ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่265 อีกแค่ก้าวเดียว
ตอนที่265 อีกแค่ก้าวเดียว
ฉีเล่ยหันหลังกลับไปมองหนูหยางม่วงที่กำลังวิ่งไล่ตามตนเองมาอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อนึกถึงการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยก็ได้แต่นึกเสียใจและแทบอยากจะเขกหัวตัวเอง
นี่ถ้าเขาไม่กระโดดโลดเต้นดีอกดีใจจนเกินไปแบบนั้น ป่านนี้เขาก็คงสามารถออกจากป่าหญ้าท้อแห่งนี้ไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่มานั่งนึกเจ็บใจตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ฉีเล่ยทำได้เพียงแค่ต้องพยายามวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในระหว่างนั้น ก็พยายามคิดหาวิธีที่จะวิ่งหนีลงไปจากยอดเขาหงหยาซานแห่งนี้ให้เร็วที่สุดด้วย เพราะคงจะมีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่จะช่วยให้เขาเอาชีวิตรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัย
บางทีอาจเป็นเพราะฉีเล่ยค้นพบวิธีขโมยหญ้าท้อไปได้สำเร็จ ทำให้หนูหยางม่วงตัวนี้รู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติ มันถึงได้โกรธมากขนาดนี้ และดูเหมือนมันจะไม่ยอมปล่อยฉีเล่ยให้รอดไปได้อย่างแน่นอน
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าถูกหนูหยางม่วงวิ่งไล่ล่ามาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว แต่เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของมันก็ยังคงดังอยู่ข้างหลังของเขาไม่หยุด ฉีเล่ยรู้สึกเหนื่อยจนแทบสายตัวแทบขาด และแทบจะล้มตึงลงไปกับพื้นอยู่หลายครั้ง
ฉีเล่ยรู้ตัวว่า ขืนเขายังคงวิ่งหนีอยู่ต่อไปแบบนี้ ก็คงจะต้องหมดแรง และถูกหนูหยางม่วงไล่ตามได้ทันอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไร ร่างกายของเขาก็คงจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับเจ้าหนูหยางม่วงตัวนี้แน่
และหากเขาถูกมันจับได้ล่ะก็… ฉีเล่ยแทบไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหลังจากนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อวิ่งไปได้เกือบครึ่งค่อนเขา ฉีเล่ยก็มองเห็นถ้ำอยู่ไกลๆ และตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดครึ้มลงมากแล้ว และหากไม่ใช่เพราะแสงสว่างจากกระบอกไฟฉายในมือของเขา เขาก็คงไม่สามารถมองเห็นถ้ำตรงหน้าได้
ฉีเล่ยไม่รอช้า เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตรงเข้าไปยังถ้ำนั้นทันที แต่เมื่อไปถึงก็พบว่า ปากถ้ำนั้นมีบางสิ่งบางอย่างขวางอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปด้านในได้
ในเมื่อจะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ฉีเล่ยจึงได้แต่ยอมรับว่าตัวเองช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน เขาจำต้องหันหน้าไปเผชิญกับหนูหยางม่วงตัวนั้น พร้อมกับใช้ไฟฉายในมือส่องเข้าไปที่ใบหน้าของมัน ในใจได้แต่คิดว่า เขาคงจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้อีกแล้วอย่างแน่นอน
แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาทั้งคู่ของหนูหยางม่วงก็เบิกกว้างขึ้น สีหน้าของมันดูตกอกตกใจ และหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าใบหน้าของฉีเล่ยในตอนนี้อีก ดวงตาที่เบิกกว้างของมันนั้น ทำให้ฉีเล่ยอดสงสัยไม่ได้ว่า ใครที่เป็นคนไล่ล่าใครกันแน่?
สถานการณ์ในตอนนี้ดูแปลกประหลาดมากสำหรับฉีเล่ย!
หนูหยางม่วงทำท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาใหญ่โตของมันจ้องมองฉีเล่ย คล้ายกับกำลังครุ่นคิดว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ท้ายที่สุด สายตาของมันก็เปลี่ยนเป็นเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
“นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?!”
ฉีเล่ยทั้งตกใจและประหลาดใจไปพร้อมๆกัน แต่ตอนนี้ เขาก็กำลังดีอกดีใจที่สามารถเอาชีวิตรอดจากความตายตรงหน้ามาได้อย่างหวุดหวิด แม้จะไม่รู้ว่าหนูหยางม่วงทำแบบนี้เพราะอะไรก็ตาม แต่การที่เขาสามารถขโมยหญ้าท้อมาได้ และสามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้นั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่า
มีคำพูดว่า ความอยากรู้อยากเห็นสามารถฆ่าคนได้ และฉีเล่ยเองก็กำลังจะเป็นแบบนั้น!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะรอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ท่าทางของหนูหยางม่วงก็ทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมามาก
และแล้วสีหน้าของฉีเล่ยก็เปลี่ยนเป็นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“มีอะไรอยู่ในถ้ำงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยหันหลังกลับไปมองถ้ำที่อยู่ด้านหลังตนเองในตอนนี้ด้วยความสงสัยทันที และได้แต่คิดว่า ฟ้าก็มืดแล้ว ต่อให้เขารีบลงเขาไปตอนนี้ก็คงไม่มีเครื่องกลับเจียงหลิงอยู่ดี แต่ถ้าลงเขาพรุ่งนี้เช้า และกลับไปเจียงหลิงในวันเดียวกันก็น่าจะยังไม่ช้าจนเกินไป และน่าจะยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
“จะเข้าไปดูข้างในดีไหมนะ?”
ฉีเล่ยร้องถามตัวเองออกมาเบาๆ
แต่ตอนนี้ปากถ้ำมีแผ่นหินขนาดใหญ่คล้ายประตูปิดไว้อยู่ ถ้าจะเข้าไปด้านใน เขาคงต้องคิดหาวิธีที่จะดันประตูหินขนาดใหญ่นี้ออกให้ได้เสียก่อน เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยก็ตัดสินใจกระทำการบางอย่าง และในที่สุดก็สามารถผลักประตูหินนั้นให้เคลื่อนออกไปได้
ครืน…
ฝุ่นดินจากพื้นลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ส่องสะท้อนภายใต้แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายเป็นรูปทรงกระบอก ดูแล้วก็สวยงามแปลกตาดี
จากนั้น ฉีเล่ยก็เริ่มเดินเข้าไปในถ้ำ ด้านหน้าของเขาเป็นทางเดินทอดยาวอย่างมาก แม้ปากถ้ำจะค่อนข้างเล็ก แต่ภายในถ้ากลับกว้างขวางใหญ่โตอย่างน่าทึ่ง
ทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปในถ้ำนั้นว่างเปล่าไร้ร่องรอย คล้ายกับว่าไม่เคยมีผู้ใด หรือสัตว์ใดๆเดินผ่านเส้นทางนี้มานาน ฉีเล่ยยังคงไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดหนูหยางม่วงจึงได้มีท่าทีหวาดกลัวถ้ำแห่งนี้ และด้วยความอยากรู้ เขาจึงได้เดินตรงไปข้างหน้าเพื่อหาสาเหตุ
แม้ว่าบนยอดเขาหงหยาซานแห่งนี้ จะเป็นแหล่งรวมสมุนไพรจีนล้ำค่าที่มีราคาแพงและหาได้ยากยิ่ง แต่บนนี้กลับไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายให้พบเห็นเลย
แต่เหตุผลที่ทำให้ยอดเขาแห่งนี้ยังคงมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ค่อนข้างมากน้น ก็คงจะเป็นเพราะว่า
ประการแรก.. สมุนไพรล้ำค่ามักจะซ่อนตัวอยู่ในที่ลับหูลับตาคน เช่นเดียวกับหญ้าท้อ หากไม่ใช่เพราะเขาเดินตามเสียงของหนูหยางม่วงไปแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่สามารถหาป่าหญ้าท้อพบได้แน่
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ กลุ่มแพทย์แผนจีนในเมืองหยูหนานนั้น ได้รวมตัวกันปกป้องเขาหงหยาซานแห่งนี้อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าสมุนไพรจำนวนมากเข้ามาเก็บสมุนไพรบนเขาได้ตามอำเภอใจ
ตอนนี้ ฉีเล่ยเริ่มไม่สนใจความปลอดภัยของชีวิตตัวเองแล้ว เขาเริ่มรู้สึกว่า ที่นี่มีบางสิ่งบางอย่างที่น่าค้นหา!
หลังจากเดินตามทางต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดฉีเล่ยก็พบเจอบางสิ่งบางอย่างที่สะดุดตา
ด้านหน้าของเขาเวลานี้ มีกองอัญมณีมากมายกำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่ กระทั่งอยู่ในถ้ำที่มืดมิด อัญมณีเหล่านั้นยังส่องประกายวูบวาบออกมาให้เห็น
“นี่มันขุมสมบัติหรือไงเนี่ย?”
ฉีเล่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
หากเป็นเขาคนก่อนหน้านี้ หากได้พบเจออัญมณีล้ำค่ามากมายแบบนี้ คงจะต้องรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ที่ได้ค้นพบขุมสมบัติมหาศาลแบบนี้
“นี่มันอะไรกัน?! แค่หยิบติดมือกลับไป ก็สามารถนำไปขายเป็นเงินได้เลยนะเนี่ย!”
แต่หลังจากที่มีเป้าหมายบางอย่างในชีวิตแล้ว ก็ทำให้ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องเงินทองมากนัก และเมื่อได้เห็นกองสมบัติมหาศาลอยู่ตรงหน้า เขาก็แค่ตกอกตกใจและตกตะลึง แต่กลับไม่ได้คิดอยากจะได้มันกลับไป
บนยอดเขาหงหยาซานแบบนี้ ทำไมถึงได้มีขุมสมบัติมหาศาลนี้ได้นะ?
ระหว่างที่เดินตรงเข้าไปข้างในต่อนั้น ฉีเล่ยก็อดที่จะครุ่นคิดสงสัยไปด้วยไม่ได้ จนต้องหันหลังกลับดูอีกครั้ง แต่กลับพบว่า เมื่อเขาเดินผ่านมาแล้ว กองอัญมณีที่อยู่ด้านหลังนั้นก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เวลานี้ไม่มีอัญมณีล้ำค่าอยู่อีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นกองกระดูกมนุษย์แทน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ฉีเล่ยได้แต่นึกสงสัยและหวาดกลัว แต่ก็ไม่สามารถหันหน้าไปถามใครได้
ฉีเล่ยถึงกับหยุดชะงัก และไม่กล้าที่จะเดินต่อไปอีก เพราะไม่รู้ว่าด้านหน้านั้นจะมีอะไรรอเขาอยู่ อีกทั้งกองกระดูกนี้ก็สามารถบอกอะไรกับเขาได้หลายอย่าง
ต่อให้ที่นี่จะมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงใด ก็มีหลายคนที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ก่อนหน้านี้!
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ชีวิตของตนเองกำลังจะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ฉีเล่ยก็ถึงกับใจสั่นและเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว และได้แต่คิดว่า หากเขาพบเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่ทั้งอันตรายและน่ากลัวเข้า นี่ไม่เท่ากับเขาหนีเสือปะจรเข้หรอกหรือ? อุตส่าห์หนีหนูหยางม่วงมาได้ แต่กลับจะต้องมาตายเพราะอะไรก็ไม่รู้
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉีเล่ยก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงได้แต่เร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้น เมื่อครู่ที่เขาเดินเข้ามาในถ้ำนั้น มันเป็นทางตรงอย่างเดียวไม่มีทางแยกเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมขากลับ ถึงได้มีทั้งทางโค้งทางแยกยิบย่อยมากมายแบบนี้
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?
ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่นับว่ายังโชคดี ที่ฉีเล่ยเป็นคนข้องข้างระมัดระวังตัว ระหว่างทางที่เข้ามาเขาจึงได้แอบทำสัญลักษณ์ไว้ตามทางเดิน และเขาก็จำสัญลักษณ์ทั้งหมดของตัวเองได้อย่างแม่นยำ เขาจึงรีบวิ่งไปตามสัญลักษณ์นั้น และตั้งใจวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่าหากชักช้าไปคงจะไม่ทันการแน่
และในที่สุดก็สามารถวิ่งไปจนถึงปากถ้ำได้
แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว..
จุ่ๆ ก็มีเสียงครืนขึ้นคล้ายกับเสียงตอนที่เขาผลักประตูหินขนาดใหญ่นั่นออก
และเวลานี้ ประตูหินนั่นก็ได้เลื่อนเข้ามาปิดปากถ้ำไว้อีกครั้ง
นี่มัน…
ฉี่เล่ยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแต่ และเวลานี้เขาก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
หากเขารู้ว่าประตูหินนั่นจะปิดได้เอง เขาคงจะรีบวิ่งไปอย่างสุดกำลังที่มีแน่ และเขาก็คงจะสามารถออกไปจากถ้ำแห่งนี้ได้แล้ว
เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขาเองแท้ๆเชียว ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เขาคงจะกำลังเดินลงเขาไปแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวแท้ๆเชียว!
และตอนนี้ ก็คงจะไม่มีใครช่วยเขาได้อีกแล้ว และเขาก็คงจะต้องตายอยู่ในถ้ำนี้อย่างแน่นอน!