ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่257 ชื่อเสียงดังกึกก้อง
ตอนที่257 ชื่อเสียงดังกึกก้อง
เห็นได้ชัดว่า ซือไถเองก็สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองทำลงไปจริงๆ ไม่อย่างนั้น ตอนที่เขาอยู่คนเดียวในบ้านแล้วฉีเล่ยไปพบเข้า เขาก็คงไม่มีสภาพอยากตายอย่างนั้นแน่ๆ
ซือไถรู้สึกว่า เป็นเพราะการกระทำที่เห็นแก่ตัวอย่างมากของตนเองในครั้งนั้น จึงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในเมืองเจียงหลิง หากไม่ใช่เพราะเขา ชนเผ่าเหมี่ยวที่มีความบาดหมางกับแพทย์แผนจีนอยู่ก่อน คงจะไม่เลือกเจียงหลิงเป็นจุดลงมือ
ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. คุณนำอันตรายมาให้กับคนบริสุทธิ์อีกหลายๆคนทีเดียว!”
ซือไถได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม่ไหวติงราวกับคนเป็นอัมพาต ปากก็ร้องบอกออกไปว่า
“ผมขอโทษจริงๆ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้คิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายใหญ่โตจนกลายมาเป็นแบบนี้ได้ ตอนนี้อย่าว่าแต่ฉันจะรักษาธุรกิจของตัวเองไว้ไม่ได้เลย กระทั่งชีวิตของตัวเองก็ยังแทบเอาไม่รอด ตอนนี้ฉันคงจะสูญสิ้นทุกอย่างจริงๆแล้วล่ะ”
ระหว่างที่พูดประโยคเหล่านั้นออกมา สีหน้าของซือไถก็มีเพียงความเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริง!
หากเขารู้ก่อนว่าเรื่องราวจะลงเอยแบบนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่เลือกวิธีการนี้อย่างแน่นอน
แต่สำหรับฉีเล่ยตอนนี้ เขาไม่มีคำถามอะไรจะต้องถามซือไถอีกแล้ว เพราะเวลานี้เขามีเรื่องท้าทายที่มากกว่านั้น กำลังรอให้เขาเข้าไปจัดการอยู่ และสิ่งที่เขาต้องเผชิญในเวลานี้ ก็เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่อี้ชาและซิ่วเอ๋อได้ทิ้งไว้ให้กับเมืองเจียงหลิงแห่งนี้
และหากระเบิดลูกใหญ่นี้เกิดระเบิดขึ้นมาจริงๆ หลี่ถงซีซึ่งอยู่ในเมืองนี้ก็จะต้องได้รับอันตรายไปด้วยอย่างแน่นอน
เพียงแค่คิด ฉีเล่ยก็ถึงกับขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว!
“เอาล่ะๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณอยู่ที่นี่ไปก่อน และห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด ผมว่าตอนนี้อี้ชากับพวกคงจะต้องกำลังตามหาตัวคุณอยู่แน่ และถ้าพวกเขารู้ว่าคุณยังไม่ตาย ยังไงซะก็คงต้องคิดที่จะกลับมาแก้แค้นคุณอีกแน่ๆ เข้าใจที่ผมพูดไหม?”
ซือไถพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ และนั่นบ่งบอกว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้เป็นอย่างดี
สองสามวันนี้ เจียงหลิงยังคงอยู่ในความสงบเป็นปกติ และยังไม่มีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้น แต่ยิ่งสงบนิ่งมากเท่าไหร่ ฉีเล่ยกลับยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้นเท่านั้น
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ฉีเล่ยนึกถึงคำพูดที่ว่า ยิ่งท้องทะเลสงบไร้คลื่นลมมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคลื่นลูกใหญ่กำลังจะมา อีกอย่าง ภายใต้ท้องทะเลที่สงบเงียบนั้น ล้วนแล้วแต่มีสิ่งต่างๆ ที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่
เช่นเดียวกับสถานการณ์ในเมืองเจียงหลิงตอนนี้ไม่มีผิด
มิหนำซ้ำ หลายวันมานี้ฉีเล่ยก็ยังไม่สามารถหาหลี่ถงซีพบ แม้ว่าเขาจะพยายามไปตามที่ต่างๆในเจียงหลิง ที่คิดว่าน่าจะต้องพบหลี่ถงซี แต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้งไป
………..
กลุ่มคนที่อยู่ภายในบ้านของซือไถก็ยังคงเฝ้าดูแลห้องที่เพาะเลี้ยงหนอนกู่อย่างหนาแน่น และหลังจากที่ฉีเล่ยหลบหนีออกไปแล้ว อี้ชาก็ได้หาวิธีทำลายหญ้ามรณะของฉีเล่ยที่ทิ้งไว้ ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของหนอนกู่ที่เพาะเลี้ยงไว้ และในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
สำหรับฉีเล่ยแล้ว นับว่าเขามีเวลาอีกไม่มากนัก
ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดหาวิธีการทำลายหนอนกู่อย่างหนักอยู่นั้น ก็มีข่าวคราวมาจากปักกิ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
“นี่! ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงพูดของหลินชูวโม่ดังมาจากปลายสายพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ
“เฮ้อ.. พูดถึงเรื่องนี้แล้วปวดหัว! หลังจากที่สองคนนั้นปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็หายไปเลย ไม่รู้ว่าทั้งคู่ยังซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อหาโอกาสดีที่จะลงมือ หรือว่ากลับเผ่าเหมี่ยวไปแล้วกันแน่? ผมเองก็คาดเดาไม่ถูกจริงๆ”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
“ส่วนถงซีผมเองก็ยังไม่ได้ข่าวคราวจากเธอเลย! ตอนนี้ก็มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนกันแน่?”
ฉีเล่ยได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนเผ่าเหมี่ยวทั้งหมดที่รู้มาให้หลินชูวโม่ฟัง เพราะเธอเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่เขาจะสามารถพูดคุยเรื่องเหล่านี้ด้วยได้
“ฟังจากที่นายเล่า ถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้ นี่ก็แสดงว่าสถานการณ์ยังไม่อยู่ในขั้นที่นายจะสามารถควบคุมได้”
หลินชูวโม่ร้องบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที และไม่บ่อยนักที่หญิงสาวจะใช้น้ำเสียงที่จริงจังมากแบบนี้
“ถ้าอี้ชากับซิ่วเอ๋อมีเป้าหมายอื่นนอกเหนือจากเล่นงานซือไถจริงๆ และถ้าการหายตัวไปของหลี่ถงซี เป็นเพราะเข้าร่วมกับคนเผ่าเหมี่ยวครั้งนี้ เธอก็น่าจะยังไม่ได้รับอันตรายอะไร สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้ก็คือรอให้เจียงหลิงเกิดเรื่องขึ้นก่อน”
หลังจากได้ฟังคำพูดของหลินชูวโม่ ฉีเล่ยก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผลไม่น้อย
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนายตอนนี้ก็คือ นายจะต้องพยายามหาที่ซ่อนของชนเผ่าเหมี่ยวกลุ่มนี้ให้พบ เพราะนี่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด และถ้านายหาพวกมันพบ ถึงจะสามารถขยายขอบเขตไปสืบเรื่องอื่นต่อได้”
ฉีเล่ยเห็นด้วยกับความคิดของหลินชูวโม่ และเวลานี้ภายในหัวของเขาก็เริ่มคิดวางแผนอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า หลินชูวโม่เป็นฝ่ายโทรเข้ามาหาตนเอง จึงได้เอ่ยถามกลับไปว่า
“ว่าแต่คุณโทรมาหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”
“โอ้! ฉันเกือบลืมไปซะสนิท ฉันมีข่าวดีจะมาบอกนาย ตอนนี้สภาแพทย์แผนจีนมีสมาชิกถึง 57 คนแล้วนะ แพทย์แต่ละคนที่เข้ามาลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิก ล้วนแล้วแต่เป็นบุคลกรทางการแพทย์คนสำคัญๆ ของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนเลยล่ะ”
ระหว่างที่บอกเล่าให้ฉีเล่ยฟังนั้น น้ำเสียงของหลินชูวโม่แสดงออกชัดเจนว่า ทั้งภาคภูมิใจแล้วก็ดีใจกับผลงานในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
“หืมม.. เป็นไปไม่ได้! แน่ใจนะว่าวันนี้ไม่ใช่วัน April Fool’s Day!”
“นี่! ฉันจะโกหกนายไปทำไมกันล่ะ?”
หลินชูวโม่ทำเสียงห้วนไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนแรกฉันเองก็ไม่คาดคิดหรอกนะน้องชาย เพียงแต่คารสิม่าของนายมันรุนแรงเหลือเกิน หลายๆคนที่พากันมาสมัครเป็นสมาชิกสภาแพทย์แผนจีน ส่วนใหญ่ที่มาก็เพราะชื่อเสียงของนายทั้งนั้นล่ะ! แหมๆๆ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่า นายจะโด่งดังขนาดนี้น่ะ”
ฉีเล่ยได้แต่ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หึ! ความจริงคุณควรต้องรู้เรื่องนี้ก่อนใครถึงจะถูก เพราะคาริสม่าของผมโดดเด่นมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคุณไม่เห็น ผมว่าตาคุณคงจะมีปัญหามากกว่า”
“ฮ่าๆๆ คนอะไร ชมตัวเองก็ได้ หน้าไม่อาย! เอาล่ะๆ ฉันไม่รบกวนนายแล้ว เอาเป็นว่านายรีบๆ หาทางสะสางปัญหาในเจียงหลิงให้เสร็จเร็วๆจะดีกว่า จะได้รีบกลับปักกิ่ง เพราะทางนี้ก็ต้องการตัวนายเหมือนกัน!”
ในฐานะที่เขาเป็นประธานสภาแพทย์แผนจีน อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิก และวางหลักการขององค์กรแห่งนี้ขึ้นมา เขาควรจะต้องหาเวลากลับไปพูดคุยกับสมาชิกเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ และกฏระเบียบขององค์กร เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาองค์กรต่อไปในวันข้างหน้า
“ผมเข้าใจ! คุณไม่ต้องห่วง ผมจะรีบสะสางเรื่องทางนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” ฉีเล่ยย้ำกับหญิงสาวหนักแน่น
“นี่! ฉันว่านายควรจะเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ของนายฟังนะ!”
หลินชูวโม่อดที่จะร้องบอกด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ นั่นเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับคนเผ่าเหมี่ยวนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โตและร้ายแรง หากฉีเล่ยจัดการทุกอย่างตามลำพังคนเดียวแบบนี้ เกรงว่าจะไม่ส่งผลดีสักเท่าไหร่
จนถึงตอนนี้ ฉีเล่ยเพิ่งจะพบเจอชนเผ่าเหมี่ยวในเจียงหลิงแค่สองคนเท่านั้น และไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขนาดนี้ เขาจึงไม่ได้คิดที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้กับอาจารย์ของเขาฟัง แต่มาถึงตอนนี้ และได้ฟังคำแนะนำของหลินชูวโม่ เขาก็เริ่มที่จะเห็นด้วยเช่นกัน
“อืมม น่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ!”
หลังจากพูดคุยกับหลินชูวโม่ต่ออีกครู่หนึ่ง ฉีเล่ยก็กดวางสายไป
ในเมื่อไม่สามารถสืบรู้เรื่องราว หรือหาเบาะแสในเจียงหลิงได้มากกว่านี้ เขาก็อยากจะลองวิธีอื่นดูบ้าง ไม่แน่ว่าอาจารย์ของเขาอาจจะมีเบาะแสอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉีเล่ยจึงได้จัดกระเป๋า เตรียมตัวที่จะไปหาอาจารย์ของเขา เป่ยฉวนเทียน!
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องๆหนึ่งในเมืองเจียงหลิง ทั้งอี้ชาและซิ่วเอ๋อต่างก็มีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายอย่างมาก ราวกับว่าได้ปฏิบัติภารกิจของตนเองเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
“นี่! ถ้ากลับไป ไม่รู้ว่าอาวุโสหวงจะตบรางวัลให้พวกเราสองคนยังไงบ้างนะ?” อี้ชาเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี
“งานยังไม่เสร็จดี แต่กลับคิดถึงเรื่องรางวัลซะแล้ว หน้าไม่อาย!”
ซิ่วเอ๋อจ้องมองอี้ชาด้วยสีหน้าท่าทางเขินอายพร้อมกับพูดต่อว่า “อย่าลืมสิว่า พวกเราสองคนออกมาปฏิบัติภารกิจสำคัญอย่างมาก ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
“เรื่องนั้นฉันเข้าใจดี แต่จะว่าไป นี่ถ้าไม่มีเจ้าประธานฉีคนนั้น ภารกิจของพวกเราคงจะสำเร็จไปตั้งแต่สองสามวันแรกแล้วล่ะ”
“ก็จริง! นี่ยังต้องมาเจอฤทธิ์ของหญ้ามรณะนั่นอีก แต่ไม่เป็นไร ไหนๆเราก็สามารถทำลายฤทธิ์ของหญ้านั่นได้แล้ว อย่างมากก็ล่าช้าไปแค่ห้าวัน ไม่มีอะไรต้องกังวล”
ซิ่วเอ๋อร้องบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา