ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่266 ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยาง
ตอนที่266 ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยาง
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะขื่น
บางครั้งชะตากรรมของคนเรานั้นก็ช่างน่าสังเวช และไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดูอย่างเขาสิ มีทางเลือกที่ดีกว่ากลับไม่เลือก ท้ายที่สุดกลับเลือกที่จะเดินเข้าไปอยู่ในจุดที่เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่สามารถกลับออกไปได้
ฉีเล่ยไม่สามารถสรรหาข้ออ้างใดมาอธิบายความประมาทเลินเล่อของตัวเองในครั้งนี้ได้อีก
แต่ในเมื่อเหตุการณ์มันกลับตาลปัตรมาเป็นเช่นนี้แล้ว ฉีเล่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องครุ่นคิดหาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ ก่อนที่ซิ่วเอ๋อกับอี้ชาจะเริ่มลงมือทำร้ายผู้คนในเจียงหลิง และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แต่ถ้าโชคร้าย เขาไม่สามารถหาหนทางออกไปจากถ้ำแห่งนี้ได้จริงๆ เขาก็คงต้องหาวิธีที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในถ้ำแห่งนี้ให้ได้แทน
ฉีเล่ยนึกถึงกองโครงกระดูกที่ได้เห็นภายในถ้ำก่อนหน้านี้ และได้แต่รู้สึกว่า คนเหล่านั้นก็คงจะไม่แตกต่างจากตนเองในตอนนี้ พวกเขาคงจะเข้าไปในถ้ำนั้นเพียงเพราะแค่ความอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้คิดที่จะไปทำอะไรอย่างอื่น
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเรื่องหนึ่งที่ฉีเล่ยยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เขาเป็นคนผลักแผ่นหินนั่นออกด้วยตัวเอง และตอนที่เดินเข้าไปในถ้ำ เขาก็ไม่ได้ผลักแผ่นหินนั่นปิด
ใครกันที่เป็นคนผลักประตูหินนั่นให้ปิดลง?
แล้วจู่ๆคนๆ นั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีคนคอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็ถึงกับใจสั่น และยิ่งครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ฉีเล่ยสำรวจมองไปรอบตัว และพยายามที่จะสอดส่ายหาสายตาคู่นั้น ที่คอยจับจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ท้ายทีสุดกลับไม่พบอะไรเลย
ในเมื่อยังไม่สามารถคิดหาวิธีออกจากถ้ำแห่งนี้ได้ ฉีเล่ยจึงทำได้เพียงแค่หันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง และเมื่อเขาหันหลังกลับไป ทางที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นเหมือนครั้งแรกที่เขาเดินเข้าไป ส่วนทางคดเคี้ยวทางแยกต่างๆที่เขาพบเห็นในระหว่างกลับออกมานั้น ได้อันตรธานหายไป เหลือเพียงแค่ทางเดินเข้าไปที่เป็นเส้นตรงแทน
เมื่อเดินเข้าไปด้านในอีกครั้ง สิ่งที่ฉีเล่ยพบเห็นในครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งแรกเลย เขาพบเห็นทั้งกองอัญมณี และกองกระดูกมนุษย์
และทุกครั้งที่ฉีเล่ยหันไปมองกองกระดูกนั้น เขาก็ถึงกับขนหัวลุก และสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง ราวกับว่ามีพลังหยินจำนวนมากกำลังพวยพุ่งเข้าไปในร่างของตนเอง
แม้ว่าที่ผ่านมากายหยางบริสุทธิ์จะสร้างปัญหาให้กับฉีเล่ยเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้มันกลับมีบทบาทในการปกป้องคุ้มครองเขา
และเวลานี้ กองกระดูกที่อยู่ด้านหลังของฉีเล่ยก็ได้อันตรธานหายไป เหลือเพียงแค่พื้นที่ว่างเปล่า
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปไกลเท่าไหร่ และนานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อเขาได้พบเห็นแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาจึงได้รู้ตัวว่าตนเองเริ่มหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างมากแล้ว
บริเวณที่เขายืนอยู่นี้ มีเทียนไขถูกจุดเรียงรายไว้เป็นแนวยาว ภายในถ้ำปรากฏสายลมพัดบางเบา และแสงของแท่งเทียนเหล่านั้นก็ได้ช่วยให้ถ้ำแห่งนี้สว่างไสวไปทั่วได้
ฉีเล่ยได้แต่ตกตะลึง และคิดไม่ถึงว่าบนยอดเขาสูงอย่างเขาหงหยาซานนี้ จะมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ด้วย และในเมื่อมาเดินมาถึงที่นี่แล้ว หากไม่เข้าไปสำรวจดูให้รู้แน่ จะไม่เท่ากับว่าการที่เขาอุตส่าห์เดินเข้ามาในถ้ำลึกแห่งนี้จะยิ่งเป็นการเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?
และเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จิตใจของฉีเล่ยจากที่เคยตื่นตระหนก และหวาดกลัวก่อนหน้านี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งมั่นคงมากขึ้น
เวลานี้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขาก็คือความตาย การสำรวจถ้ำแห่งนี้ให้รู้ก่อนที่จะตาย จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาสามารถตายตาหลับได้
หลังจากเดินตามทางที่มีเทียนจุดเรียงรายไปเรื่อยๆ ในที่สุดฉีเล่ยก็มองเห็นบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า และมีชายชราผมขาวคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนบัลลังก์นั้น
“บ้าเอ๊ย!! นี่ในถ้ำมีคนอยู่ด้วยหรอกเหรอเนี่ย?”
ฉีเล่ยทั้งสบถทั้งร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าภายในถ้ำบ้าๆแห่งนี้จะยังมีคนที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่อีก
“เจ้ามาแล้วรึ?”
หลังจากได้ยินเสียงร้องของฉีเล่ย ชายชราก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เนิบ
แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ห่างไกลกันค่อนข้างมาก อย่างน้อยๆก็ต้องมีหนึ่งร้อยเมตร แต่ฉีเล่ยกลับสัมผัสได้ว่า สายตาของชายชราผู้นี้คมกริบราวกับกริช และเพียงแค่ชายชราผู้นี้สะบัดศรีษะเบาๆ กริชคมเหล่านั้นก็พร้อมที่จะพุ่งออกจากดวงตาของเขา ตรงเข้าใส่ร่างของฉีเล่ยในทันที
“ข้ากำลังรอคอยเจ้าอยู่”
“คุณเป็นใคร? แล้วทำไมถึงต้องมารอผมด้วย?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามออกไปด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ
นี่มันพล็อตในนิยายชัดๆ!
ในหนังสือนิยายทั่วๆไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของพระเอก ที่ไม่ว่าจะออกไปทำอะไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยด้วยความบังเอิญทั้งนั้น
“นับตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้า และที่เจ้าถูกขังอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นการกระทำของข้าเอง”
ชายชราเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และเวลานี้ ความเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวของชายชราที่มีในตอนแรกก็ได้อันตรธานหายไป ทำให้ฉีเล่ยค่อนข้างผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายชรา ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกเบาใจมากขึ้น จนกระทั่งเผลอลืมตัวเดินตรงเข้าไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว และเมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาให้เห็น เขาจึงได้เดินเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก จากนั้นจึงร้องตะโกนถามออกไปว่า
“คุณเป็นใคร? แล้วที่นี่คือที่ไหน? ไม่ทราบว่าพอจะบอกผมได้ไหมครับ?”
“บางเรื่องเจ้าสามารถรู้ได้ แต่ก็มีบางเรื่องเจ้าเองก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้!”
คำพูดของชายชรากำกวม อีกทั้งยังไม่ได้เป็นการตอบคำถามของฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อมาถึงจุดที่ฉีเล่ยไม่ได้หวาดกลัวกระทั่งความตายแล้ว เขาจึงได้แต่จ้องมองชายชราอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกับตอบโต้ไปว่า
“เลิกพูดจากำกวมให้เดาเอาเองได้แล้ว เอาเป็นว่าคุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมา อะไรบอกได้ก็บอก แล้วก็เลิกทำให้ผมตกใจกลัวได้แล้ว”
“เจ้าเรียกข้าว่า ‘ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยาง’ ก็แล้วกัน แต่ข้าว่านะพ่อหนุ่ม ดูท่าเจ้าเองก็คงจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อนสินะ?”
“ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางงั้นเหรอ?”
หลังจากที่ได้ยินชื่อนี้ ฉีเล่ยกลับรู้สึกว่าอยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
นี่มันถอดมาจากนิยายชัดๆ!
“เอาล่ะๆ ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร แต่ผมสัมผัสได้ว่าคุณเองก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี หรือคิดร้ายอะไรกับผม ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณช่วยปล่อยผมออกไปจากถ้ำจะได้ไหม?”
ฉีเล่ยไม่ต้องการที่จะอยู่ในถ้ำนี้กับอสูรกายเฒ่านานมากนัก
“ได้สิ! ข้าจะปล่อยเจ้าไปจากที่นี่ก็ได้ แต่เจ้าจะต้องทำงานให้กับข้าเป็นการแลกเปลี่ยนเสียก่อน หากเจ้าสามารถช่วยข้าได้สำเร็จ เจ้าเห็นกองอัญมณีข้างหน้านั้นหรือไม่? ข้าจะยกพวกมันทั้งหมดให้กับเจ้า!”
ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางตอบกลับทันที
แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางแล้ว ออกจะเป็นการขอร้องฉีเล่ยเสียมากกว่า
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะหึๆ “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะช่วย แต่ผมเป็นเพียงแค่แพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น มีความสามารถแค่เรื่องรักษาคนไข้ แต่ถ้าจะให้ผมช่วยเรื่องอื่นแล้วล่ะก็ ผมคงต้องขอตอบว่าเสียใจที่ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ”
“อีกอย่าง ผมเองก็ไม่ได้อยากได้ทองคำและอัญมณีพวกนั้นเลย แล้วก็อย่าได้คิดเอาของพวกนั้นมาหลอกล่อผมให้เสียเวลาจะดีกว่า”
ฉีเล่ยตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ
“ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นหมอ และยังรู้ด้วยว่า ผู้คนต่างก็พากันเรียกขานเจ้าว่าหมอเทวดาไม่ใช่รึ?”
“ห๊ะ?! นี่คุณรู้กระทั่งเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย?”
ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกอกตกใจ
“ถึงแม้ตัวของข้าจะอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่รอดพ้นหูตาของข้าไปได้ ข้ารู้เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และนี่คือเหตุผลที่ข้ามารอเจ้าที่นี่อย่างไรเล่า”
“ดูเหมือนว่า คุณเองก็คงจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ นับตั้งแต่ที่ผมก้าวเท้าเหยียบขึ้นมาบนเขาหงหยาซานแห่งนี้เลยสินะ?”
“แล้วเจ้าคิดเช่นไรเล่า?”
ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางย้อนถามฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และดูเหมือนเขาจะล่วงรู้กระทั่งความคิดของฉีเล่ย
ต้องบอกว่าคำพูดของผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางนั้น เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ของฉีเล่ย เขาคิดไม่ถึงว่า ทั้งการกระทำของเขา และคำพูดทั้งหมดของตนเองที่ผ่านมา จะถูกผู้อื่นล่วงรู้จนหมดแบบนี้ ฉีเล่ยรู้สึกเกลียดชังสายตาสอดรู้สอดเห็นของชายชราผู้นี้ไม่น้อยเลย
“เวลานี้ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้ามาก ขอเพียงแค่เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บให้กับข้าได้ ข้าจะยินยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้ทันที หากเจ้าไม่ต้องการอัญมณีพวกนั้น ขอเพียงแค่เจ้าบอกมาว่าต้องการสิ่งใด ข้าย่อมสามารถบันดาลให้กับเจ้าได้”
ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางเอ่ยบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงความจริงใจ
“นี่คุณพูดจริงๆน่ะเหรอ?”
คำพูดของผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้ฉีเล่ยใจอ่อนได้ ในเมื่อสิ่งที่ชายชราผู้นี้ต้องการให้เขาช่วยเหลือคือการรักษาในฐานะแพทย์ ฉีเล่ยจึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
“เข้ามาหาข้าสิ แล้วข้าจะบอกให้ฟังว่าเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง?”
ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน