเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่เกิดขึ้นแน่
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้หลี่ถงซีก็ได้ขึ้นรถคันนั้นหายไปต่อหน้าต่อตาเขาเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาอะไรหรือเปล่า?
ความรู้สึกของฉีเล่ยในตอนนี้ ดูเหมือนว่า ในเมืองใหญ่ๆอย่างเจียงหลิง จะเต็มไปด้วยปริศนาลึกลับอย่างบอกไม่ถูก..
ฉีเล่ยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลับไปที่โรงแรมพักผ่อน
กระทั่งในเวลาเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ฉีเล่ยจึงได้เริ่มวางแผนตามหาหลี่ถงซี และต้องสืบรู้ให้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้มีความลับอะไรที่ปิดบังเขาอยู่กันแน่
หลี่ถงซีจงใจโกหกเขาตั้งแต่ที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืนนี้ การกระทำของเธอบ่งบอกชัดเจนว่า หญิงสาวคนนี้จงใจที่จะปิดบังอะไรบางอย่าง และไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
ว่าแต่.. หลี่ถงซีรู้จักใครในเจียงหลิงด้วยอย่างงั้นเหรอ เธอถึงได้ยอมขึ้นรถไปกับคนอื่นง่ายๆแบบนั้น?
ฉีเล่ยเฝ้าครุ่นคิดหาเหตุผล แต่ไม่ว่าจะคิดจนหัวแทบระเบิดยังไงก็คิดไม่ออก
ฉีเล่ยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินทางไปที่ศูนย์ควบคุมการจราจรในเมืองเจียงหลิง และใช้อำนาจเงินขอให้ใครสักคนช่วยตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถที่ถงเซียวเซียวจดมาให้
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่เช่นนี้ แน่นอนว่าการตรวจสอบจึงดำเนินไปค่อนข้างรวดเร็ว ในที่สุดฉีเล่ยก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถคันที่เขาพบเมื่อคืนนี้ และยังได้ดูกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบเส้นทางที่รถคันนั้นแล่นไปด้วย
รถคันเมื่อคืนที่หลี่ถงซีนั่งไปนั้นเป็นรถมือสอง ขับขี่ไปด้วยความรวดเร็วราวกับว่ากำลังหลบเลี่ยงการถูกติดตาม ฉีเล่ยนั่งดูจนพบว่า รถคันนั้นได้แล่นหายไปจากรัศมีของกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น
ก่อนที่จะออกจากโรงแรมมาตามหาหลี่ถงซีนั้น ฉีเล่ยได้จัดการซื้อตั๋วเครื่องบินให้ถงเซียวเซียวบินกลับปักกิ่งก่อนแล้ว แต่เพราะหญิงสาวเป็นคนดื้อรั้น จึงปฏิเสธไม่ยอมกลับไปคนเดียว และยืนกรานที่จะอยู่ช่วยฉีเล่ยที่นี่ แม้ว่าใจอยากจะกลับไปมากก็ตาม เธอบอกว่า อย่างน้อยถ้าเธออยู่ด้วย ก็จะสามารถช่วยฉีเล่ยในเรื่องอื่นๆได้บ้าง
ฉีเล่ยเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยินยอมให้ถงเซียวเซียวอยู่กับตนเองที่เจียงหลิงต่อ และสองคนต่างก็แยกย้ายกันทำภารกิจ
ฉีเล่ยที่นั่งจับตามองการเคลื่อนที่ของรถคันนั้นว่าจะไปหยุดลงในที่ใด แต่กลับต้องผิดหวัง เมื่อภาพของกล้องวงจรปิดที่จับภาพรถคันนั้นได้ กลับสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น และสถานที่สุดท้ายที่รถคันนั้นหายไปก็คือ บนถนนเส้นหนึ่งในเขตชานเมือง และเป็นเพราะอยู่ห่างไกลจากใจกลางเมืองนี่เอง ทำให้บริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด และถนนก็เป็นถนนลูกรัง
ฉีเล่ยเรียกรถไปยังจุดสุดท้ายที่กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ และเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริเวณนั้น ฉีเล่ยจึงได้ลงเดินไปตามถนนลูกรังอย่างเงียบๆ
บริเวณนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วรถคันนั้นหายเข้าไปที่ไหนนะ?
ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่ในใจ และในระหว่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่า ด้านหน้าไกลออกไปราวสองสามร้อยเมตร มีบ้านที่สร้างจากหินหลายหลังตั้งอยู่ ซึ่งในยุคสมัยนี้บ้านที่สร้างจากหินนั้นค่อนข้างหาได้ยากมาก และเมื่อมองเข้าไปที่บ้านหินหลังหนึ่ง เขาก็พบว่ามีรถหลายคันจอดอยู่ แต่เนื่องจากอยู่ห่างไกลมาก ฉีเล่ยจึงไม่สามารถบอกได้ว่ารถที่จอดอยู่บริเวณนั้นมีรถคันเมื่อคืนอยู่ด้วยหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่รถที่คล้ายกันเท่านั้น
ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังลังเลใจอยู่ว่า จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆดีหรือไม่นั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน และเมื่อกดรับสาย เสียงตื่นเต้นของถงเซียวเซียวก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย
“ฉีเล่ย ฉันเจอคู่ชายหญิงที่แต่งตัวเหมือนกับที่คุณตาคนนั้นเล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้เลย!”
นี่ก็อีกหนึ่งปัญหาใหญ่…
ใจหนึ่งก็เป็นห่วงหลี่ถงซี ส่วนอีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงภัยคุกคาม ที่อาจจะเกิดจากการใช้หนอนกู่ของหญิงชายเผ่าเหมี่ยวคู่นั้น แต่หลังจากใคร่ครวญชั่งน้ำหนักดูอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าตอนนี้หลี่ถงซีอาจจะไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ตนเองกังวล ฉีเล่ยจึงรีบบอกกับถงเซียวเซียวกลับไปว่า
“คุณจับตาดูคนทั้งคู่ไว้ให้ดีนะ แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่พบเห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่แต่งตัวคล้ายชนเผ่าเหมี่ยว ถงเซียวเซียวก็ได้แอบสะกดรอยตามคนทั้งคู่ไปทันที
แม้ว่าในยุคสมัยนี้เด็กหนุ่มสาววัยรุ่นจะมีการแต่คอสเพลย์กันเป็นปกติ แต่การจะพบเห็นคนมีอายุแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแปลกตาแบบนี้ออกมาเดินเล่นข้างนอกนั้นไม่ค่อยมี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นที่สะดุดตาจนถงเซียวเซียวสามารถพบเจอได้ง่ายๆ
และจากคำบอกเล่าของชายชราเมื่อคืนนี้ ยิ่งทำให้ฉีเล่ยสงสัยในตัวของหญิงชายเผ่าเหมี่ยวคู่นี้เป็นอย่างมาก
ในฐานะที่ฉีเล่ยเป็นถึงประธานสภาแพทย์แผนจีน เขาย่อมมีสำนึกรับผิดชอบต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไป
“พวกเขาสองคนอยู่ที่ซิงหัวพลาซ่า นายรีบๆมานะ!”
เสียงร้องตะโกนบอกของถงเซียวเซียวดังขึ้นจากปลายสาย จากนั้น ฉีเล่ยก็รีบโบกรถมุ่งหน้าไปยังซิงหัวพลาซ่าทันที!
…….
เวลานี้ หญิงชายเผ่าเหมี่ยวทั้งสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่บนม้านั่งภายในซิงหัวพลาซ่า ดูๆไปก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมฉีเล่ยถึงได้รู้สึกกระวนกระวายใจ และกังวลใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้