ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่259 อดีตที่เคยกลมเกลียว
ตอนที่259 อดีตที่เคยกลมเกลียว
ในความเป็นจริง เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ระหว่างชนเผ่าเหมี่ยวกับแพทย์แผนจีนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นไปในทางที่ค่อนข้างดีอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลกันและกัน และด้วยลักษณะพิเศษเฉพาะของหนอนกู่ที่ชนเผ่าเหมี่ยวเลี้ยงไว้ ก็มีส่วนช่วยเหลือการแพทย์แผนจีนด้วยเช่นกัน
โรคภัยหลายชนิดที่ไม่สามารถรักษาให้หายด้วยวิชาแพทย์แผนจีน แต่ชนเผ่าเหมี่ยวกลับสามารถรักษาได้ และนั่นเป็นสาเหตุให้การแพทย์แผนจีนค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น และเริ่มมามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์มากขึ้นเรื่อยๆ
“เท่าที่ฉันเคยได้ยินได้ฟังมา เมื่อก่อนนี้ชนเผ่าเหมี่ยวไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ตามชายแดนเหมือนที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ พกวเขาสามารถเดินไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ได้อย่างเปิดเผย”
เป่ยฉวนเทียนเล่าให้ฉีเล่ยฟังด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
“แล้วทำไมทุกวันนี้ถึงได้เปลี่ยนไปล่ะครับ?”
ความจริงแล้ว เมื่อก่อนนี้ชนเผ่าเหมี่ยวก็เป็นเสมือนองค์กรๆหนึ่ง เช่นเดียวกับแพทย์แผนจีนในปัจจุบัน และทั้งสององค์กรก็มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอย่างมาก เรียกได้ว่า ในช่วงเวลานั้น กระทั่งแพทย์แผนตะวันตกที่เพิ่งแผ่ขยายเข้ามาในประเทศจีนใหม่ๆ ยังไม่สามารถเทียบได้เลยทีเดียว
แต่แล้ว.. เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น!
ครั้งนั้น หัวหน้าเผ่าเหมี่ยวที่ชื่อว่าว่านเซี่ยงตง และเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงมากคนหนึ่ง ได้ผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันกับหวังเซิ่งอี้ ซึ่งเป็นแพทย์แผนจีนในช่วงเวลานั้น
ในครั้งนั้น หวังเซิ่งอี้ได้ออกกฏการใช้วิชากู่ของชนเผ่าเหมี่ยวไว้ว่า ห้ามมิให้นำวิชานี้ไปใช้ทำร้ายผู้อื่นอีกต่อไป แต่ให้ใช้เพื่อการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยแทน
และเป็นเพราะพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองคนนี้เอง จึงทำให้การแพทย์แผนตะวันตกในช่วงเวลานั้นถูกสะกัดกั้นอย่างไม่มีโอกาสได้เกิด แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นจากเรื่องราวเพียงเล็กๆน้อยๆ
ที่ผ่านมาว่านเซี่ยงตงไม่มีลูกชายเลย จนกระทั่งอายุได้ห้าสิบกว่าๆ ในที่สุดภรรยาของเขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชายคนเล็กชื่อว่าว่านเหว่ย และว่านเซี่ยงตงก็ทั้งรักทั้งตามอกตามใจลูกชายของเขาอย่างมาก
แต่เป็นเพราะได้รับความรัก และตามอกตามใจมากจนเกินไปนี่เอง ทำให้ว่านเหว่ยกลายเป็นคนที่ไม่มีความปราณี และไม่เกรงกลัวใคร
เนื่องจากพ่อของเขาเป็นถึงหัวหน้าเผ่าเหมี่ยว ดังนั้น ตั้งแต่เล็กจนโตว่านเหว่ยจึงได้ครอบครองหนอนกู่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรดาหนอนกู่ใดๆในเผ่า เห็นได้ชัดว่าว่านเซี่ยงตงตามอกตามใจลูกชายของเขามาเพียงใด
กระทั่งว่านเหว่ยอายุได้สิบเจ็ดปีซึ่งนับว่าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว เขาก็ชอบออกไปเที่ยวเล่นในเมือง และทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญหาความสุขไปเรื่อยๆ
ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่าเหมี่ยว ว่ายเหว่ยจึงค่อนข้างหยิ่งทะนง อวดดี และไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
ทุกคนในเผ่าต่างก็รู้จักฐานะของว่านเหว่ยดี และไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะมีเสียงร้องเรียกทักทายว่า “นายน้อย” ไปตลอดเส้นทาง และนั่นยิ่งทำให้ความจองหองอวดดีในตัวว่านเหว่ยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ทุกคนในเผ่าจะรู้จักว่านเหว่ยดี แต่ใช่ว่าโลกภายนอกจะรู้จักเขา…
กลางดึกในค่ำคืนหนึ่ง ว่านเหว่ยได้ออกไปดื่มในเมืองจนเมามาย และได้บังเอิญมีเรื่องกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้า เพียงเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นบังเอิญไปสัมผัสเสื้อผ้าของเขาเข้าโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น
แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังเป็นหนุ่มเลือดร้อนทั้งคู่ และด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นภายในใจ ต่างฝ่ายต่างก็ระเบิดโทสะของตัวเองออกมาด้วยการพุ่งเข้าชกต่อยกัน
และด้วยความโมโหของว่านเหว่ย ไม่ว่าลูกน้องของเขาจะพยายามห้ามปรามยังไง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟัง และได้ทำการฝังนอนกู่ลงไปในร่างของเด็กหนุ่มที่มีเรื่องด้วยทันที
และนี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก!
นั่นเพราะเพียงแค่หนอนกู่ธรรมดาทั่วไป หากถูกฝังเข้าไปในร่างของใครเข้า ก็ย่อมส่งผลที่เป็นอันตรายร้ายแรงอย่างน่ากลัวแล้ว
จึงแทบไม่ต้องพูดถึงหนอนกู่ที่แข็งแกร่งที่สุดของว่านเซี่ยงตง ทันทีที่มันเข้าไปในร่างของเด็กหนุ่มได้ ก็จัดการดูดเอาเลือดบริสุทธิ์ในร่างของเขาเข้าไปจนหมดเกลี้ยง และท้ายที่สุดก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจตาย จากนั้น หนอนกู่ที่ได้ดูดเลือดเข้าไป ก็ตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันค่อยๆคืบคลานออกมาจากร่างไร้วิญญาณนั้นกลับไปหาว่านเหว่ย
เวลานั้น ดูเหมือนว่านายน้อยว่านเหว่ยจะได้ลิ้มรสความหอมหวาน ที่ได้เห็นหนอนกู่ของตนเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเริ่มค้นพบวิธีการสร้างความแข็งแกร่งให้กับหนอนกู่ของตนด้วยวิธีการใหม่ๆ
และเมื่อชนเผ่าเหมี่ยวคนอื่นๆได้ล่วงรู้ในสิ่งที่นายน้อยของเผ่าทำ หลายคนก็มีความคิดที่จะนำเรื่องนี้ไปบอกกับหัวหน้าเผ่า แต่ก็กล้าๆกลัว และท้ายที่สุดก็ได้แต่คิดเท่านั้น
ในช่วงแรกๆ ก็ยังพอที่จะสามารถปิดข่าวได้ เพราะยังมีคนล่วงรู้เรื่องนี้ไม่มากเท่าไหร่นัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความน่าสะพรึงกลัวก็ค่อยๆแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ นั่นเพราะผู้คนในเมืองต่างก็เริ่มพบว่า คนในครอบครัวของพวกเขาค่อยๆหายตัวไปอย่างกะทันหัน และเมื่อมาพบหลังจากนั้น คนที่หายตัวไปก็มักจะกลายเป็นศพซีดขาว เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกไปแล้ว กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ไม่สามารถหาสาเหตุการตายพบได้
ยิ่งนับวัน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีก
ในช่วงเวลานี้ ว่านเหว่ยและลูกน้องของเขาได้ฆ่าคนตายไปมากมายไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน และในระหว่างที่หวังเซิ่งอี้กำลังสืบสวนหาสาเหตุการตายอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นคุ้นเคยบางอย่างจากซากศพเหล่านั้น
“เซี่ยงตง บอกมาตามตรงว่านี่เป็นฝีมือของลูกชายนายใช่ไหม?”
และกลิ่นคุ้นเคยที่หวังเซิ่งอี้ได้กลิ่นจากซากศพเหล่านั้นก็คือ กลิ่นเฉพาะของหนอนกู่นั่นเอง!
หวังเซิ่งอี้นั้นรู้จักนิสัยใจคอของว่านเหว่ยดี และรู้ว่าหนอนกู่นี้จะต้องเป็นหนอนกู่ของว่านเหว่ยอย่างแน่นอน จึงได้ไปเค้นถามเอาความจริงจากว่านเซี่ยงตงผู้เป็นพ่อ
“เซิ่งอี้ มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันจะได้ไหม?”
แต่ตอนนี้ หวังเซิ่งอี้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป เดิมทีนั้น ผู้คนต่างก็หวาดกลัวเมื่อมีชนเผ่าเหมี่ยวปรากฏตัวในที่สาธารณชน แต่เป็นเพราะคำยืนยันจากปากของหวังเซิ่งอี้ว่า ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนเผ่าเหมี่ยวได้อย่างเป็นปกติสุข
แต่ปรากฏว่า กฏเกณฑ์ที่หวังเซิ่งอี้เคยตั้งไว้ว่า หนอนกู่จะต้องถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นคุณประโยชน์เท่านั้น เพื่อให้ชนเผ่าเหมี่ยวได้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนเมืองคนอื่นๆได้นั่นเอง
แต่ตอนนี้ กฏระเบียบเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงแค่ฟองสบู่ ที่แตกหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และด้วยความโมโหสุดขีด อีกทั้งต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู หวังเซิ่งอี้จึงได้กระทำการโดยมิได้ปรึกษาหารือกับหัวหน้าเผ่าเหมี่ยวอย่างว่านเซี่ยงตงก่อน เขาไปหาว่านเหว่ย และจัดการเรียกหนอนกู่ออกมาจากร่างของเด็กหนุ่ม และทำลายมันทิ้งในทันที
จำเป็นต้องรู้ด้วยว่า สำหรับชนเผ่าเหมี่ยวนั้น หนอนกู่เปรียบเสมือนชีวิตของคนๆนั้น หากหนอนกู่ที่ตนเลี้ยงถูกทำลายลงไป คนๆนั้นก็เท่ากับสูญสิ้นอนาคต ชีวิตหลังจากนั้นจะทำได้เพียงแค่อยู่อย่างเช่นคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ว่านเหว่ยถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าลุงใหญ่ที่ปกติใจดี และเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส จะกระทำการที่โหดเหี้ยมกับเขาขนาดนี้ และได้แต่จ้องมองหนอนกู่ของตนที่ถูกฆ่าตายอย่างน่าเวทนา พร้อมกับร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
“ไม่จำเป็นต้องร้องไห้เสียใจ! นี่เป็นกฏของการอยู่ร่วมกัน ฉันเคยบอกเธอและทุกๆคนในเผ่าเหมี่ยวแล้วว่า จะต้องระมัดระวังไม่ใช้หนอนกู่ไปทำร้ายผู้คน แต่ในเมื่อเธอทำผิดกฏ ก็ต้องได้รับบทลงโทษ ต่อให้พ่อของเธอขอร้อง ฉันก็คงยอมไม่ได้ และต้องลงโทษแบบนี้เหมือนกัน!”
หวังเซิ่งอี้ร้องบอกว่านเหว่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
และนี่คือที่มาของความขัดแย้งทั้งหมด!
ว่านเหว่ยรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด จึงได้แต่กล้ำกลืน และสะกดกลั้นความโกรธภายในใจไว้
แต่คนเผ่าเหมี่ยวเจียงคนอื่นๆกลับทนไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าหวังเซิ่งอี้นั้นทำเกินไป อีกทั้งยังไม่พอใจที่ตลอดเวลาหลายปีมานี้ แพทย์แผนจีนอย่างหวังเซิ่งอี้กลับทำตัวเหยียบหัวพวกเขามาโดยตลอด
และในช่วงเวลานั้นเอง ชนเผ่าเหมี่ยวต่างก็เริ่มต่อต้านหวังเซิ่งอี้ และนักเรียนแพทย์แผนจีนคนอื่นๆ พร้อมกับเริ่มปรึกษาหารือกันว่า ต้องการให้แยกชนเผ่าเหมี่ยวออกจากแพทย์แผนจีนอย่างถาวร ให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระไม่ขึ้นต่อกันและกัน
และนี่นับเป็นจุดบอดที่ใหญ่ที่สุดของวงการแพทย์แผนจีนนับแต่นั้นมา!
และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของหวังเซี่ยงตงเช่นกัน ที่ได้ประกาศเป็นปรปักษ์กับพี่น้องร่วมสาบานของตนมานาน!