ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่256 ความจริงปรากฏ
ตอนที่256 ความจริงปรากฏ
ฉีเล่ยต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมมากขึ้น และคนเดียวที่จะสามารถให้ข้อมูลกับเขาได้ก็คงจะหนีไม่พ้นชายชราที่ชื่อซือไถนี่เอง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ซือไถจะยืนกรานว่า เขาเองได้บอกความจริงทั้งหมดที่ตนเองรู้ให้ฉีเล่ยฟังจนหมดแล้วก็ตาม แต่ฉีเล่ยก็ยังคงไม่เชื่อ และรู้ว่าชายชราเพียงแค่หาข้ออ้างเพื่อให้พ้นๆตัวไปเท่านั้นเอง
ฉีเล่ยไม่เชื่อว่าการมาเจียงหลิงของอี้ชาและซิ่วเอ๋อ จะเป็นเพียงแค่การมาท่องเที่ยวธรรมดาๆ และหากทั้งคู่ดั้นด้นจากตอนใต้ของจีนมาจนถึงตอนเหนือเช่นนี้ เพราะความโกรธแค้นในการแพทย์แผนจีน ก็ยิ่งไม่น่าใช่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เมืองเป้าหมายก็ไม่ควรจะเป็นเจียงหลิง
นั่นเพราะเมืองเจียงหลิงไม่ใช่ดินแดนที่มีการแพทย์แผนจีนแข็งแกร่ง กระทั่งโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนยังไม่ติดอันดับเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับเมืองอื่นๆทั่วประเทศ
นอกเหนือจากปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งวงการแพทย์แผนจีนแล้ว รองลงมาก็คือหูเฉิงและเหอหนาน
และข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ ก็ชี้ชัดว่าเรื่องที่ซือไถพูดมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ฉีเล่ยจึงได้พูดกับชายชราว่า
“ฟังนะ ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ไม่สนใจด้วยว่าคุณจะแก่เฒ่าแค่ไหน และไม่สนใจว่าบริษัทของคุณจะล้มละลายจริงรึเปล่า ผมสนใจแค่ว่า ในเมื่อคุณรอดชีวิตมาได้แล้ว ก็ควรต้องบอกความจริงกับผมซะที!”
ซือไถตอบกลับยิ้มๆ แต่ก็ดูไม่เหมือนรอยยิ้มสักเท่าไหร่นัก
“ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ สิ่งที่ฉันรู้ ฉันก็บอกกับเธอไปจนหมดแล้ว ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมาเจียงหลิงเพราะจุดประสงค์อะไร หรือมีเป้าหมายอะไรกันแน่?”
“งั้นเหรอ?! ถ้างั้นผมจะบอกอะไรให้ คุณคงยังไม่รู้สินะว่า บนห้องนอนชั้นสองของคุณ ได้กลายเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงหนอนกู่จำนวนมากมายไปแล้ว ผมจะบอกอะไรให้ ด้วยจำนวนหนอนกู่ที่มีอยู่ภายในห้อง ถ้าคนพวกนั้นคิดที่จะทำเรื่องเลวร้ายล่ะก็ รับรองได้ว่าคนทั่วทั้งเจียงหลิงจะต้องเดือดร้อนอย่างมากแน่”
ฉีเล่ยยกมือขึ้นชี้หน้าซือไถ พร้อมกับพูดต่อว่า “คิดดูให้ดีๆล่ะ ไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบ ชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีกับผลเสียให้ดี…”
หลังจากที่ฉีเล่ยพูดจบ ซือไถที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ก็ร้องถามออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ “นี่เธอพูดจริงๆน่ะเหรอ?”
“มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องโกหกคุณ? คุณเองก็ได้กลิ่นประหลาดนั่นโชยออกมาจากภายในบ้านไม่ใช่เหรอ?”
“บอกผมมาตามตรงว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
ซือไถตกอกตกใจกับสีหน้าท่าทางดุดันของฉีเล่ย เพราะหลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ปรี่ตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเขาไว้แน่น น้ำเสียงที่พูดก็พลันเปลี่ยนเป็นดุดันเหี้ยมเกรียม จนชายชราถึงกับตระหนกตกใจ และรีบระล่ำระลักตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“พูด.. ฉันพูดแล้ว.. ฉันยอมพูดแล้ว!”
มีไม่กี่คนนักหรอกที่จะรู้ว่ามีชนเผ่าเหมี่ยวปรากฏตัวขึ้นที่เจียงหลิง เพราะพวกเขาต่างก็ปิดบังชื่อแซ่ และเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เปิดเผยตัวตนต่อสังคม
แต่ด้วยความบังเอิญ ซือไถได้ไปพบชนเผ่าเหมี่ยวเป็นครั้งแรก และเขาก็สนอกสนใจเกี่ยวกับเรื่องหนอนกู่เป็นอย่างมาก
ในช่วงเวลานั้น ซือไถกำลังเจรจาธุรกิจครั้งสำคัญอยู่พอดี และคู่ต่อสู้ของเขาก็คือศัตรูตัวฉกาจในรอบสิบปี หากเขาสามารถยึดครองธุรกิจครั้งนี้ได้สำเร็จ จะเป็นโอกาสดีให้เขาได้ขยายอาณาจักรธุรกิจจากเจียงหลิงไปทั่วประเทศได้
แต่ในช่วงเวลานั้น การาเจรจาทางธรุกิจกลับเป็นผลเสียต่อซือไถ และคู่แข่งก็ได้รุกคืบหน้าจนทำให้ซือไถตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ลงเรื่อยๆ ทำให้เขานึกถึงวิชากู่ของชนเผ่าเหมี่ยว และด้วยความร้ายกาจของวิชานี้ ซือไถมั่นใจว่า เขาจะสามารถทำให้ธุรกิจชองตนที่กำลังถดถอยฟื้นฟูกลับมาได้
ด้วยเหตุนี้ ซือไถจึงได้พาคนของตัวเองเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งเป็นดั่งตำนานแห่งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ดินแดนของชนเผ่าเหมี่ยวก็ดั่งตำนานอย่างว่า จึงไม่มีใครรู้ว่าแห่งหนที่ตั้งแน่นอนนั้นอยู่ที่ใดกันแน่
ซือไถไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องเดินทางไปยังชายแดนกุ้ยโจวกับยูนนาน ตามที่เคยได้ยินมาว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าเหมี่ยวในตำนาน
กลุ่มคนราวสิบกว่าคนเดินผ่านป่าเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบว่าตรงหน้าตนเองเป็นหน้าผา และไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกแล้ว
“เจ้านายครับ หรือว่าสถานที่ที่พวกเรากำลังตามหาจะไม่มีอยู่จริง? เจ้านายถูกคนหลอกเอารึเปล่า? ผมว่าแถวนี้อย่างมากก็มีพวกสมุนไพรจีน แต่มันจะมีชนเผ่าเหมี่ยวในตำนานอย่างที่เจ้านายว่าจริงเหรอครับ?”
“อย่าพูดหมด เดินหาใหม่อีกครั้ง”
ในตอนนั้น ซือไถรู้สึกท้อแท้ในใจเล็กน้อย เพราะถึงแม้เขาจะใช้เวลาในการค้นหาไปมาก แต่กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอย หรืออะไรให้พอมีความหวังขึ้นมาได้บ้างเลย อีกทั้งเส้นตายในการเจรจาธุรกิจก็ใกล้จะมาถึงแล้ว หากภายในสามวันข้างหน้า เขายังไม่สามารถหาชนเผ่าเหมี่ยวพบแล้วล่ะก็ ทุกอย่างก็คงจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน
ซือไถไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เขาเดินไปบริเวณพื้นที่รอบๆอีกราวสองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนั้น ซือไถจึงได้แต่เตรียมตัวกลับเจียงหลิงเท่านั้นเอง
แต่ในจังหวะนั้นเอง ซือไถกลับหันไปพบเด็กคนหนึ่งอยู่ในป่า หน้าตาของเด็กคนนั้นก็ดูปกติดี เพียงแต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้น ออกจะดูแปลกประหลาดไปอย่างมาก
“เจ้านายครับ เจ้านายว่าเด็กคนนี้แต่งตัวเหมือนกันชนเผ่าเหมี่ยวในตำนานที่ได้ยินมารึเปล่าครับ?”
หลังจากได้ยินคำถามของลูกน้อง ซือไถก็จ้องมอง และสำรวจเสื้อผ้าของเด็กน้อยคนนั้นอย่างพินิจพิจารณา เขาเริ่มรู้สึกว่า ชุดที่เด็กน้อยสวมใส่นั้นช่างดูคล้ายกับชุดของชาวเขาที่ตนเคยพบเห็นมา
หลังจากนั้น ซือไถจึงเกิดความรู้สึกสนใจในตัวเด็กคนนั้นขึ้นมาอย่างมาก เขาสั่งให้ลูกน้องไปจับตัวเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้ามาทันที และเมื่อมาถึง เขาก็คว้ากล่องเล็กๆใบหนึ่งที่เด็กคนนั้นถืออยู่ในมือมาเปิดออกดู ก่อนจะร้องถามออกไปทันทีที่พบว่าด้านในนั้นมีแมลงเล็กๆอยู่เต็มไปหมด
“นี่มันอะไร?”
อาจเป็นเพราะเด็กน้อยไม่เคยพบเห็นกลุ่มคนที่ดูดุร้ายน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน เขาถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“นี่มันหนอนกู่ของฉัน เอาคืนมานะ พวกแกจะทำอะไร?”
หนอนกู่งั้นเหรอ?
เมื่อซือไถได้ยินคำว่า ‘หนอนกู่’ เขาถึงกับยิ้มออกมา และราวกับเพิ่งเคยได้ยินได้ฟังอะไรที่ไพเราะที่สุดในโลก จากนั้น จึงได้ฉกเอากล่องของเด็กชายคนนั้นไว้ แล้วรีบวิ่งหนีออกไปทันที
“และครั้งนั้น ก็เป็นการกระทำที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของฉันเลยทีเดียว!”
ในระหว่างที่ซือไถพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองอย่างที่สุด และน้ำเสียงก็ค่อยๆอ่อนล้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนั้น ถ้าฉันขอให้เด็กนั่นพาฉันไปพบผู้ใหญ่ ผลลัพธ์ก็คงจะดีกว่านี้แน่ แล้วฉันก็คงจะสามารถเจรจาธุรกิจในครั้งนั้นได้สำเร็จ และเหตุการณ์ก็คงจะไม่ได้มาถึงจุดนี้อย่างแน่นอน”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซือไถดีใจอย่างมากที่ได้หนอนกู่มา หรือเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกยึดหนอนกู่กลับคืนไป เขาจึงสั่งลูกน้องทั้งหมดให้รีบกลับเจียงหลิงทันที
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ หลังจากที่ตนเองได้หนอนกู่มาแล้ว และเมื่อคู่แข่งทางธุรกิจซึ่งเป็นศัตรูของเขาเห็นเข้า ก็ถึงกับตกตะลึงงันไปในทันที และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่เรื่องเล่า แต่แมลงที่อยู่ในกล่องดำนั้นก็ดูน่ากลัว และน่าสยดสยองอย่างมากทีเดียว
ในระหว่างที่รับประทานอาหารด้วยกันนั้น ซือไถก็ได้พูดขึ้นว่า “ถ้าคุณไม่วางมือ และออกไปจากเจียงหลิงในทันทีแล้วล่ะก็ ผมรับรองได้ว่า ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับคุณต้องไม่ดีอย่างแน่นอน คุณเข้าใจใช่ไหม?”
คู่แข่งของซือไถแสดงท่าทีประนีประนอมอย่างเห็นได้ชัดในเวลานั้น แต่เขากลับไม่คาดคิดว่า ท้ายที่สุดสถานการณ์จะเบี่ยงเบนไปในทิศทางที่ฝ่ายตรงข้ามได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
นั่นเพราะบทสนทนาบนโต๊ะอาหารในวันนั้นได้ถูกอีกฝ่ายบันทึกไว้ และนำไปเปิดให้กับเจ้าของธุรกิจที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเจรจาอยู่ฟัง หลังจากที่เขาได้ฟังคำพูดข่มขู่ของซือไถแล้ว นักธุรกิจคนนั้นก็ได้แต่ไม่พอใจ และนึกดูถูกเหยียดหยามในการกระทำของเขาอย่างมาก ท้ายที่สุดจึงหันมาร่วมมือทางธุรกิจกับอีกฝ่ายแทน
ส่วนเด็กน้อยที่พวกเขาขโมยหนอนกู่มานั้น ด้วยคำบอกเล่าของเขา จึงทำให้ผู้ใหญ่เผ่าเหมี่ยวต้องมาปรากฏตัวที่เจียงหลิง
ซึ่งก็คืออี้ชากับซิ่วเอ๋อนั่นเอง…
ปรากฏว่า ทุกอย่างที่ซือไถเล่าให้ฉีเล่ยกับถงเซียวเซียวฟังที่โรงแรม รวมทั้งสิ่งที่เขาได้ยินตอนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำโกหกทั้งสิ้น
และสิ่งแรกที่อี้ชาทำเมื่อพบซือไถก็คือ จัดการฝังหนอนกู่ที่ซือไถขโมยมาลงไปในร่างของเขา
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซือไถจึงได้จัดฉากให้ตนเองได้พบกับฉีเล่ยเข้าโดยบังเอิญ
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่ผมเล่ามานั่นล่ะ”
ซือไถก้มหน้าลงด้วย พร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด