ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่277 ได้รับการเชื้อเชิญจากสกุลจิน
ตอนที่277 ได้รับการเชื้อเชิญจากสกุลจิน
หลังจากได้ฟังคำพูดของฉีเล่ย จงอี้ห่าวก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปไปทันที เขาจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า
“ประธานฉี นี่คุณพูดจริงๆเหรอครับเนี่ย?”
ฉีเล่ยหัวเราะร่วน ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่จงอี้ห่าวเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เธอคิดว่าฉันพูดโกหกรึยังไง?”
ความจริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็มีแผนการของตัวเอง หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวความบาดหมางระหว่างแพทย์แผนจีนกับชนเผ่าเหมี่ยวแล้ว และได้เผชิญหน้ากับชายหญิงชาวเหมี่ยวคู่นั้น ฉีเล่ยก็เชื่อว่า ลำพังตัวเขาในตอนนี้กับแพทย์คนอื่นๆในสภาแพทย์แผนจีนแห่งนี้ คงยากที่จะรับมือได้แน่หากถูกชนเผ่าเหมี่ยวรุกราน
ฉะนั้นแล้ว จึงได้เวลาที่เขาจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้
จงอี้ห่าวนับเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉีเล่ยเวลานี้ นักศึกษาหนุ่มคนนี้ไม่เพียงมีทัศนคติที่ดีต่อการแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่ยังสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแห่งหนึ่งในปักกิ่งได้ด้วยคะแนนที่สูงเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว และผลการเรียนตลอดหลายปีก็ยังจัดอยู่ในขั้นที่ดีมากอีกด้วย
หากคนแบบนี้ค่อยๆได้รับการพัฒนาไปทีละเล็กทีละน้อย ฉีเล่ยเชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้คงจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว
หลังจากที่เห็นว่าตนเองได้รับความไว้วางใจมากพอจากฉีเล่ย นักศึกษาหนุ่มก็มีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจเป็นอย่งมาก ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นขึ้นอย่างมาก จงอี้ห่าวกำมือแน่นพร้อมกับร้องตะโกนบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด
“รับรองว่าผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอนครับประธานฉี!”
หลังจากนั้น สมาชิกคนแรกของสภาแพทย์แผนจีนก็เดินจากไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่น และเปี่ยมไปด้วยพลัง
………
ในที่สุด สมาชิกของสภาแพทย์แผนจีนรุ่นแรกก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าบางคนจะยังไม่คุ้นเคยกับหน้าที่ความรับผิดชอบในตำแหน่งของตนเอง แต่หลังจากผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ ฉีเล่ยก็สามารถจัดการทุกอย่างได้ค่อนข้างลงตัว
ทางด้านจงอี้ห่าวนั้นก็ขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการเตรียมสวนสมุนไพร ทุกวันหลังจากไม่มีคลาสเรียนแล้ว เขาก็จะมาหมกตัวอยู่ที่สวนสมุนไพรแห่งนี้เพื่อจัดเตรียมความพร้อมของสวน
และภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ สวนสมุนไพรก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ระบบพื้นฐานต่างๆที่สวนสมุนไพรจำเป็นต้องมี เขาก็ตระเตรียมไว้อย่างเสร็จสรรพแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่นำเมล็ดสมุนไพรไปลงเท่านั้นเอง และหากทำตามคู่มือที่ฉีเล่ยได้เขียนไว้ให้แล้วล่ะก็ รับรองว่าผลลัพธ์ที่จะได้นั้น ย่อมต้องเป็นไปในทางที่ดีอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าร่องเข้ารอยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่แอบดีใจอยู่เงียบๆ
หลายวันนี้ หลี่ถงซีที่ยังคงทำธุระอยู่เจียงหลิงนั้น ไม่เพียงจะดูมีความสุขดี แต่ใบหน้าของเธอยังมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นอีกด้วย ในระหว่างที่พูดคุยกับฉีเล่ยผ่านวีดีโอคอล หลายครั้งที่เธอยังเผลอแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเล่นกับฉีเล่ยอีกด้วย
ทางด้านหลินชูวโม่นั้น ความจริงแล้วเธอยังอยากที่จะอยู่ทำงานที่สภาแพทย์แผนจีนแห่งนี้ต่อ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอจะต้องช่วยฉีเล่ยจัดการ และที่สำคัญ เธออยากจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาสภาแพทย์แผนจีนแห่งนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นด้วยตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีเหตุจำเป็นภายในบริษัทของเธอเอง ทำให้เธอไม่สามารถที่จะอยู่ทำหน้าที่ต่อได้ และจำต้องกลับไปสะสางปัญหาภายในบริษัทเสียก่อน
ส่วนฉีเล่ยนั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่สบายอกสบายใจ และมีความสุขมากที่สุด
ทุกๆวันหลังจากเข้ามาดูแลงานต่างๆภายในสภาแพทย์แผนจีนแล้ว เขาก็จะออกไปสอนที่มหาวิทยาลัยตามปกติ แม้ว่าชีวิตของเขาจะดูค่อนข้างยุ่งวุ่นวายมากไปเสียหน่อย แต่เขาก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ และสามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความผ่อนคลาย
แต่เรื่องดีๆก็ดูเหมือนจะอยู่กับเขาได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาหาฉีเล่ย และเมื่อพบว่าเป็นหมายเลขที่เขาไม่รู้จัก ฉีเล่ยก็ได้แต่งุนงงสงสัย แต่ก็กดรับสาย และยังไม่ทันที่เขาจะทันได้พูดอะไร เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นั่นประธานฉีใช่ไหมครับ?”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างมาก
“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ…”
ยังไม่ทันที่ฉีเล่ยจะเอ่ยถามจบประโยค เสียงจากปลายสายก็ได้ตอบกลับมาว่า เขาโทรมาจากเมืองเจี้ยนคัง ฉีเล่ยก็ได้แต่นึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันไร อีกฝ่ายก็รีบแนะนำตัวว่า
“ผมเป็นพ่อบ้านของตระกูลจินครับ!”
ตระกูลจินงั้นเหรอ?
ตระกูลจินไม่ใช่ตระกูลธรรมดาๆเลยนี่!
ชื่อเสียงของตระกูลนี้จัดว่าอยู่ในอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้ ว่าแต่.. จู่ๆพ่อบ้านโทรมาหาแบบนี้ คงต้องมีเรื่องสำคัญมากแน่ๆ!
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยจึงได้เอ่ยถามออกไปว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอครับ?”
“คืออย่างนี้ครับประธานฉี นายท่านของพวกเราเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตอนนี้พวกเรากังวลใจมาก พวกเราได้ยินว่าท่านประธานฉีได้ฉายาว่าหมอเทวดา ก็เลยอยากจะขอเชิญคุณไปตรวจดูอาการของนายท่านให้หน่อยจะได้ไหมครับ?”
พ่อบ้านตระกูลจินยังคงพูดต่อ
“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่หาย ทางเราต้องมีค่าตอบแทนที่ไม่น้อยให้อย่างแน่นอนครับ ขอเพียงแค่ประธานฉียอมมา ทางเรายินดีจ่ายเงินให้สามล้านหยวนเพื่อเป็นค่าเหนื่อย แล้วก็ค่าเสียเวลา แต่ถ้าสามารถรักษานายท่านให้หายได้ ทางเรายินดีโอนเงินจำนวนสิบล้านเข้าบัญชีของประธานฉีทันที”
ครั้งนี้นับว่าของล่อใจมีมูลค่าที่สูงไม่น้อยทีเดียว!
ตระกูลจินเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่ง แม้ข้อเสนอของเขาจะทำให้ฉีเล่ยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับฐานะของพวกเขาแล้ว ก็ฟังดูสมเหตุสมผลไม่น้อย
ในเมื่อช่วงนี้เขาเองก็ไม่ได้มีงานสำคัญอะไรมากมาย สู้ออกไปหารายได้พิเศษจะไม่ดีกว่าหรือ?
“ตกลง! ว่าแต่จะให้ผมไปเมื่อไหร่ครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามออกไปทันที
“พรุ่งนี้ ทางเราจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ประธานฉีเอง!”
หลังจากนั้น พ่อบ้านตระกูลจินก็ได้วางสายไป
หลังจากวางสายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีคนมาหาฉีเล่ยที่บ้าน หลังจากที่ฉีเล่ยเปิดประตูออกไป ก็พบเด็กหนุ่มสวมชุดสูทและรองเท้าหนังคนหนึ่งยืนรออยู่
“ไม่ทราบว่าคุณคือ…”
“สวัสดีครับ พ่อบ้านสั่งให้ผมนำของสิ่งนี้มาส่งให้กับคุณครับ กรุณารับไว้ด้วยครับ!”
หลังจากถามไถ่จนมั่นใจว่าเป็นฉีเล่ยแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็หยิบซองจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้ หลังจากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที
รวดเร็วขนาดนี้ ดูท่าสกุลจินคงจะเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้วสินะ?
ฉีเล่ยคิดอยู่ในใจพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากที่เปิดซองจดหมายออกดูแล้วพบว่า ภายในนั้นมีบัตรเงินสดของธนาคารแห่งหนึ่ง พร้อมกับตั๋วเครื่องบิน ซึ่งระบุไฟลท์เดินทางในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรง
ในการเดินทางครั้งนี้ ฉีเล่ยไม่ได้จัดเตรียมอะไรไปมากมาย นอกจากเข็มเงินและของจำเป็นสำหรับการรักษา ก็มีพวกของใช้ประจำวัน แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เขาพกติดตัวไปด้วย นั่นก็คือลูกแก้วสีม่วง
……..
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉีเล่ยก็เรียกรถแท็กซี่ไปที่สนามบิน
พ่อบ้านสกุลจินได้จองตั๋วเครื่องบินชั้นเฟริสท์คลาสให้กับเขา ทำให้การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างสะดวกสบายอย่างมาก และไม่นานนักเครื่องบินก็ได้มาถึงเมืองเจี้ยนคัง
เจี้ยนคังเป็นเมืองหลวงของรัฐ และระบบสาธารณูปโภคต่างๆภายในเมือง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินบริจาคของตระกูลจินทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่นับตั้งแต่ฉีเล่ยก้าวเท้าลงมาจากเครื่องบิน เขาจะได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างมีชื่อของตระกูลจินปรากฏอยู่
“ประธานฉีใช่ไหมครับ?”
ยังไม่ทันที่ฉีเล่ยจะได้มองหาทางเดินออกจากสนามบิน ก็มีเด็กหนุ่มสองคนมารอเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว และเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในนั้นก็รีบเดินเข้ามาถามทันที
“ใช่ครับ! คุณคงจะเป็นคนของตระกูลจินสินะครับ?”
“ใช่ครับ!”
หนึ่งในนั้นรีบตอบฉีเล่ยกลับไปทันที “พ่อบ้านส่งพวกเราสองคนมารอรับประธานฉีครับ เชิญครับ!”
ทั้งคู่พาฉีเล่ยเดินออกมาทางประตูวีไอพี จากนั้น จึงได้เดินนำเขาไปขึ้นรถหรูที่จอดรอไว้ และมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ตระกูลจินทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของพวกเธองั้นเหรอ?”
ตอนที่พ่อบ้านตระกูลจินโทรมาหาฉีเล่ยนั้น ไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้เขาฟังมากนัก มิหนำซ้ำยังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามอะไรด้วย หลังจากพูดจบ เขาก็กดวางสายไปทันที ฉีเล่ยจึงได้แต่เดินทางมาเจี้ยนคังด้วยความงุนงงสงสัย
“ผมต้องขอโทษประธานฉีด้วยจริงๆนะครับ พวกเราสองคนเป็นแค่คนรับใช้ ไม่รู้เรื่องของนายผู้เฒ่าจริงๆครับ ตั้งแต่เกิดเรื่อง พวกเราต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้าน และไม่ให้ออกนอกคฤหาสน์ด้วย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับคำสั่งจากพ่อบ้านให้มารับประธานฉีที่สนามบิน พวกเราก็คงไม่ได้ออกจากคฤหาสน์หรอกครับ”
เด็กหนุ่มคนนั้นอธิบายให้ฉีเล่ยฟังต่อ ด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แต่รู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง พวกเราเองก็ไม่กล้าถามพ่อบ้าน แต่ที่ผ่านมา มีหมอเก่งๆเข้าออกมาแล้วหลายคน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นว่าสถานการณ์ภายในบ้านจะมีอะไรดีขึ้นเลยครับ”
ฉีเล่ยไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่เองก็จะระมัดระวังคำพูดอย่างมาก
กระทั่งผ่านไปราวชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุด รถหรูก็แล่นเข้าไปจอดภายในคฤหาสน์ตระกูลจิน
ทันทีที่ฉีเล่ยก้าวเท้าลงมาจากรถ บอดี้การ์ดสองคนก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับเอ่ยถามด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
“สวัสดีครับประธานฉี ขออนุญาตค้นตัวด้วยครับ พวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นร่างกายของทุกคนที่จะเข้าไปภายในบ้านครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วยครับ!”
ฉีเล่ยเข้าใจดีว่าทั้งคู่เพียงแค่ต้องทำตามหน้าที่ เขาจึงไม่ได้ตำหนิอะไร และให้ความร่วมมือด้วยความยินดี และเมื่อเข้าไปภายในบ้าน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็รีบเดินเข้ามาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีครับประธานฉี ผมชื่อซุนต้าเฉิง เป็นพ่อบ้านของที่นี่ครับ!”