ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่253 ไปจากเจียงหลิงแล้ว
ตอนที่253 ไปจากเจียงหลิงแล้ว
เหตุการณ์ในเจียงหลิงดูเหมือนจะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหลินชูวโม่ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมานาน ยังถึงกับตื่นตระหนกตกใจหลังจากได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของฉีเล่ย
“ฉันว่ามันดูซับซ้อนจนน่ากังวลยังไงก็ไม่รู้นะ?”
หลินชูวโม่จ้องมองฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วง
“ฉันว่านายกลับไปปักกิ่งพร้อมกับฉันดีกว่า ส่วนเรื่องของหลี่ถงซีน่ะ ฉันจะหาคนมาช่วยตามหาให้เอง แล้วถ้าพบตัวเธอเมื่อไหร่ ฉันให้พวกเขารีบพาเธอกลับปักกิ่งทันที ส่วนเมืองเจียงหลิงก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ นายไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไร”
“ไม่ๆๆ”
ใช่ว่าฉีเล่ยจะไม่เชื่อใจหลินชูวโม่ เขารู้ดีว่า หากเขาต้องการขอความช่วยเหลือจากใครสักคนเวลานี้ คงจะต้องหนีไม่พ้นหลินชูวโม่อย่างแน่นอน และด้วยศักยภาพของหญิงสาวคนนี้ ฉีเล่ยเชื่อว่าเธอต้องมีหนทางอย่างแน่นอน
แต่เนื่องจากเขากับหลี่ถงซีมีความสนิทสนมกัน เขาจึงไม่ต้องการที่จะมอบหมายภาระนี้ให้กับคนอื่น อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของหลี่ถงซีอีกด้วย
“อย่าดีกว่า คุณกลับไปพร้อมกับเซียวเซียวก็แล้วกัน แล้วช่วงนี้ก็ช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ของสภาแพทย์แผนจีนแทนผมไปก่อน ไม่จำเป็นต้องห่วงทางนี้!”
“ช่วงนี้สภาแพทย์แผนจีนคงจะมีเรื่องวุ่นๆมากหน่อย เพราะตั้งแต่ออกรายการสดในคืนนั้นไป ดูเหมือนคนก็เริ่มจะรู้จักสภาแพทย์แผนจีนมากขึ้น อีกอย่าง ผมเองก็เชื่อมั่นในความสามารถของคุณ ผมเชื่อว่าคุณจะสามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ดี”
ในเมื่อหลินชูวโม่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยประธานของสภาแพทย์แผนจีน การฝากให้เธอช่วยจัดการเรื่องต่างๆภายในองค์กรจึงเป็นเรื่องที่สมควร
“คุณไปคอยดูแลเรื่องการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่สำหรับที่จะใช้เป็นสำนักงานให้เรียบร้องก็แล้วกัน ส่วนเรื่องต่างๆในเจียงหลิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ผมคงจะทิ้งเจียงหลิงไปทั้งๆที่รู้ว่ามีอันตรายซ่อนอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก”
ฉีเล่ยจ้องหน้าหลินชูวโม่แน่นิ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ ผมควรช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ? ผมรู้สึกว่าสามีภรรยาเผ่าเหมี่ยวคู่นี้ น่าจะเป็นภัยคุกคามชาวเจียงหลิงยังไงก็ไม่รู้ ผมคงต้องหาวิธีให้พวกเขาออกจากเมืองนี้ให้ได้”
หลินชูวโม่เองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ฉีเล่ยพูดดี อีกทั้งรู้ว่า ต่อให้เธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มต่อไป ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าเห็นด้วยกับเขาเท่านั้น
“ถ้างั้นนายต้องดูแลตัวเองให้ดีล่ะ แล้วก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากด้วย ส่วนเรื่องต่างๆในปักกิ่ง รวมทั้งเรื่องของสภาแพทย์แผนจีน นายไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ฉันจะจัดการดูแลให้เอง ส่วนนายก็อยู่เจียงหลิงจัดการเรื่องที่ต้องทำไปก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนต่างก็นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องแผนการต่างๆต่อจากนี้
ทางด้านถงเซียวเซียวที่เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอก็ได้แต่หันไปบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เอ่อ.. แต่ฉันอยากอยู่ช่วยนายที่นี่ต่อนะฉีเล่ย ฉันขออยู่กับนายที่นี่ต่อไม่ได้เหรอ?”
“อยู่ที่นี่กับผมต่อนี่นะ?!”
ฉีเล่ยย้อนถามด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ เขาจ้องหน้าถงเซียวเซียวพร้อมกับร้องบอกด้วยสีหน้า และน้ำเสียงจริงจัง
“นี่คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่าอยู่กับผมมันอันตรายแค่ไหน? เผลอๆ คุณอาจมีโอกาสเสียชีวิตได้เชียวนะ แล้วถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนั้นขึ้นกับคุณ ผมจะไปอธิบายให้คนในครอบครัว แล้วก็เพื่อนๆของคุณฟังได้ยังไง?”
แต่แล้วจู่ๆฉีเล่ยก็ตระหนักได้ว่า น้ำเสียงของเขานั้นออกจากดุดันมากเกินไป จึงได้เปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากกว่าเดิมว่า
“เซียวเซียว อย่าลืมสิว่าคุณต้องกลับไปทำงานต่อ คุณจะทิ้งงานเพราะผมไม่ได้นะ แล้วถ้าคุณทำแบบนั้น ผู้จัดการของคุณคงจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ แล้วคุณจะสบายใจงั้นเหรอ?”
กระทั่งหลินชูวโม่ที่อยู่ข้างๆ ยังช่วยเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวถงเซียวเซียวให้ตามเธอกลับปักกิ่ง
ท้ายที่สุด ถงเซียวเซียวก็ไม่อาจทนต่อการเกลี้ยกล่อมของชายหญิงคู่นี้ได้ จึงจำต้องตัดสินใจกลับไปทำงานที่ปักกิ่งเหมือนเดิม
……
วันรุ่งขึ้น หลินชูวโม่และถงเซียวเซียวก็ได้บินกลับปักกิ่ง และเพื่อให้มั่นใจว่า ฉีเล่ยจะสามารถอยู่เจียงหลิงได้อย่างไม่มีปัญหา เธอจึงได้ทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้กับเขา ซึ่งมากพอที่ชายหนุ่มจะใช้ได้อย่างสะดวกสบายเลยทีเดียว
ในเมื่อฉีเล่ยต้องการที่จะสืบเรื่องของสองสามีภรรยาเผ่าเหมี่ยว เขาจึงต้องไปหาซือไถอีกครั้ง
ฉีเล่ยเดินทางไปที่บ้านของซือไถซึ่งเขาไปมาเมื่อวานนี้ และก่อนที่จะเข้าไปใกล้บริเวณบ้าน กลิ่นแปลกๆจางๆก็ได้ลอยมาเข้าจมูกของเขา
มันเป็นกลิ่นคล้ายๆกับสมุนไพรจีน แต่มีไม่เหมือนซะทีเดียว
ฉีเล่ยรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาจึงเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะรีบเข้าไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ประตูบ้านของซือไถเปิดอยู่ แต่ภายในกลับเงียบสงัดไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และเมื่อฉีเล่ยเดินเข้าไปสำรวจด้านใน เขาก็พบว่าภายในบ้านหลังนั้นมีกลิ่นประหลาดนี้อบอวบอยู่เต็มไปหมด
“ซือไถ? ประธานซือ?”
ฉีเล่ยร้องตะโกนเรียกซือไถอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงรีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้าน และพบว่าตรงกลางสวนมีกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ เขาจึงได้เปิดประตูเข้าไปดู
“ประธานซือ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? นี่อย่าบอกนะว่าคุณจะมาหลบคนพวกนั้นอยู่ตรงนี้?”
ฉีเล่ยร้องถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน และตั้งใจที่จะเยาะเย้ยเขาต่อ แต่เมื่อซือไถเงยหน้าขึ้นมา เขาก็พบว่าบนใบหน้าของชายชรากลับมีรอยแผลเป็นยาวปรากฏอยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? สองผัวเมียคู่นั้นทำอะไรคุณเหรอ?” ฉีเล่ยถึงกับต้องร้องถามออกไปด้วยความสงสัย
แต่ดูเหมือนซือไถจะยังมีท่าทีตกอกตกใจอยู่มาก เขาจ้องมองฉีเล่ยด้วยสายตาแปลกประหลาด ปากก็เอาแต่ร้องตะโกนว่า
“อย่าเข้ามา.. ได้โปรดอย่าเข้ามาเลย…”
ฉีเล่ยจึงได้รีบตรงเข้าไปจับแขนของซือไถไว้ พร้อมกับหยิบเช็มเงินเล่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะแทงเข้าไปในจุดฝังเข็มแห่งหนึ่งบนร่างของชายชราอย่างรวดเร็ว จากนั้นซือไถก็เป็นลมหมดสติไป
จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงได้ ซือไถก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง
ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่เอ่ยถามชายชราออกไปด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมไม่อยู่ในบ้าน?”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ? พวกมันทำอะไรคุณงั้นเหรอ? แล้วตอนนี้พวกมันสองคนไปไหนแล้วล่ะ? บอกผมมาเดี๋ยวนี้!”
การที่ซือไถมีสีหน้าท่าทางหวาดกลัวมากขนาดนี้ ฉีเล่ยจึงพอจะคาดเดาได้ว่า อีกฝ่ายจะต้องทรมานชายชรามาไม่น้อย และนี่แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของสองสามีภรรยาคู่นั้น
ซือไถที่ยังคงนอนราบอยู่กับพื้น ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “สองคนนั่นมั่นไม่ใช่คน!”
“แล้วตอนนี้สองนั้นอยู่ที่ไหน?” ฉีเล่ยเอ่ยถาม
“พวกมันไปจากเจียงหลิงแล้ว! หลังจากที่พวกมันทำร้ายฉันแล้ว พวกมันก็กลับไปเจียงหลิง”
“น่าแปลก ในเวลาเพียงแค่วันเดียว สองคนนั่นก็หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยงั้นเหรอ?” ฉีเล่ยพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปถามซือไถต่อ
“นี่คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่าสองคนนั่นไปอยู่ที่ไหน?”
ซือไถเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมกับร้องโวยวายออกมาราวกับคนไร้สติ “ฉันไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ! ความจริงฉันกับชาวเหมี่ยวสองคนนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เพียงแต่ตอนนั้นฉันเองก็ถูกพวกมันสองคนหลอก แล้วฉันก็คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะกล้ามาถึงที่นี่”
“ประธานฉี ผมรู้ว่าคุณเป็นคนมีความสามารถ และรู้ว่าคุณแข็งแกร่งมากพอที่จะทำอะไรได้ ตอนนี้ ผมแค่อยากจะขอร้องให้คุณช่วยผมเรื่องหนึ่ง ได้โปรดช่วยผมตามหาสองคนนั่นให้พบด้วย”
“สองคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
นี่เป็นคำถามที่ค้างคาใจฉีเล่ยอย่างที่สุด
“สองคนนั่นมาจากองค์กรเดียวกัน แต่ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่า มันเป็นองค์กรอะไรเหมือนกัน รู้แค่ว่าสำนักงานใหญ่ของพวกมันอยู่ที่ดินแดนของชนเผ่าเหมี่ยว และดูเหมือนว่าที่ทั้งสองคนมาเจียงหลิงครั้งนี้ ก็เพื่อมาปฏิบัติภารกิจลับอะไรสักอย่างให้กับองค์กรของพวกมัน”
สีหน้าของซือไถเวลานี้ดูอมทุกข์และน่าเวทนาอย่างมาก
“นี่เธอได้กลิ่นอะไรนั่นไหมล่ะ?”
ซือไถเอ่ยถามพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่บ้านของตัวเอง พร้อมกับพูดต่อว่า “นั่นน่ะเป็นกลิ่นที่พวกมันสองคนทิ้งไว้ก่อนจะไปจากเจียงหลิง และที่ฉันไม่สามารถเดินออกไปไหนได้ก็เพราะว่ากลิ่นนี่ล่ะ อย่าว่าแต่เดินเลย แค่จะยืนทรงตัวยังไม่ได้ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันมันแปลกประหลาดไป”
เมื่อซือไถพูดถึงเรื่องกลิ่นประหลาดนั่น มันทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก นั่นเพราะทำไมฉีเล่ยที่เดินเข้ามาในบ้านของเขา และได้ดมกลิ่นประหลาดนี้เข้าไปเหมือนกัน แต่เพราะอะไรเขากลับไม่มีอาการอะไรเลย
และฉีเล่ยเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน หากจะให้เขาคิดหาเหตุผล ก็อาจจะเป็นเพราะระดับแพทย์แผนจีนของเขา หรือไม่ก็อาจเป็นการช่วยเหลืออย่างลับๆของนักพรตซวนจื่อซือ
แน่นอนว่าหลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้สอบถามซือไถเกี่ยวกับเรื่องของซิ่วเอ๋อกับอี้ชาหลายเรื่อง แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่าได้รู้ข้อมูลมากกว่าก่อนหน้านี้
“อ่อ.. ยังมีอีกเรื่อง พวกเขายังก่อตั้งองค์กรขึ้นในเจียงหลิงด้วย แต่ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่มีชาวเจียงหลิงหลายคนไปเข้าร่วมบ้างแล้ว บางคนก็ไปเข้าร่วมโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ฉันเดาว่าองค์กรนี้น่าจะเป็นองค์กรที่พวกมันจะใช้หาประโยชน์ในวันหน้าแน่ๆ”
จู่ๆ ซือไถก็โพล่งขึ้นมา
และเมื่อซือไถพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จู่ๆความคิดหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมาในหัวของฉีเล่ย
หรือว่ารถตู้คันที่หลี่ถงซีขึ้นไปในคืนนั้น จะเกี่ยวข้องกับองค์กรที่ว่านี้ด้วย?