ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่280 แผนภาพหยินหยาง
ตอนที่280 แผนภาพหยินหยาง
คำพูดของจูกวงหลงทำให้ฉีเล่ยสงบลงได้ นั่นเพราะนอกจากจูกวงหลงแล้ว แม้เขาจะได้รับฉายาหมอเทวดามาก็ตาม แต่ด้วยอายุที่ยังไม่มากพอ ทำให้แพทย์ที่อาวุโสกว่าคนอื่นๆต่างก็ไม่เชื่อถือในคำพูดของเขา
แต่ถึงแม้วจะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา อย่างน้อยก็ยังมีจูกวงหลงกับซุนต้าเฉิงที่พร้อมออกหน้าปกป้อง ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกสบายใจ และผ่อนคลายขึ้นมาก
หลังจากที่กลับเข้าไปในห้องพักของตนเอง ฉีเล่ยก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ และยิ่งคิด เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองกำลังมาถูกทาง เพียงแต่ว่า ยังไม่สามารถหาวิธีที่จะพิสูจน์ได้ เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
ฉีเล่ยเปลี่ยนใจไม่พักผ่อนอยู่ในห้องต่อ เขารีบออกจากห้องเดินตรงไปยังชั้นสามทันที เพื่อตั้งใจที่จะไปตรวจดูอาการของผู้เฒ่าจินอีกครั้ง
และในเวลานี้ ก็มีบอดี้การ์ดยืนเรียงรายอยู่ตามบันได้มากมาย แม้เขาจะแสดงตัวชัดเจนว่าเป็นแพทย์ที่มาทำการรักษาผู้เฒ่าจิน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ประตูห้องของชายชราได้เลยแม้แต่น้อย
ซุนต้าเฉิงที่กำลังนั่งเฝ้าหน้าประตูอยู่นั้น เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนต้องการจะขึ้นมา เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับชะโงกหน้าลงมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นฉีเล่ยจึงได้ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“ประธานฉี ไม่ทราบว่า…”
แต่ยังไม่ทันที่จะถามจบประโยค ฉีเล่ยก็ชิงตอบกลับไปเสียก่อน “ผมอยากจะมาตรวจดูอาการของผู้เฒ่าจินอีกครั้ง ไม่ทราบว่าหมอแผนปัจจุบันกลุ่มนั้นยังอยู่ในห้องรึเปล่าครับ?”
“ไม่อยู่แล้วครับ! ผมให้พวกเขากลับออกไปพักทานอาหารกัน เชิญๆ เชิญประธานฉีเข้ามาเลยครับ”
มีซุนต้าเฉิงเป็นผู้ดูแลแบบนี้ ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก เขารีบเดินขึ้นไปบนห้องนอนของผู่เฒ่าจินทันที และเมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เดินตรงไปที่เตียงนอนของชายชราอย่างไม่รีรอ
สีหน้าและร่างกายของชายชราผู้นี้ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีมาก แม้ว่าจะนอนหลับอยู่แบบนี้มานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ตาม แต่ก็มีการให้อาหารทางสายยางเข้าไปในร่างกายทุกวัน เพื่อให้ระบบการย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญของร่างกายได้ทำงานเป็นปกติ
ฉีเล่ยจ้องมองดวงตาทั้งสองข้างของชายชราที่ยังคงปิดอยู่ ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือออกไป แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้ต้องการจะตรวจจับชีพจรเหมือนก่อนหน้า ฝ่ามือที่ยื่นออกไปนั้นกลับวางทาบลงไปบนหน้าผากของชายชราแทนข้อมือ
เดิมที ฉีเล่ยต้องการที่จะใช้เข็มเงินของเขาตรวจดูความแข็งแกร่งของร่างกายผู้เฒ่าจิน แต่เมื่อนึกถึงสภาพของชายชราในเวลานี้ เขาเองก็ไม่มั่นใจว่า แท้จริงร่างกายของผู้เฒ่าจินนั้นจะอยู่ในสภาพเช่นใดกันแน่ จึงได้เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน
หลังจากใช้ฝ่ามือสัมผัสหน้าผากของชายชราดูแล้ว ฉีเล่ยก็รู้สึกว่า ครั้งนี้กับครั้งก่อนไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่า สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากร่างของชายชราในครั้งนั้นกับครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย
ฉีเล่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่สามารถตรวจหาเบาะแสของอาการผิดปกติได้เหมือนเช่นเคย นั่นหมายความว่า สิ่งที่เขาครุ่นคิดก่อนหน้านี้ไม่น่าจะถูกต้อง เขาจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองซุนต้าเฉิง พร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่ในขณะที่ฉีเล่ยกำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปนั้น ลูกแก้วในกระเป๋าของเขาก็เริ่มสั่นขึ้นมาทันที
การสั่นสะเทือนของลูกแก้วนั้น ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อตัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในเวลานั้นเอง เขาก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ฉีเล่ยรีบล้วงเอาลูกแก้วนั่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตนเองทันที ก่อนจะนำไปวางไว้บนหน้าอกของชายชรา
แสงของลูกแก้วเริ่มกระพริบถี่ๆ และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน คล้ายกำลังจะพยายามบอกกับฉีเล่ยว่า มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
จนกระทั่งผ่านไปราวสองสามวินาที ลูกแก้วจึงค่อยๆกลับเป็นปกติ และเปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนดังเดิม
ซุนต้าเฉิงไม่เห็นภาพฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ แต่ฉีเล่ยนั้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะแปลกประหลาดนี้ ก็ได้ทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
หลังจากลูกแก้วสงบลงแล้ว ฉีเล่ยจึงนำลูกแก้วออกมาจากหน้าอกของชายชรา ในขณะที่สายตานั้นยังคงจ้องมองออกไปที่นอกประตูราวกับพบเจอขโมย ซึ่งความจริงแล้วไม่มีใครยืนอยู่เลย จากนั้น ฉีเล่ยจึงได้เก็บลูกแก้วก่อนจะลุกเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
“ประธานฉี ไม่พบอะไรผิดปกติเลยเหรอครับ? ทำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับนี่?”
“พ่อบ้านซุน ใจเย็นๆก่อน ขอผมกลับห้องพักไปคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ละเอียดซะก่อน แต่ไม่ต้องกังวลใจไป ยังไงซะ ผมก็จะต้องมีคำอธิบายให้ทุกคนในตระกูลจินทราบอย่างแน่นอน!”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หลังจากกลับไปที่ห้องพักของตนเองแล้ว ฉีเล่ยก็เริ่มทำการศึกษาลูกแก้วนั่นอีกครั้ง ในคืนที่นักพรตซวนจื่อซือปรากฏตัวที่บ้านของเขานั้น นักพรตชราก็ไม่ได้แนะวิธีให้กับเขาด้วยว่า เขาควรต้องทำอย่างไรกับลูกแก้วนี้บ้าง?
แล้วนี่ฉันควรต้องทำยังไงกับลูกแก้วนี่ดี?
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องนอนของผู้เฒ่าจิน ลูกแก้วได้แสดงปฏิกิริยาออกมาอย่างชัดเจนว่าพบเจอปัญหาบางอย่าง มีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายของผู้เฒ่าจินจะมีสมดุลหยินหยางบกพร่อง และมีเพียงลูกแก้วนี้เท่านั้นที่สามารถตรวจพบความผิดปกตินี้ได้ ในขณะที่แพทย์ทั้งหมดรวมถึงตัวเขาเองกลับตรวจไม่พบอะไรเลย
ในประวัติศาสตร์จะมีโรคประหลาดแบบนี้บ้างไหมนะ?!
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยก็เริ่มลงมือค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับหมอเทวดาที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าเขาจะถูกห้ามไม่ให้ออกนอกคฤหาสน์หลังนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเชื่อมต่อ และสื่อสารกับโลกภายนอกได้
เป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ปกติ ดังนั้น ไม่ว่าฉีเล่ยจะค้นคว้าในตำราแพทย์โบราณสักกี่เล่ม แต่ก็ไม่มีตำราเล่มไหนการกล่าวถึงอาการแปลกๆ เหมือนที่ผู้เฒ่าจินเป็นอยู่นี้เลย จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะค้นหาวิธีการรักษาได้พบ
ดูท่าฉันคงจะต้องพึ่งตัวเองแล้วสินะ?!
ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอกหนักใจ จากนั้น จึงได้แบมือที่กำลูกแก้วสีม่วงนั้นออก พร้อมกับยื่นออกไปจนสุด สายตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องอยู่ที่ลูกแก้วลูกนั้น ปากก็พูดพูดกับลูกแก้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“ลูกแก้วเอ๋ยลูกแก้ว ได้โปรดช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ ครั้งนี้ฉันจะรักษาคนไข้ให้หายหรือไม่หายได้นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะนะ!”
แต่ดูเหมือนว่า คำขอร้องของฉีเล่ยจะไร้ประโยชน์!
ลูกแก้วยังคงไม่นิ่งขยับเคลื่อนไหว ไม่มีแม้แต่แสงสว่างปรากฏขึ้นเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่บนหน้าอกของชายชรา ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออก เขาได้แต่หลับตาลง และพยายามใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างสัมผัสด้านข้างของลูกแก้วทั้งสองด้านไว้ จากนั้น จึงเริ่มพยายามที่จะเชื่อมต่อกับพลังที่อยู่ด้านใน
และทันทีที่ฉีเล่ยหลับตาลง ความนึกคิดก็พาเขากลับไปเมื่อครั้งที่อยู่ภายในถ้ำบนยอดเขาหงหยาซาน
ครั้งนั้น เพื่อที่จะทำร้ายฉีเล่ย ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางได้ใช้พลังหยินและพลังหยางที่แข็งแกร่ง ทำร้ายร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง เขายังจดจำได้แม้กระทั่งความเจ็บปวดที่ได้รับในครั้งนั้น
ทั้งภาพทั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นช่างสมจริงอย่างที่สุด ราวกับว่าเวลานี้เขากำลังสัมผัสอยู่กับพลังที่ว่านั้นจริงๆ
จากนั้น ก็มีเสียงร้องคำรามขึ้นดังมาจากไกลๆ ฉีเล่ยรู้สึกว่ามันเป็นเสียงของยักษ์ตนหนึ่ง และดูเหมือนว่าเวลานี้ เขาจะเห็นยักษ์ตัวใหญ่กำลังถือขวานกวัดแกว่งไปมาอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้าตัวเอง
แล้วจู่ๆ ยักษ์ตนนั้นก็ได้ใช้ขวานเล่มใหญ่นั้นฟันตรงเข้ามาทางด้านหน้า แล้วแผนภาพหยินหยางขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นเหนือศรีษะของฉีเล่ย ก่อนจะพุ่งตรงลงใส่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก!!”
ฉีเล่ยร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่ฉีเล่ยกลับรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง
ฉีเล่ยลืมตาขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้ศรีษะของตนเอง แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ และในจังหวะนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ฉีเล่ยรีบวางลูกแก้วไว้บนเตียง และใช้ผ้าห่มปิดทับไว้อีกที ก่อนจะเดินไปเปิดประตู และพบว่าคนที่มาเคาะประตูห้องพักของเขาก็คือซุนต้าเฉิง
ซุนต้าเฉิงร้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วงทันที
“ประธานฉี เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ฉีเล่ยจ้องมองไปทางบอดี้การ์ดชุดดำสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซุนต้าเฉิง และเริ่มตระหนักได้ว่า เสียงร้องของเขาเมื่อครู่คงจะดังออกไปข้างนอก จึงรีบโบกมือพร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ
“ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร! ผมคงจะเหน็ดเหนื่อยไปหน่อยก็เลยฝันร้าย ขอโทษที่ทำให้พวกคุณตกอกตกใจ!”
ซุนต้าเฉิงจ้องลึกลงไปในดวงตาของฉีเล่ย และดูเหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายนัก และต้องการที่จะเดินเข้าไปสำรวจภายในห้อง แต่ฉีเล่ยก็รีบบอกไปว่า
“ไม่มีอะไรจริงๆครับ ไม่ต้องห่วง ถ้ามีอะไร ผมจะรีบแจ้งคุณพ่อบ้านทันที!”
“งั้นก็ดีครับ! ที่โต๊ะข้างเตียงจะมีปุ่มฉุกเฉินอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบกดปุ่มนั้นทันที รับรองว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีผมมาถึงห้องนี้แน่!”
ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
หลังจากที่ซุนต้าเฉิงกลับออกไปแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้น จึงได้นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
ฉีเล่ยจ้องมองไปที่ลูกแก้วซึ่งเวลานี้กำลังทอประกายสุกสว่าง ก่อนจะก้มลงมองแผนภาพไท่จี๋ (หยินหยาง) บนฝ่ามือของตนเอง และเวลานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
“หรือว่า… นี่จะเป็นพังหยินหยางกันนะ?”
การที่จู่ๆ ก็มีภาพลักษณะคล้ายปลาคู่หยินและหยางปรากฏขึ้นในฝ่ามือนั้น ทำให้ฉีเล่ยเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง