ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่274 ความลับของลูกแก้ว
ตอนที่274 ความลับของลูกแก้ว
หากภายในหนึ่งสัปดาห์หลังหลังจากที่ได้ออกรายการ ‘เวทีแพทย์แผนจีน’ ไปแล้ว ฉีเล่ยอาศัยโอกาสนั้นทำการต่อยอดโปรโมต และพัฒนาสภาแพทย์แผนจีนของตนเอง เพื่อให้เป็นที่รู้จักของผู้คนให้มากขึ้นต่อในทันที สภาแพทย์แผนจีนของเขาในเวลานี้ ก็คงจะแข็งแกร่งมากกว่าที่เป็นอยู่ใตอนนี้แน่
แต่เป็นเพราะฉีเล่ยมั่วแต่เป็นกังวล และยุ่งอยู่กับการจัดการชายหญิงเผ่าเหมี่ยวคู่นั้น แม้หลินชูวโม่ในฐานะผู้ช่วยประธาน จะได้ใช้คอนเนคชั่นต่างๆในวงการธุรกิจของตนที่มีช่วยโปรโมตให้แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้น ก็ยังนับว่าห่างไกลกว่าการฉกฉวยโอกาสทองในครั้งนั้นมาก
ในขณะที่ฉีเล่ยกำลังเอนกายพิงโซฟาดูรายการทีวีที่ตนเองเคยไปออกครั้งนั้นด้วยความเหนื่อยล้า สักพัก หลินชูวโม่ก็ยื่นกระดาษรายชื่อของสมาชิกสภาแพทย์แผนจีนให้ และหลังจากที่ได้กวาดตาสำรวจดูรายชื่อทั้งหมดแล้ว ฉีเล่ยถึงกับร้องถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวังเล็กน้อย
“ทำไมถึงมีรายชื่อสมาชิกแค่นี้เองล่ะ?”
ภายในกระดาษแผ่นนั้นกลับมีรายชื่อของผู้ที่สมัครเข้ามาเป็นสมาชิกสภาแพทย์แผนจีนเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ฉีเล่ยยังจำได้แม่นยำว่า ตอนที่เขายังอยู่เจียงหลิงนั้น หลินชูวโม่ได้โทรมาหา และบอกกับเขาว่า มีคนมาสมัครเป็นสมาชิกสภาแพทย์แผนจีนตั้งมากมาย
แต่ความจริง…
“นี่คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม?” ฉีเล่ยถามย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่ได้ล้อเล่น! เพียงแต่ตอนที่นายอยู่เจียงหลิง ฉันเห็นนายเครียดๆ ก็เลยไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับสภาแพทย์แผนจีนให้นายฟังมากนัก ความจริงมีคนมาลงชื่อให้ความสนใจไว้มากทีเดียว แต่เพราะนายไม่ยอมกลับปักกิ่งสักที พอกระแสมันค่อยๆตกไป คนที่เคยลงชื่อไว้ก็ไม่กลับมาลงทะเบียนสมัครอย่างเป็นทางการน่ะสิ ก็เลยได้สมาชิกมาแค่สิบกว่าคนนี่ล่ะ!”
หลินชูวโม่แทบไม่เคยมาที่บ้านของฉีเล่ยมาก่อนเลย หลังจากเดินไปชงกาแฟมาแล้ว เธอก็นำกลับมานั่งไขว่ห้างดื่มอยู่ที่โซฟาตรงข้ามกับฉีเล่ย พร้อมกับพูดต่อว่า
“นายต้องเข้าใจก่อนว่า หลังจากที่กระแสตอนนั้นมันดร็อปไป ตอนนี้ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะมองว่าสภาแพทย์แผนจีนมีอนาคต!”
ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดเสียดายอยู่ในใจเงียบๆว่า หากเขาฉวยโอกาสในช่วงหลังจากที่ไปออกรายการ ทำการโปรโมทสภาแพทย์แผนจีนอย่างจริงจัง เขาก็คงจะไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่
“ความจริงสิบกว่าคนนี่ฉันก็ว่าไม่เลวแล้วนะ อีกอย่าง แพทย์ทั้งสิบกว่าคนที่มาสมัครเป็นสมาชิกขององค์กรเรา ดูๆแล้วก็ล้วนเป็นคนที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ค่อนข้างสูงมากทั้งนั้น”
หลินชูวโม่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“หืมม นี่คุณพูดจริงเหรอ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันจะโกหกนายไปทำไมล่ะ?”
ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มขื่น แต่แล้วก็ตอบกลับไปว่า “อืมม เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณก็แล้วกัน แต่ตอนนี้พวกเราคงต้องคิดหาวิธีเร่งโปรโมต แล้วก็พัฒนาองค์กรให้เป็นที่รู้จักมากกว่านี้แล้วล่ะ”
เรื่องบาดหมางระหว่างชนเผ่าเหมี่ยวกับแพทย์แผนจีนนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจของฉีเล่ยมาตลอด เขาจึงต้องการที่จะเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับวงการแพทย์แผนจีนโดยเร็ว
“ได้เลย! ฉันจะรับผิดชอบเรื่องการหาวิธีโปรโมตนี้เอง ในเมื่อนายก็กลับมาปักกิ่งแล้ว เอาเป็นว่าฉันจะติดต่อให้นายไปออกรายการต่างๆเพิ่มมากขึ้น ทุกคนจะได้รู้จักชื่อของสภาแพทย์แผนจีนเร็วขึ้น แต่มีเรื่องหนึ่งที่นายควรต้องรู้ ฉายาหมอเทวดาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสภาแพทย์แผนจีนไปแล้ว และฉันก็ใช้ฉายาของนายไปต่อยอดทำการโปรโมต”
จากนั้น หลินชูวโม่ก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะค่อยๆเดินยิ้มเข้าไปหาฉีเล่ย และเมื่อเข้าไปใกล้ เธอก็ยื่นมือออกไปพร้อมกับใช้นิ้วเชยคางของเขาขึ้น แววตาที่จ้องมองฉีเล่ยนั้นเต็มไปด้วยความเย้ายวนอย่างที่สุด
“หยุดๆๆ ขืนคุณยังไม่หยุดมองผมด้วยสายตาแบบนี้ล่ะก็ ผมเองก็ไม่รับรองว่าจะสามารถควบคุมตัวเองได้อีกรึเปล่า?”
ฉีเล่ยระล่ำระลักบอกหญิงสาวทันที
“งั้นก็เชิญทำตามใจต้องการได้เลย…”
หลินชูวโม่ท้าทายกลับทันที สีหน้าท่าทางของเธอไร้ซึ่งความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง
หลินชูวโม่ทำให้ฉีเล่ยตกใจกลัวมากจริงๆ เขารีบตอบกลับไปว่า “เอาล่ะๆ ผมยอมแพ้! เอาเป็นว่าทางที่ดีคุณรีบๆกลับไปก่อนจะดีกว่า!”
ต้องยอมรับว่าหลินชูวโม่เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างมาก ชายหนุ่มทุกคนที่ได้พบเจอย่อมสามารถสัมผัสความเย้ายวนนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ชายทุกคนที่ได้รู้จักเธอ จะรับรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีจิตใจที่หวั่นไหวกับใครได้ง่ายๆ และเป็นผู้หญิงที่น่ากลัว…
และนี่เป็นบุคลิกเฉพาะตัวของหลินชูวโม่!
เมื่อเห็นฉีเล่ยรีบลุกขึ้นเดินหนีออกไปแบบนั้น หลินชูวโม่ก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของเขายิ้มๆ
……..
ในที่สุด หลังจากนั้นอีกคราวครึ่งเดือน หลินชูวโม่ก็สามารถหารายการที่นำเสนอเรื่องการแพทย์แผนจีน ให้ฉีเล่ยไปออกเพื่อทำการโปรโมตชื่อเสียงของสภาแพทย์แผนจีนได้ราวสองสามรายการ
หลังจากที่เธอได้ไปพูดคุยกับทางรายการถึงความต้องการของเธอ ทีมงานของทางรายการก็ดูเหมือนจะมีอาการตื่นเต้นกันอย่างมากทีเดียว
ใครๆก็รู้ว่าฉีเล่ยซึ่งมีฉายาหมอเทวดานั้น เปรียบเสมือนป้ายทองคำ หากได้ตัวเขามาเป็นแขกรับเชิญแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าเรตติ้งของทางรางการจะต้องกระฉูดอย่างแน่นอน
และท้ายที่สุด ฉีเล่ยก็สามารถใช้ฉายาหมอเทวดาของเขาเป็นเครื่องมือโปรโมตองค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากรายการต่างๆได้ออกอากาศไป ก็มีเสียงตอบรับกลับมาค่อนข้างดีทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการตอบรับที่ท่วมท้นกะทันหันต่อสภาแพทย์แผนจีนของเขา แต่อย่างน้อย ก็ได้ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ที่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วได้
อีกทั้งการที่ฉีเล่ยได้ไปออกรายการทีวีตามที่ต่างๆอีกครั้งนั้น ก็ได้ทำให้ผู้คนย้อนกลับไปดูเทปที่เขาเคยไปให้สัมภาษณ์ในรายการสดที่เจียงหลิง และได้เห็นทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศอัศจรรย์ของเขาในครั้งนั้น บรรดาแพทย์แผนจีนจึงได้พากันแห่มาสมัครเป็นสมาชิกขององค์กรกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมาชิกขององค์กรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นยังไง? เห็นแล้วใช่ไหม?”
ฉีเล่ยหันไปยิ้มให้กับหลินชูวโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
เวลานี้ สมาชิกของสภาแพทย์แผนจีนได้เพิ่มขึ้นจากสิบกว่าคนเป็นสามสิบเจ็ดคนอย่างรวดเร็ว แม้ว่านี่จะยังเป็นจำนวนที่ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ามากพอที่จะทำให้สภาแพทย์แผนจีนของเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นได้อย่างช้าๆ
ในช่วงของคืนวันหนึ่ง ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังนั่งดูรายชื่อสมาชิกทั้งหมดของสภาแพทย์แผนจีนด้วยความตื่นเต้นดีใจอยู่นั้น และกำลังครุ่นคิดว่างแผนที่จะพัฒนาองค์กรอยู่ในหัว
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็เห็นเงาๆหนึ่งกำลังเดินอยู่ที่นอกหน้าต่างห้องนอนของเขา
“นั่นใคร?”
ฉีเล่ยร้องตะโกนถามขึ้นทันที
จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาในเมืองเจียงหลิงครั้งนั้น ทำให้ฉีเล่ยมีความระมัดระวังตัวมากขึ้น และเป็นกังวลว่า เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันกับที่เจียงหลิงจะมาเกิดขึ้นที่ปักกิ่งอีก หากเขาปล่อยปละละเลยไม่สนใจ
“รีบๆเผยตัวออกมาได้แล้ว ถ้ายังไม่ออกมาอีกล่ะก็ ฉันจะไม่ปราณีแล้วนะ!”
ฉีเล่ยร้องตะโกนออกไปทางหน้าต่างด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ฮ่าๆๆ ทำไมจะต้องขึงขังดุดันขนาดนั้นเล่า นี่ฉันเอง!”
จากนั้น นักพรตชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เป็นท่านเองเหรอครับเนี่ย!”
ฉีเล่ยร้องถามออกไปด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจไม่น้อย นั่นเพราะคนที่เดินเข้ามาในห้องของเขาเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นนักพรตซวนจื่อซือที่เขาพบเจอเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ท่านอาจารย์? ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?”
ในระหว่างที่ฉีเล่ยไปถ่ายทำโฆษณาสินค้าที่ตำหนักเก่าแก่แห่งหนึ่ง นักพรตซวนจื่อซือกับเขาก็ได้พบกันที่นั่น และนับจากนั้นมา เขาก็เรียกนักพรตชราผู้นี้ว่าอาจารย์นับแต่นั้น
“เธอคงจะแปลกใจสินะ?”
นักพรตซวนจื่อซือตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผมคิดว่าท่านอาจารย์คงจะออกเดินทางท่องไปรอบโลกแล้วน่ะสิครับ ก็เลยคิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกับท่านอาจารย์ที่ปักกิ่งอีก นี่แสดงว่า… นับตั้งแต่ที่เราพบกันครั้งนั้น ท่านอาจารย์คงจะอยู่ปักกิ่งตลอดเลยสินะครับ?”
“ไม่ใช่ๆๆ”
นักพรตซวนจื่อซือส่ายหน้าปฏิเสธยิ้มๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฉันเดินทางไปเจียงหลิง แล้วก็ไปหยูหนานต่อ”
‘ห๊ะ?! อะไรนะ?!’
ฉีเล่ยร้องอุทานออกมา และคิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไป นั่นเพราะเมืองที่นักพรตซวนจื่อซือไปมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่เขาเดินทางไปก่อนหน้านี้ทั้งสองแห่ง อีกทั้งยังเรียงลำดับก่อนหลังเหมือนกันอีกด้วย มันออกจะเป็นเรื่องบังเอิญมากจนเกินไป
“นี่ท่านอาจารย์พูดเรื่องจริงเหรอครับเนี่ย?”
ฉีเล่ยร้องถามออกไปด้วยสีหน้างุนงงสงสัย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“ผมเองก็เพิ่งจะกลับมาจากสองเมืองนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย เฮ้อ.. เล่าไปแล้วเรื่องมันยาว”
“ไม่ต้องเล่า เพราะฉันติดตามเธอไปด้วยทุกที่”
นักพรตซวนจื่อซือตอบกลับเสียงเนิบ
ทันทีที่ฉีเล่ยได้ยิน ดวงตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ ในขณะที่นักพรตชราก็เล่าต่อว่า
“ฉันอยู่กับเธอตลอดทุกที่ ตอนที่เธอจัดการกับชายหญิงเผ่าเหมี่ยวคู่นั้น ฉันเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่เห็นว่าเธอเองยังไม่ถึงคราวตาย ก็เลยไม่อยากจะปรากฏตัวออกมา”
“ท่านอาจารย์ นี่อย่ามาล้อผมเล่นนะครับ! ผมเกือบจะตายอยู่แล้วตอนที่อยู่บนยอดเขาหงหยาซาน ถ้าอาจารย์ตามผมไปทุกที่จริงๆ จะไม่เห็นเชียวเหรอครับ?”
“เธอหมายถึงผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางสินะ?”
นักพรตซวนจื่อซือเอ่ยชื่อของผู้บำเพ็ญพรตลึกลับออกมาอย่างไม่ลังเล
ฉีเล่ยถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง
“เหตุผลที่ฉันมาหาเธอในวันนี้ ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้ล่ะ!”
น้ำเสียงของนักพรตซวนจื่อซือเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นในทันที ในขณะที่บอกกับฉีเล่ยว่า
“พลังหยินและหยางนับได้ว่าเป็นเพลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้ แต่กลับหาผู้ใดที่จะสามารถครอบครอง และควบคุมพลังอันแข็งแกร่งนี้ได้ แต่ตอนนี้ เธอกลับสามารถครอบครองมันได้ นี่นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง!”
ฉีเล่ยนึกขึ้นมาได้ว่า ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางก็ได้เคยพูดว่า เขาครอบครองพลังหยินหยาง แต่ว่า.. เขาเป็นผู้ครอบครองพลังที่แข็งแกร่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“นี่ท่านอาจารย์ล้อผมเล่นรึเปล่าครับเนี่ย? ผมไปครอบครองพลังหยินและหยางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“สิ่งนี้ยังไงล่ะ!”
นักพรตซวนจื่อซือเอ่ยตอบพร้อมกับยกมือขึ้นโบกเบาๆ จากนั้น ลูกแก้วสีม่วงก็ได้ลอยออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของฉีเล่ย
“ลูกแก้วนี่น่ะเหรอครับ?”
ฉีเล่ยจ้องมองลูกแก้วตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงง ตั้งแต่เขาเดินทางกลับปักกิ่ง เขาก็ลืมเรื่องลูกแก้วสีม่วงนี้ไปเสียสนิทเลย
“ไม่มีทาง…”