ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่287 สนับสนุนอย่างไร้ขีดจำกัด
ตอนที่287 สนับสนุนอย่างไร้ขีดจำกัด
กำแพงเมืองโบราณแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ของประเทศไปแล้ว จึงมักจะมีผู้คนในเมือง และนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่นมาเยี่ยมชม ฉีเล่ยเดินเข้าไปใกล้กับกำแพงเมือง พร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสกำแพงเก่าแก่นี้ และพลันเกิดความรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
“นี่มันหมายความยังไงกันนะ?!”
ฉีเล่ยได้แต่พึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกับเมืองเจี้ยนคังนั้น มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกันอยู่อย่างไม่สามารถอธิบายได้
แต่ไม่ว่าจะพยายามครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เขาจึงได้แต่หยุดคิด และไปหาอะไรกินแก้หิว จากนั้นจึงค่อยๆเดินกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลจิน
เมื่อฉีเล่ยกลับมาถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู ก็ได้เดินเข้ามาจับมือฉีเล่ย พร้อมกับร้องบอกด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ
“คุณหมอฉี ขอบคุณมากเลยนะครับ!”
“นี่คุณก็รู้เรื่องด้วยงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยร้องถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง นั่นเพราะก่อนหน้านี้ซุนต้าเฉิงกำชับเขาว่า ให้ปิดข่าวไว้ก่อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังรู้เรื่อง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายนั้น ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัว พร้อมตอบฉีเล่ยกลับไปว่า “ปากก็บอกให้ปิดข่าวล่ะครับ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้ทุกคนในตระกูลจินต่างก็รู้เรื่องกันหมดแล้วครับ แต่ก็รู้เฉพาะคนในเท่านั้น นายผู้เฒ่าดูแลพวกเราทุกคนเหมือนคนในครอบครัว พวกเราไม่มีใครกล้าเอาเรื่องนี้ออกไปพูดข้างนอกแน่ๆครับ”
หลังจากได้ฟังคำพูด และได้เห็นความซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายนี้ที่มีต่อผู้เฒ่าจิน ฉีเล่ยก็พอจะคาดเดาได้ว่า ชายชราผู้นี้เป็นคนเช่นใด
“ยังไงก็ต้องขอบคุณท่านหมอมากจริงๆนะครับ ผมได้ดูรายการเวทีแพทย์แผนจีนที่คุณหมอไปออกด้วย คุณหมอเก่งมากจริงๆเลยครับ!”
หลังจากได้ฟังคำชื่นชมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ฉีเล่ยจึงได้แต่ตอบไปว่า “ไม่เป็นไรครับ! มันเป็นหน้าที่ของผม นี่เป็นเบอร์โทรของผม วันหน้ามีใครเป็นอะไรอีกก็โทรมาหาผมได้”
ฉีเล่ยหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเงินยื่นให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “แต่หวังว่าไม่โทรจะดีกว่า!”
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็หัวเราะ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
บนนามบัตรแผ่นนั้น นอกเหนือจากชื่อของเขากับเบอร์โทรศัพท์แล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย แม้กระทั่งตำแหน่ง และที่ฉีเล่ยยอมให้หมายเลขส่วนตัวกับคนๆนี้ ก็เพราะรู้สึกถูกชะตากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายนี้นั่นเอง
แต่ฉีเล่ยกลับไม่รู้ว่า หลังจากนี้ไปอีกนาน โทรศัพท์จากคนผู้นี้จะทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป…
และในตอนนี้ ฉีเล่ยก็ได้กลายเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลจินไปแล้ว!
แทบไม่ต้องพูดถึงฐานะของชายชราผู้นี้ในตระกูลจิน แม้เขาจะไม่ใช่ผู้เริ่มต้นบุกเบิกก่อตั้งตระกูลจินให้แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ แต่ชายชราผู้นี้ก็คือคนที่กอบกู้ตระกูลจินขึ้นมาในช่วงที่กำลังเผชิญกับวิกฤติอย่างหนักถึงขั้นล้มละลาย ก็มีผู้เฒ่าจินคนนี้ล่ะ ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจนานนับเดือนเพื่อฉุดรั้งตระกูลจินขึ้นมาจากจุดตกต่ำนั้น
ฉะนั้นแล้ว เมื่อเขาเกิดป่วยเป็นโรคประหลาดเช่นนี้ ทุกคนในตระกูลจินจึงได้แต่เป็นกังวลอย่างที่สุด!
…….
เวลานี้ ทั้งจูกวงหลงและซุนต้าเฉิงต่างก็กำลังนั่งรอฉีเล่ยอยู่ที่ห้องโถงชั้นสอง ทั้งคู่พูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และเมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา ทั้งสองคนก็ถึงกับยิ้มกว้าง
“กลับมาแล้วเหรอครับประธานฉี!” ซุนต้าเฉิงเอ่ยทักทายขึ้นทันที
นี่ก็สี่ทุ่มแล้ว ฉีเล่ยคิดไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมานั่งรอคอยเขาอยู่แบบนี้ จึงได้แต่ถามออกไปแก้เก้อ
“นี่มานั่งรอผมกันอยู่เหรอครับเนี่ย?”
“ใช่ครับ! เป็นความผิดของผมเองที่ไม่สั่งให้คนเตรียมอาหารไว้ให้ประธานฉี เพราะผมเองก็คิดไม่ถึงว่า คุณจะนอนหลับไปนานถึงสองวันสองคืนแบบนี้!”
ซุนต้าเฉิงเอ่ยขอโทษพร้อมกับโน้มศรีษะลง ฉีเล่ยฟังแล้วก็ถึงกับตกใจที่ได้รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานแบบนั้น แต่ก็รีบบอกกับพ่อบ้านซุนไปว่า
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ แม้แต่ตัวผมเองยังไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเท่าไหร่ แล้วพวกคุณจะมารู้ได้ยังไงว่า ผมจะตื่นตอนไหน? อย่าตำหนิตัวเองดีกว่าครับ”
จูกวงหลงลุกขึ้นเดินเข้าไปยืนข้างฉีเล่ย ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่ของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ผู้เฒ่าจินอาการดีขึ้นมากแล้ว สีหน้าดูดีกว่าเดิมมาก อารมณ์ก็ดีขึ้นมากด้วย ฉันกำลังช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ และน่าจะต้องใช้เวลาสักหนึ่งเดือนถึงจะกลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้”
ฉีเล่ยพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา
ทางด้านซุนต้าเฉิงเองก็รีบเดินเข้าไปจับมือฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“ประธานฉีครับ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร รบกวนตามผมไปที่ห้องของนายผู้เฒ่าด้วยเถอะครับ ท่านอยากพบคุณมากจริงๆ!”
ฉีเล่ยรู้สึกตกใจที่จู่ๆก็ได้ยินว่า ผู้เฒ่าจินต้องการจะพบตนเอง เขาจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ตะ.. แต่ว่านี่ก็ดึกมากแล้วนะครับ ผมว่าอย่าไปรบกวนผู้เฒ่าจินกลางดึกจะดีกว่า”
จูกวงหลงเห็นท่าทางของฉีเล่ยจึงได้แต่หัวเราะและบอกไปว่า “อย่ากังวลใจไปเลยเสี่ยวเล่ย ผู้เฒ่าจินมีแต่ความรู้สึกดีๆให้กับเธอ ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ ไปเถอะ!”
ก๊อกๆๆ
ซุนต้าเฉิงเดินไปเคาะประตูห้องของผู้เฒ่ากู่สองสามครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายผู้เฒ่าครับ ผมพาประธานฉีมาพบแล้วครับ!”
ชายชราเอ่ยตอบกลับมาด้วยเสียงน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ “เข้ามาๆ เข้ามาได้เลย! ฉันอยากพบผู้มีพระคุณของฉันมากแล้ว”
แม้ในวันนั้น ทั้งคู่จะได้พบหน้ากันแล้ว แต่เนื่องจากฉีเล่ยเองก็ยังในสภาพที่จิตใจเหนื่อยล้าอย่างมาก ส่วนผู้เฒ่าจินก็เพิ่งจะฟื้นคืนสติ จึงไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการพบเจอกันได้
และนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบเจอกันอย่างเป็นทางการ!
ฉีเล่ยก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง ในขณะที่ซุนต้าเฉิงนั้นยืนรออยู่ด้านนอก
ผู้เฒ่าจินคนนี้มีชื่อว่าจินเฟย เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน และเป็นผู้ที่นำพาตระกูลจินให้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงวันนี้ได้
ฉีเล่ยไม่กล้าจ้องตาผู้เฒ่าจิน และเมื่อเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าจินเฟย เขาก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้ ส่วนจินเฟยก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้เช่นกัน ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ และเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ฉีเล่ยนั่งลงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หมอฉี เชิญนั่งก่อนสิ ครั้งนี้ฉันต้องขอบใจเธอมากจริงๆนะ!”
“ไม่เป็นไรครับอาวุโส มันเป็นหน้าที่ของผม เพียงแต่ผมอยากจะถามว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ อาวุโสเคยไปพบเจอคนแปลกหน้ามาบ้างไหมครับ?”
“คนแปลกหน้างั้นเหรอ?”
จากนั้น ชายชราก็หัวเราะออกมา ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ฉันเป็นนักธุรกิจ การพบเจอคนแปลกหน้านั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องพบเจอเป็นปกติทุกวัน คนของฉันไม่เอาไหน ฉันถึงต้องทำเองทุกอย่างแบบนี้”
ฉีเล่ยจ้องมองรอยยิ้มขมขื่นของชายชราด้วยความรู้สึกสงสาร ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“อาวุโส ผมมีความจริงเรื่องหนึ่งจะต้องบอกให้อาวุโสทราบ การที่อาวุโสเป็นโรคประหลาดนี้ เป็นเพราะมีคนตั้งใจทำร้าย”
สิ่งที่ฉีเล่ยพูดนั้นเป็นความจริง พลังลึกลับนี้ไม่ได้อยู่ในร่างของชายชรามาก่อน แต่เป็นพลังที่อยู่ภายนอก และถูกผู้อื่นจงใจทำอย่างแน่นอน
แต่ทันทีที่ฉีเล่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประกายแห่งความสุขในแววตาของชายชราก็หายไปในพริบตา เขาก้มหน้าลงถอนหายใจ พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“เฮ้อ! ช่างมันเถอะนะ อย่าไปพูดถึงมันเลย ต่อไปฉันจะระมัดระวังตัวเองให้มากกว่านี้! ที่ฉันต้องการพบเธอก็เพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย อ่อ.. แล้วพอใจกับเงินรางวัลที่ได้รับไหมล่ะ?”
สีหน้าของผู้เฒ่าจินเปลี่ยนมาเป็นสดใสอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ พ่อบ้านซุนบอกว่าจะให้สิบล้าน แค่นี้ก็มากมายแล้วล่ะครับ!”
ส่วนตัวแล้วฉีเล่ยไม่ได้ต้องการเงินอะไรมากมาย แต่เขายังจำเป็นต้องใช้เงินไปกับสภาแพทย์แผนจีน ดังนั้น เมื่อจินเฟยถาม เขาจึงรีบทวงถามทันที และหวังว่าเงินจำนวนนี้จะถูกโอนเข้าบัญชีของเขาโดยเร็ว
“เงินรางวัลสิบล้านเป็นสิ่งที่ต้องให้อยู่แล้ว แต่ฉันยังอยากให้รางวัลกับเธอเพิ่มอีก!”
จากนั้น จินเฟยก็หันไปหยิบสมุดที่อยู่ใต้หมอนเล่มหนึ่งออกมา ซึ่งในสมุดเล่มนั้นมีตัวอักษรมากมายเขียนอยู่ เขาก้มลงมองตัวอักษรเหล่านั้น พร้อมกับถามขึ้นยิ้มๆ
“เธออยากจะเป็นรองประธานของกลุ่มบริษัท จิน กรุ๊ปไหมล่ะ?”
“อะไรนะครับ?!”
ฉีเล่ยฟังแล้วได้แต่ตกใจ ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศรีษะ ร่างทั้งร่างชาไปหมด และได้แต่คิดว่าตัวเองคงจะฟังผิดไป
ใครๆก็รู้ว่ากลุ่มบริษัทจินกรุ๊ปนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งประเทศ หากเขาได้ดำรงตำแหน่งรองประธาน เขาจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยมีเงินทองเหลือใช้ไปทั้งชีวิต
แม้จะรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และได้บอกกับชายชราไปว่า
“อาวุโสครับ ผมรู้ว่าคุณซาบซึ้งที่ผมช่วยชีวิตของคุณไว้ แต่ผมไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้จริง ผมไม่เพียงไม่มีความสามารถ แต่ผมยังชื่นชอบที่จะตระเวนรักษา และช่วยเหลือผู้คนไปตามที่ต่างๆ อีกอย่าง ถ้าผมทำได้ไม่ดี ก็อาจเป็นการทำลายความไว้วางใจของอาวุโสที่มีต่อผมเปล่าๆ”
ฉีเล่ยตอบกลับไปอย่างหนักแน่นชัดเจน
จินเฟยเองก็ดูเหมือนจะชื่นชอบอุปนิสัยใจคอของฉีเล่ยไม่น้อย จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า “ที่เธอพูดก็ไม่ผิด แต่ถึงแม้เธอจะไม่สามารถยอมรับตำแหน่งรองประธานได้ แต่ได้โปรดช่วยอะไรฉันบางอย่างด้วยเถอะนะ!”
ฉีเล่ยจ้องมองจินเฟยด้วยสีหน้าประหลาดใจ!
“บรรดาคู่ค้าทางธุรกิจของฉัน ต่อหน้านั้นดูไม่มีอะไร แต่ลับหลังกลับคอยแอบคุกคามฉัน ฉันก็แค่อยากขอให้เธอรับตำแหน่งแค่ในนาม เพื่อทำให้คนพวกนั้นหวาดกลัวบ้าง และหากจำเป็น ก็จะสามารถช่วยชีวิตของฉันได้ทันเวลา”
ฉีเล่ยเข้าใจจุดประสงค์ของจินเฟยดี เขาต้องการอาศัยของฉีเล่ยเพื่อเป็นโล่ป้องกันตัว
ฉีเล่ยยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า “เป็นความคิดที่ดีครับ!”
“แต่ฉันจะไม่ขอให้เธอช่วยโดยไม่ได้อะไรตอบแทนหรอกนะ! กลุ่มบริษัทจินกรุ๊ปของเรา ก็จะให้การสนับสนุนสภาแพทย์แผนจีนของเธอด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือแม้แต่การอ้างชื่อจินกรุ๊ปในงานต่างขององค์กร หรืออะไรก็ตามแต่ที่องค์กรต้องการ พวกเราพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”
และนี่นับเป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่ฉีเล่ยเคยได้ยินมา
ให้การสนับสนุนอย่างไม่มีขีดจำกัด สำหรับฉีเล่ยแล้ว นี่เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์เลยทีเดียว เพราะการก่อตั้งสภาแพทย์แผนจีนนั้น จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ทั้งทุนในการวิจัยและพัฒนายา และไหนจะสวนสมุนไพรอีกล่ะ
ก่อนหน้านี้ฉีเล่ยยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของสภาแพทย์แผนจีน แต่คำพูดของจินเฟยตอนนี้ กลับทำให้เส้นทางขององค์กรสว่างไสวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฉีเล่ยจึงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ขอบคุณมากครับอาวุโส ได้โปรดรับคำขอบคุณจากผมด้วย!”
“ไม่ต้องคิดมาก ที่ฉันให้การสนับสนุนแพทย์แผนจีนนั้น ฉันไม่ได้ทำเพื่อเธอ แต่ทำเพื่อคนอื่นๆ สภาแพทย์แผนจีนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการกุศล หรือว่าธุรกิจ ฉันเชื่อว่าองค์กรนี้จะสร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้คนอีกมากมายเลยทีเดียว”
“และที่สำคัญ นี่คือรางวัลที่ฉันอยากจะมอบให้กับเธอ!”
จินเฟยเอ่ยบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ่อ.. ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง!”
สีหน้าและน้ำเสียงของจินเฟยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังมากขึ้น ฉีเล่ยได้แต่รอฟังด้วยใจเต้นแรง
“เธอรู้เรื่องการแข่งขันแพทย์แผนจีนที่จะมีการจัดขึ้นในทุกๆปีบ้างไหม?”
ฉีเล่ยเคยได้ยิน แต่ไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วม เพราะด้วยบุคลิก และอุปนิสัยของเขานั้นไม่ชอบการเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่จินเฟยกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างที่สุด
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะสนใจหรือไม่สนใจนะ แต่ปีนี้ เธอจะต้องเข้าร่วมการแข่งขัน!”
จินเฟยกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “เพราะผู้ที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ จะได้เป็นตัวแทนของแพทย์แผนจีน ไปร่วมแข่งขันแพทย์นานาชาติซึ่งจัดโดยสมาคมการแพทย์โลก”
ฉีเล่ยเข้าใจได้ทันทีว่า เพราะเหตุใดจินเฟยจึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้ นั่นเพราะนี่เป็นการแข่งขันระดับประเทศนั่นเอง
“เธอรู้ไหมว่า ทำไมฉันถึงอยากจะให้เธอเข้าแข่งขันนัก?”