ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่262 นับถอยหลังสู่หายนะ
ตอนที่262 นับถอยหลังสู่หายนะ
เวลานี้ ซือไถเพิ่งจะเข้าใจว่า เพราะเหตุใดชายหญิงเผ่าเหมี่ยวจึงได้นำตัวเขามาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง
“ค่อยๆ ใจเย็นๆ ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย…”
หนอนกู่ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปในร่างของซือไถ มันค่อยๆเจาะเข้าไปในผิวหนังของเขาอย่างช้าๆ กระทั่งในที่สุดก็เข้าสู่ภายในร่างกายของเขาได้
ซือไถยังจดจำความเจ็บปวดทรมานที่เกิดจากหนอนกู่ได้ไม่ลืม เขาไม่มีท่างที่จะลบเลือนความรู้สึกเจ็บปวดที่ฝังลึกลงไปในจิตใจครั้งนั้นได้ และท้ายที่สุด เขาก็ต้องกลับมารับรู้ความเจ็บปวดเหมือนเมื่อครั้งก่อนอีก
“นี่พวกเธอคิดที่จะใช้ฉันเป็นหนูทดลองสินะ?”
“อืมม ก็ฉลาดดีนี่! แต่คุณก็ต้องเข้าใจพวกเราเหมือนกัน ถ้าพวกเราไม่มั่นใจว่าหนอนกู่ได้เจริญเติบโต และได้รับการพัฒนาตามที่ต้องการแล้ว พวกเราจะกล้าดำเนินตามแผนการได้ยังไงล่ะ ใช่ไหม?”
หนอนกู่ภายในร่างของซือไถออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว และเวลานี้ใบหน้าของชายชราก็เริ่มปลี่ยนเป็นสีเขียว ก่อนจะกลายเป็นสีม่วง ลักษณะของเขาในตอนนี้ดูคล้ายกลับคนที่ได้รับบาดเจ็บ และสูญเสียเลือดไปมาก
สภาพของชายชราดูช่างน่าสะพรึงกลัวมากเหลือเกิน!
ผิวหนังบริเวณลำคอเริ่มเน่าเปื่อย และมีรอยจ้ำเกิดขึ้นเป็นจุดๆมากมาย ตามมาด้วยน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากรอยเน่าเปื่อยนั้น
“จุ๊ๆๆๆ ดูเหมือนว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่โดนอย่างมาก แต่ว่า…”
ก่อนที่อี้ชาจะทันได้พูดจบประโยค ซิ่วเอ๋อที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็เป็นฝ่ายพูดออกมาเสียก่อน “ฉันว่ามันยังไม่โตเต็มวัยมากพอ”
เป็นเพราะการขัดขวางของฉีเล่ยในครั้งนั้น ทำให้ชายหญิงเผ่าเหมี่ยวคู่นี้ไม่สามารถระบุวัยของหนอนกู่ที่เลี้ยงได้อย่างแม่นยำ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหาคนมาเป็นหนูทดลองให้กับพวกเขา
“พวกแกเอาคนมาเป็นหนูทดลองหนอนกู่ของตัวเองแบบนี้ พวกแกจะต้องตกนรก! ฉันของสาปแช่งให้พวกแกตกนรกหมกไหม้!”
ซือไถร้องตะโกนออกมาอย่าคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า
การถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยการปล่อยหนอนกู่เข้าร่างแบบนี้ ทำให้ซือไถรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และหวาดกลัว ทุกครั้งที่เขาเห็นซิ่วเอ๋อกับอี้ชาปรากฏตัว ชายชราได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจว่า เขาจะต้องเจ็บปวดทรมานแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่?
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะครุ่นคิดไปมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ตัวเองจะต้องพบเจอกับสถานการณ์เลวร้ายอะไรอีกบ้าง และจะต้องเผิชญหน้ากับมันไปอีกนานแค่ไหน?
“ขุมนรกงั้นเหรอ?”
ซิ่วเอ๋อหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดเย้ยหยันต่อว่า “มีหรือจริงรึเปล่าก็ไม่รู้? แต่ถ้ามีจริงๆฉันก็ไม่กลัวหรอกนะ เพราะคนที่จะต้องตกนรกก่อนคงจะไม่ใช่พวกฉัน แต่เป็นไอ้พวกหมอแผนจีนโน่นต่างหากล่ะ!”
แต่ตอนนี้ ซือไถกลับไม่สามารถตอบโต้อะไรอีกฝ่ายได้อีกแล้ว นั่นเพราะเขาเจ็บปวดทรมานจนไม่สามารถพูดอะไรได้ จนกระทั่งผ่านไปราวสองสามนาที ในที่สุดซือไถก็เป็นลมหมดสติไป
อี้ชาที่ยืนอยู่ข้างๆ หันไปจ้องมองร่างที่นอนแน่นิ่งของชายชราพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“จะให้ปลุกตาแก่นี่ขึ้นมาไหม? แต่ฉันว่าตอนนี้ควรหยุดการทดลองไว้สักพักก่อน!”
“ไม่จำเป็น! ปล่อยให้ตาแก่นี่อยู่แบบนี้ไปก่อน ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาดู แล้วถ้าพรุ่งนี้ร่างกายของมันเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่านี้ พวกเราค่อยจับมันโยนทิ้งไป ถึงตอนนั้นเราก็น่าจะพอตัดสินใจอะไรได้บ้างแล้วล่ะ!”
ชายหญิงเผ่าเหมี่ยวทั้งสองคน ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าเผ่า หรือคนอื่นๆในเผ่ารู้เลย ทันทีที่พวกเขาได้พบกับฉีเล่ย ทั้งคู่ก็คิดแผนการนี้ขึ้นมาได้ และลงมือทำตามแผนทันที
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉีเล่ยคาดเดาไว้ตั้งแต่แรก หากชายหญิงเผ่าเหมี่ยวคู่นี้คิดจะเล่นงานแพทย์แผนจีนตั้งแต่แรก พวกมันคงจะไม่เลือกมาที่เมืองเจียงหลิงตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน
อี้ชาเห็นด้วยกับความเห็นของซิ่วเอ๋อ หลังจากพยักหน้าส่งสัญญาณให้แล้ว เขาก็เดินนำซิ่วเอ๋อลงไปข้างล่าง และปล่อยให้ซือไถนอนหมดสติอยู่ในห้องตามลำพัง
………..
ในเวลาเดียวกันนั้น
ฉีเล่ยซึ่งอยู่บนเขาหงหยาซาน และกำลังเดินค้นหาหญ้าท้อจนใกล้จะหมดเรี่ยวแรง แต่ก็ยังไม่เห็นสมุนไพรที่รูปร่างลักษณะคล้ายกับหญ้าท้อในตำราร้อยสมุนไพร ที่ไป่ฉวนเทียนเอาให้เขาดูเลย
ฉีเล่ยที่เดินถือไฟฉายส่องหาหญ้าท้อมานานร่วมสองสามชั่วโมง ในที่สุดก็ได้แต่ทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ปากก็ได้แต่บ่นพึมพำ
“โธ่โว้ย! ทำไมมันถึงได้หายากหาเย็นนักนะ?”
เวลานี้ ฉีเล่ยไม่เพียงแค่เหนื่อยกาย แต่เขายังรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมากด้วย นั่นเพราะเขารู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก หากเขาไม่สามารถค้นหาหญ้าท้อพบก่อนที่หนอนกู่ในห้องนั้นจะโตเต็มวัยแล้วล่ะก็ ทั่วทั้งเมืองเจียงหลิงจะต้องเผชิญกับหายนะใหญ่หลวงขึ้นอย่างแน่นอน
ฉีเล่ยแทบไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงผลที่จะตามมา เขาได้แต่กัดฟัน สลัดความเหน็ดเหนื่อยในร่างกายทิ้งออกไปจนหมด แล้วลุกขึ้นยืน และเริ่มเดินหาหญ้าท้อต่อไปในทันที
หลังจากเดินมุ่งหน้าไปตามทางบนยอดเขาต่ออีกราวสองสามร้อยเมตร ฉีเล่ยก็เตรียมตัวที่จะเลี้ยวไปสำรวจทางทิศตะวันออกแทน แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ จมูกของเขาก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง มันเป็นกลิ่นที่ออกจะแปลกๆอย่างมาก!
ฉีเล่ยรู้สึกว่ากลิ่นนี้มีความคล้ายคลึงกับกลิ่นแปลกๆ ที่อบอวลอยู่ภายในบ้านของซือไถ เพียงแต่หากสังเกตให้ดีๆจะพบว่า กลิ่นแปลกนี้มีความหอมหวานปะปนอยู่เล็กน้อย
“กลิ่นนี่…”
ฉีเล่ยพึมพำออกมา หลังจากที่ได้กลิ่นแปลกประหลาดนี้
เขาได้แต่คิดใคร่ครวญว่า ในสถานที่กลางป่าเขาแบบนี้ จู่ๆทำไมถึงได้มีกลิ่นแปลกประหลาดคล้ายกับกลิ่นในบ้านหลังนั้นได้ เพียงแค่นี้ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
“เอ๊ะ?! หรือว่านี่จะเป็นกลิ่นของหญ้าท้อกันนะ?”
ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะหากเขาสามารถหาหญ้าท้อพบเข้าจริงๆ นี่คงจะเป็นข่าวดีที่สุดของเขาในตอนนี้เลยทีเดียว!
ฉีเล่ยเดินตามกลิ่นแปลกๆนั้นไปอย่างช้าๆ และในที่สุดเขาก็พบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างแปลกประหลาด
“หญ้าท้อ! นั่นมันหญ้าท้อนี่!”
ฉีเล่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
นั่นเพราะเวลานี้ สมุนไพรที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้น มีรูปร่างเหมือนกันภาพในตำราร้อยสมุนไพรไม่มีผิด เรียกได้ว่าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียว
และทันทีที่แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายในมือของฉีเล่ยสาดส่องเข้าที่หญ้าท้อ มันก็พริ้วไหวราวกับหญิงสาวที่กำลังเขินอาย
“นี่.. นี่ฉันหาหญ้าท้อพบแล้วจริงๆน่ะเหรอ?”
ฉีเล่ยรำพึงรำพันออกมา พร้อมกับจ้องมองหญ้าท้อตรงหน้าด้วยความรู้สึกมากมายที่พุ่งพล่านอยู่ภายใน และเขาก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบนิ่งได้เลย
แต่ถึงแม้ว่าจะพบเจอหญ้าท้อแล้ว เขาก็ยังคงต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก!
นั่นเพราะก่อนที่เขาจะเดินทางมาค้นหาหญ้าท้อนั้น เป่ยฉวนเทียนได้กำชับเขานักหนาว่า เมื่อพบหญ้าท้อแล้ว อย่ารีบผลีผลามเข้าไปเด็ดนัก ให้ระมัดระวัง และสำรวจให้ดีก่อน เพราะบริเวณที่มีหญ้าท้ออยู่ มักจะมีแมลงร้ายซ่อนอยู่ด้วย
หญ้าท้อจัดเป็นสมุนไพรที่หาพบได้ยากยิ่งนัก หรือกรียกได้ว่าแทบจะไม่มีผู้คนพบเจอเลยก็ว่าได้ และหากไม่ใช่บนยอดเขาหงหยาซานนี้แล้วล่ะก็ ยากนักที่จะมีโอกาสพบเห็นหญ้าท้อ
และแน่นอนว่า สมุนไพรยิ่งหากยากมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสมุนไพรล้ำค่ามากเท่านั้น และในเมื่อเป็นสมุนไพรล้ำค่า ย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างคอยปกป้อง
ฉีเล่ยกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ เขาจ้องมองและสำรวจไปรอบๆหญ้าท้อที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับคิดหาวิธีที่จะถอนมันกลับไปด้วย
“ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ต้องเอาแกกลับไปด้วยให้ได้!”
ในเมื่อนี่เป็นสมุนไพรชนิดเดียวที่จะสามารถกำจัดหนอนกู่ของคนเผ่าเหมี่ยวได้ หญ้าท้อจึงนับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา และหากเขาสามารถนำมันกลับไปได้ ก็จะสามารถช่วยให้เมืองเจียงหลิงหลีกพ้นจากหายนะในครั้งนี้ได้
ฉีเล่ยอยากจะเดินเข้าไปเด็ดหญ้าท้อเดี๋ยวนี้ทันที แต่เป็นเพราะว่าดึกมากแล้ว และท้องฟ้าก็ค่อนข้างมืดมิด ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้ชัดเจน แม้ว่าจะมีไฟฉายเล็กๆกระบอกนี้อยู่ก็ตาม
สู้คอยถึงพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า!
จะถอนคืนนี้ หรือพรุ่งนี้เช้าก็คงจะไม่มีอะไรต่างกันมากนัก ต่อให้เขาเด็ดหญ้าท้อในตอนนี้ ก็คงจะไม่สามารถเดินลงเขาในเวลาค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้ได้ ยังไงก็คงต้องรอให้ฟ้าสางก่อน จึงจะสามารถลงเขาได้อย่างปลอดภัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้พักผ่อนสักคืน แล้วรอให้ฟ้าสว่าง และสามารถมองเห็นอะไรๆได้ชัดกว่านี้
ในเมื่อเขาเองก็ค้นหามันจนพบแล้วนี่ จากนี้ไปก็คงไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจอีกแล้วล่ะ!
และแล้วฉีเล่ยก็นอนหลับไปด้วยความสุขสงบ…
………
เช้าวันใหม่
ภายในบ้านของซือไถในเมืองเจียงหลิง ซิ่วเอ๋อและอี้ชาต่างก็ไปถึงที่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ และพบว่า ซือไถยังคงนอนหมดสติอยู่บนชั้นสองของบ้าน
กลุ่มคนที่ใบหน้าแน่นิ่งไร้ความรู้สึกราวกับไร้จิตวิญญาณ พากันเปิดทางให้ซิ่วเอ๋อและอี้ชาเดินเข้าไปในห้อง และเมื่อซิ่วเอ๋อได้เห็นสภาพของซือไถเวลานี้ เธอก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ใกล้แล้วสินะ?”
อี้ชาได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองซิ่วเอ๋อด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ปากก็ร้องถามออกไปว่า “อีกกี่วันถึงจะใช้งานได้?”
“อย่างช้าที่สุดสามวัน! เริ่มนับถอยหลังจากนี้ไปอีกสามวันได้เลย และถ้าเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ ชาวเจียงหลิงทุกคนจะต้องได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดทรมาน!”
ซิ่วเอ๋อร้องตอบด้วยสีหน้า และน้ำเสียงโหดเหี้ยม!
อี้ชาดีอดดีใจจนกระโดดเข้าไปกอดซิ่วเอ๋อไว้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในที่สุดพวกเราสองคนก็สามารถทำงานใหญ่ได้สำเร็จ!”
ซูไถนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ครั้งก่อนฉีเล่ยเข้ามาช่วยชีวิตของเขาไว้ได้โดยบังเอิญ แต่ปาฏิหารย์คงจะไม่เกิดซ้ำสองอย่างแน่นอน!