ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่284 ความลึกลับของซุนต้าเฉิง
ตอนที่284 ความลึกลับของซุนต้าเฉิง
เวลานี้ ทีมแพทย์แผนตะวันตกนำโดยด็อกเตอร์สมิธกับนายแพทย์ซือฉี ซึ่งเป็นหมอที่ชอบพูดจาดูถูกดูแคลนฉีเล่ยทุกครั้งที่พบเจอกัน
ถืงแม้ว่าชื่อเขาจะฟังดูไพเราะราวกับชื่อของผู้หญิง แต่นายแพทย์ซือฉีก็เป็นชายร่างกำยำขัดกับชื่อของเขาอย่างมาก หลังจากที่ได้พบเห็นความผิดปกติบางอย่างบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาก็รีบร้องบอกด็อกเตอร์สมิธด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในทันที
นับตั้งแต่ที่เข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลจินเป็นเวลานานกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆเกิดขึ้นกับทีมแพทย์แผนตะวันตกเลย จนกระทั่งมีทีมแพทย์แผนจีนเข้ามาเพิ่ม ทำให้ด็อกเตอร์สมิธรู้สึกโกรธ และไม่พอใจเป็นออย่างมาก เขารู้สึกว่า การที่พ่อบ้านที่ชื่อซุนต้าเฉิงทำแบบนี้ เท่ากับไม่เชื่อมั่นในตัวของเขา
แต่นับว่ายังโชคดีที่มีสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลจินนั้น ยังคงให้การสนับสนุนด็อกเตอร์สมิธอยู่เบื้องหลัง ไม่อย่างนั้น มีหวังเขากับแพทย์แผนตะวันตกคนอื่นๆ คงต้องถูกดีดออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปตั้งแต่สองสามวันก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนนี้ เมื่อได้ยินว่าทีมแพทย์แผนจีนดูเหมือนจะมีความคืบหน้าอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาจากหมอหนุ่มที่เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าคนนั้น ด็อกเตอร์สมิธก็เริ่มรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ผ่อนคลายเหมือนที่เคย เขาจึงต้องประชุมหารือกับทีมแพทย์เป็นการด่วน เพื่อที่จะหาสาเหตุอาการเจ็บป่วยของผู้เฒ่าจินให้พบโดยเร็ว
หลังจากที่ฉีเล่ยและทีมแพทย์แผนจีนกลับออกไปจากห้องของผู้เฒ่าจินแล้ว ทีมแพทย์แผนตะวันตกก็ได้นำเครื่องมือตรวจรุ่นใหม่ล่าสุด เข้าไปทำการตรวจหาความผิดปกติในร่างกายของชายชราอีกครั้ง และครั้งนี้ ดูเหมือนเครื่องมือจะตรวจพบความผิดปกติอะไรบางอย่างเข้า
นั่นเพราะ ภายในร่างของคนไข้นั้น มีคลื่นพลังงานแปลกประหลาดปรากฏอยู่นั่นเอง!
“เร็วเข้า มาดูเร็วเข้า!”
ด็อกเตอร์สมิธร้องเรียกทีมแพทย์ให้เข้ามาดู
ทุกคนในทีมเริ่มมีความหวังในการรักษาผู้เฒ่าจินมากขึ้น เพราะจากคลื่นพลังงานประหลาดที่ตรวจพบด้วยเครื่องตรวจชนิดใหม่นี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังพอมีความผิดปกติปรากฏให้เห็นบ้าง หลังจากที่ผ่านมาหลายวันนั้น พวกเขาไม่สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติใดๆได้เลย
นี่จึงนับว่าประสบความสำเร็จขึ้นมาในระดับหนึ่ง ส่วนจะสามารถรักษาชายชราได้สำเร็จหรือไม่นั้น ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของทีมแพทย์ทั้งหมดแล้ว
เนื่องจากเครื่องมือต่างๆที่ติดอยู่ทั่วรตัวผู้ป่วยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือที่ด็อกเตอร์สมิธ และแพทย์ในทีมนำมา พวกเขาจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายของชายชราอย่างละเอียด มิหนำซ้ำยังสามารถดูผลได้ตลอดเวลาอีกด้วย…
……
ทางด้านฉีเล่ยที่ยังคงอยู่ในห้องพักส่วนตัวชั้นสองของตนเองนั้น แม้จะค้นพบวิธีรักษาอาการป่วยของชายชราแล้ว แต่กลับไม่สามารถควบคุมพลังหยิน และพลังหยางในร่างของตนเองได้ ดูเหมือนพวกมันจะไม่ต้องการตกอยู่ในการควบคุมบงการของเขา
กว่าที่ฉีเล่ยจะสามารถควบคุมพลังหยิน และหยางให้พุ่งออกจากจุดตันเถียนของตนเองได้นั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เมื่อสามารถดึงออกมาได้แล้ว กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดหาหนทางที่จะจัดการกับพลังหยิน และหยางในร่างของตนเองอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องของเขาก็ดังขึ้น
“ใครน่ะ?”
ฉีเล่ยซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการทำความเข้าใจกับพลังหยิน และหยางในร่างได้เพียงแค่สองสามนาที ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น จึงได้แต่ถอนหายใจ และร้องตะโกนถามออกไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ประธานฉีครับ ผมเอง ซุนต้าเฉิง! นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้วนะครับ ผมเห็นคุณยังไม่ลงไปทานอาหาร ก็เลยขึ้นมาดูว่าเป็นอะไรรึเปล่า?”
แต่เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมาของซุนต้าเฉิง ฉีเล่ยก็รีบลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องทันที
“ประธานฉีครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับครับเนี่ย?”
ซุนต้าเฉิงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับตนเอง หลังจากเห็นสีหน้าท่าทางตกอกตกใจของพ่อบ้านซุน เขาจึงรีบเดินไปที่หน้ากระจกทันที และพบว่า ดูเหมือนเขาจะพยายามใช้พลังจิตในการพยายามควบคุมพลังหยิน และหยางในร่างไปมากจนเกินไป ใบหน้าและดวงตาของเขาจึงได้ดูอ่อนล้าอ่อนแรงจนน่าตกใจ
“ผมรู้ว่าประธานฉีกำลังพยายามหาทางรักษานายผู้เฒ่าอยู่ แต่ยังไงซะ ก็ไม่ควรต้องให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไปนัก พักผ่อนบ้างเถอะนะครับ!”
ซุนต้าเฉิงดูเหมือนจะห่วงใยฉีเล่ยเป็นพิเศษ เขาตบมือสองครั้ง จากนั้น คนรับใช้สองคนก็ถือถาดอาหารเดินเข้ามาในห้อง หลังจากเดินเข้ามาถึงแล้ว ก็ได้พูดขึ้นว่า
“คุณพ่อบ้านซุนเห็นคุณไม่ลงไปทานอาหาร จึงให้พวกเราเตรียมขึ้นมาให้ที่ห้องครับ”
เมื่อเห็นซุนต้าเฉิงดูเหมือนจะดูแลตนเองดีเป็นพิเศษแบบนี้ ฉีเล่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาได้แต่หัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะหันไปพูดกับซุนต้าเฉิงว่า
“พ่อบ้านซุน คุณดูแลผมดีขนาดนี้ ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงดี?”
“ประธานฉีไม่ต้องกังวลใจเรื่องนั้น อย่าลืมว่าร่างกายเป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุด คืนนี้พักผ่อนนอนหลับให้สบายนะครับ ผมแค่อยากจะแวะมาบอกว่า ตอนนี้ด็อกเตอร์สมิธกับทีมของเขาดูเหมือนจะมีความคืบหน้าขึ้นบ้างแล้ว
หลังจากพูดจบ ซุนต้าเฉิงก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ถาดอาหารบนโต๊ะ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ “ประธานฉีทานอาหารก่อนเถอะนะครับ อย่าทำให้ตัวเองต้องล้มป่วยลงซะล่ะ”
เมื่อซุนต้าเฉิงเดินออกจากห้องไป ฉีเล่ยก็กลับไปนั่งลงที่โซฟาตามเดิม หลังจากตักอาหารที่วางอยู่เข้าปาก เขาก็เริ่มรู้สึกแปลกๆขณะที่กินไปด้วย และได้แต่แอบคิดว่า
การที่ซุนต้าเฉิงมาหาเขากถึงที่ห้อง คงจะไม่ได้มีจุดประสงค์แค่นำอาหารมาส่งให้เขาแน่ แต่นั่นน่าจะเป็นข้ออ้างมากกว่า จุดประสงค์ของเขาที่แท้จริง น่าจะเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายมากกว่า
ดูเหมือนซุนต้าเฉิงจะเน้นไปที่ด็อกเตอร์สมิธมากเป็นพิเศษ และเมื่อลองคิดใคร่ครวญถึงการมาที่คฤหาสน์ตระกูลจินของเขาแล้ว ฉีเล่ยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า มันดูคล้ายกับมีแผนการ หรือความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฉีเล่ยก็ไม่พบความผิดปกติอะไร และได้แต่ส่ายหน้าไปมา
ดูเหมือนการคิดเรื่องนี้ จะยากกว่าการตรวจหาสาเหตุอาการป่วยของผู้เฒ่าจินซะอีก!
ฉีเล่ยอาจจะเก่งกาจในเรื่องของการรักษา และช่วยชีวิตคนไข้ แต่เขาก็ไม่ได้เก่งในเรื่องของการอ่านจิตใจผู้อื่นสักเท่าไหร่
ในเมื่อคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ สู้เอาเวลาที่มีค่ามาทำความคุ้นเคยกับพลังหยิน และหยางในร่างไม่ดีกว่าหรือ?
หากทีมของด็อกเตอร์สมิธมีความคืบหน้าขึ้นอย่างที่ซุนต้าเฉิงบอกจริง นั่นย่อมเป็นไปได้ว่า ทีมแพทย์แผนตะวันตกอาจจะใกล้ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ฉีเล่ยเองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยนัก จึงไม่สามารถคาดเดาอะไรได้
ตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ ต้องเร่งใช้พรสวรรค์ทางการแพทย์ของตนเอง ให้สามารถรักษาอาการป่วยของชายชราให้หายได้ก่อนทีมแพทย์แผนตะวันตก
แล้วคืนนั้นทั้งคืน ฉีเล่ยก็ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน
ฉีเล่ยยังคงนั่งฝึกควบคุมพลังหยิน และหยางในร่างของตนเองอยู่ตลอดทั้งคืน และในที่สุด ความพยายามของเขาก็ไม่สูญเปล่า
เขาไม่รู้ว่า เป็นพลังหยินและพลังหยางในร่างของเขานั้นเหน็ดเหนื่อย หรือเป็นเพราะเห็นใจว่าฉีเล่ยได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากจนแทบล้มป่วย จึงได้ให้หน้าเจ้านายคนใหม่ของมันบ้าง
กระทั่งเวลาหกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า ในที่สุด ฉีเล่ยก็สามารถควบคุมพลังหยิน และพลังหยางไปที่นิ้วมือทั้งสิบกับฝ่ามือได้ อีกทั้งยังสามารถควบคุมให้เคลื่อนไหวได้ตามใจต้องการ
และนั่น ทำให้ความมั่นใจของฉีเล่ยมีเพิ่มมากขึ้น!
ฉีเล่ยรีบวิ่งไปที่ห้องของจูกวงหลง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ผู้อำนวยการจู ผู้อำนวยการจูครับ!”
จูกวงหลงนั้นนอนหลับไม่สนิทนัก เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกของฉีเล่ย เขาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้ทันที สายตาของเขาจ้องมองไปที่ฉีเล่ยซึ่งกำลังหายใจหอบ พร้อมกับร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“สำเร็จแล้วเหรอเสี่ยวเล่ยะ?”
หลังจากที่เห็นฉีเล่ยพยักหน้าให้ จูกวงหลงก็ถึงกับกำหมัดชูขึ้น พร้อมกับร้องตะโกนออกมาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าเธอต้องทำได้!!”
แต่ฉีเล่ยกลับโบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า “ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นนะครับ แค่พอมีโอกาสเท่านั้น!”
“ไม่เป็นไรๆ แค่พอมีโอกาสก็ดีมากแล้ว เมื่อคืนพ่อบ้านซุนมาบอกฉันว่า ดูเหมือนทีมของด็อกเตอร์สมิธก็จะมีความคืบหน้าบ้างแล้วเหมือนกัน ยังไงพวกเราคงต้องรีบชิงลงมือก่อน”
ดูเหมือนซุนต้าเฉิงจะมีแผนการอะไรบางอย่างจริงๆ!
แต่ฉีเล่ยก็คร้านที่จะคิดถึงเรื่องนี้มาก เพราะถึงอย่างไร ซุนต้าเฉิงก็มีฐานะเป็นพ่อบ้านตระกูลจิน อีกอย่าง เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาอาการป่วยของผู้เฒ่าจิน เขาจึงรีบมาให้จูกวงหลง เพื่อให้จูกวงหลงพาตนเองไปที่ห้องของชายชรา
ช่วงนี้เป็นช่วงนอกเหนือเวลาตรวจรักษา จึงมีบอดี้การ์ดยืนเรียงรายอยู่เต้มบันได้ แต่ทั้งหมดก็ปล่อยให้ฉีเล่ยกับจูกวงหลงเดินขึ้นไป และพบว่าซุนต้าเฉิงยังคงนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู
“ทำไมวันนี้ถึงได้มาแต่เช้ากันล่ะครับ?”
ซุนต้าเฉิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าง่วงนอน
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยพ่อบ้านซุน รีบพาพวกเราเข้าไปในห้องก่อนเถอะ!”