ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่289 เทือกเขาจิ่วเหลียน
ตอนที่289 เทือกเขาจิ่วเหลียน
หลังจากกลับมาที่บ้านของหลินชูวโม่แล้ว ฉีเล่ยก็ยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงต่ออีก
หยางจี้โจวคือหนึ่งในสิบหมอเทวดาแห่งการฝังเข็มในยุคโบราณ ในยุคที่การฝังเข็มนั้นไม่ได้รับความสนใจ และไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญ ศาสตร์นี้จึงค่อยๆเลือนหายไป แต่หยางจี้โจวก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามรวบรวมศาสตร์การฝังเข็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในการรักษาของแพทย์แผนจีนให้คงอยู่ต่อไป
‘วิธีการฝังเข็มขั้นเทพงั้นเหรอ?!’
‘คัมภีร์ที่ได้รับการแก้ไขและรวบรวมโดยหยางจี้โจว นี่มันเป็นผลงานชิ้นเอกล้ำค่ามากทีเดียว!’
ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดในใจว่า หากเขาสามารถได้ตำราเล่มนี้มาครอบครอง เขาก็จะยิ่งมีความรู้ในศาสตร์แพทย์แผนจีนเพิ่มมากขึ้น และนั่นจะทำให้เขายิ่งมีความมั่นใจในการแข่งขันแพทย์แผนจีนครั้งนี้มากขึ้น
เทือกเขาจิ่วเหลียนตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มีตำนานเล่าขานกันว่า สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของเส้นลมปราณมังกร แต่เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยไป ทำให้เส้นลมปราณมังกรได้เลือนหายไปด้วย แต่ถึงแม้ปัจจุบันจะไม่หลงเหลือเส้นลมปราณมังกรให้เห็นอีกแล้ว ก็ยังไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำ
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้มาให้เขา และไม่รู้ว่าเรื่องที่เขียนนั้นเป็นความจริง หรือเรื่องหลอกลวงกันแน่ เขาจึงได้แต่ลังเลใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี?
หลินชูวโม่เดินมาเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฉีเล่ยเข้า ก็ได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกับถามไปว่า
“ทำไมหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้นล่ะ? อย่าบอกนะว่ามีใครกล้ามาหาเรื่องนายอีก?”
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา แล้วจึงหันไปถามหญิงสาวว่า “นี่คุณเคยไปเทือกเขาจิ่วเหลียนบ้างไหม?”
แต่หลินชูวโม่กลับทำสีหน้าประหลาดใจ และถามฉีเล่ยกลับว่า “นี่นายก็พูดถึงเทือกเขาจิ่วเหลียนกับเขาด้วยเหรอ? ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีแต่คนพูดชื่อนี้นะ? มันมีอะไรรึเปล่า?”
แต่ฉีเล่ยก็แค่โบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า
“ไม่มีอะไร ผมแค่เคยได้ยินชื่อนี้มาตั้งนานแล้ว ก็เลยลองถามคุณดู คุณได้ยินอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเทือกเขานี้มางั้นเหรอ?”
จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ?
ความจริงเทือกเขาจิ่วเหลียนนั้นไม่ได้เป็นสถานที่ที่อยู่ในความสนใจของผู้คน คนที่รู้จักน่าจะมีจำนวนน้อยด้วยซ้ำไป แต่ทำไมจู่ๆถึงได้มีคนพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมาอย่างที่หลินชูวโม่บอก
ระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดสงสัยอยู่นั้น หลินชูวโม่ก็ได้ตอบกลับมาว่า “เปล่า! ฉันไม่ได้ได้ยินเรื่องแปลกประหลาดอะไรมาหรอก แค่ช่วงนี้มีแต่คนอยากจะไปที่นั่น ไม่รู้ว่าทำไม?”
จากนั้น หลินชูวโม่ก็จ้องหน้าฉีเล่ยด้วยสีหน้างุนงงสงสัย ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคาดคะเน “หืมม หรือนายเองก็คิดที่จะไปที่นั่งด้วย?”
ฉีเล่ยจำต้องพยักหน้า อีกอย่างเขาเองก็เห็นหลินชูวโม่เป็นเพื่อนคนหนึ่ง จึงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง “อืมม เรียกว่าไม่มีทางเลือก และจำเป็นต้องไปน่าจะถูกต้องกว่า”
จากนั้น เขาก็หยิบจดหมายฉบับนั้นยื่นให้หลินชูวโม่พร้อมกับพูดว่า “อ่านดู แล้วจะเข้าใจเอง!”
หลังจากอ่านจบแล้ว หลินชูวโม่จึงได้แต่เตือนว่า “เทือกเขาจิ่วเหลียนค่อนข้างอันตรายมาก ถ้านายจะไปจริงๆ ก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดีล่ะ”
ฉีเล่ยนั้นไม่เคยเดินทางไปแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาก่อน อีกทั้งแถบนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นภูมิประเทศที่ค่อนข้างอันตราย และยังมีสถานที่ตามตำนานเล่าขานหลายๆแห่งอยู่อีกด้วย
ด้วยความเป็นห่วง หลินชูวโม่จึงได้ไปค้นหาข้อมูลมากมาย รวมทั้งอุบัติเหตุต่างๆที่เกิดขึ้นภายในเทือกเขาจิ่วเหลียนมาให้ฉีเล่ย เธอวางข้อมูลทั้งหมดไว้ตรงหน้าฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง
“นี่! เอาไปอ่านซะ ฉันไม่อยากให้นายต้องเกือบตายเหมือนตอนอยู่เจียงหลิง เข้าใจไหม?”
เมื่อครั้งที่ฉีเล่ยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายหญิงชาวเหมี่ยวครั้งนั้น เขาเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดมาครั้งหนึ่งแล้ว หากไม่ใช่เพราะพลังหยางบริสุทธิ์ในร่างของเขาแล้วล่ะก็ ป่านนี้ เขาคงก้าวผ่านประตูแห่งความตายเข้าไปแล้วอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่หลินชูวโม่เลย แม้แต่ฉีเล่ยเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวบ้าง เมื่อนึกถึงอันตรายในครั้งนั้น
ฉีเล่ยหันไปถามหลินชูวโม่ว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงต้องไปที่นั่น? คุณยังจำเรื่องเกี่ยวกับตระกูลจินที่ผมเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม?”
หลินชูวโม่พยักหน้า จากนั้นฉีเล่ยจึงได้เล่าต่อพร้อมกับหัวเราะขื่น
“ที่ผมได้เป็นรองประธาน และสภาแพทย์แผนจีนได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจินนั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ผมช่วยชีวิตผู้เฒ่าจินเพียงอย่างเดียวนะ แต่ยังเป็นเพราะผมรับปากจะเข้าร่วมแข่งขันแพทย์แผนจีนในครั้งนี้ด้วยต่างหาก”
“ถึงแม้ผมจะได้รับฉายาหมอเทวดา แต่ใครจะไปรู้ได้ว่า ในการแข่งขันแพทย์แผนจีนครั้งนี้ ผมจะต้องไปพบเจอกับคู่แข่งระดับไหนบ้าง?” ฉีเล่ยเล่าต่อด้วยน้ำเสียงกังวล
“ในเมื่อครั้งนี้ผมมีโอกาสที่จะได้คัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงฉบับแก้ไข ผมก็คงไม่ละทิ้งโอกาสแน่! ไม่งั้นจะมีคำพูดที่ว่า อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสืองั้นเหรอ? ยังไงซะผมก็ต้องไปให้ได้!”
ฉีเล่ยยิ้มให้กับหลินชูวโม่อีกครั้ง พร้อมกับย้ำให้เธอมั่นใจ
“คุณไม่ต้องห่วง รับรองว่าครั้งนี้ผมจะไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่อัตรายอย่างเด็ดขาด อีกอย่าง ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ไป หลายๆคนก็ไปไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ต่อให้เทือกเขาจิ่วเหลียนจะอันตราย แล้วก็น่ากลัวมากแค่ไหน ก็คงไม่เหนือความพยายามของมนุษย์ได้!”
หลังจากได้ฟังคำพูดยืดยาวของฉีเล่ย หลินชูวโม่ถึงกับหันไปส่งสายตาค้อนให้ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก
“ที่น่ากลัวที่สุดก็คือจิตใจของมนุษย์นี่ล่ะ! แล้วที่ฉันเป็นห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้ ใครจะไปรู้ว่าที่ๆนายไป จะต้องพบเจอกับคนประเภทไหนบ้าง? เขาว่าจิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง อีกอย่าง นายก็เป็นพวกที่จิตใจดีด้วยน่ะสิ!”
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะออกมา
“เอาล่ะๆ ผมจะระมัดระวังให้มากก็แล้วกัน และพยายามไม่ไว้ใจใครสุ่มสี่สุ่มห้า! ส่วนเรื่องของสภาแพทย์แผนจีนนั้น ถ้ามีปัญหาอะไร คุณก็โทรไปของความช่วยเหลือจากผู้อำนวยการจู ที่โรงพยาบาลแพทย์ปักกิ่งได้”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ได้หยิบนามบัตรของจูกวงหลงออกมายื่นให้กับหลินชูวโม่
“คุณบอกกับผู้อำนวยการจูว่า ผมเป็นคนสั่งไว้ รับรองว่าเขาไม่ปล่อยให้คุณลำบากแน่ๆ”
ทั้งสองคนมีสัมพันธภาพอันดีมาตั้งแต่อยู่บ้านสกุลโจว อีกทั้งยังนับว่า ฉีเล่ยเป็นคนที่ช่วยรักษาหน้าตา และชื่อเสียงของเขาไว้ในครั้งนั้นด้วย
หลินชูวโม่รับนามบัตรมาพร้อมกับพยักหน้า จากนั้น ฉีเล่ยก็หยิบนามบัตรออกมายื่นให้เธออีกหนึ่งใบ
“นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของผู้เฒ่าจิน ถ้าเกิดปัญหาใหญ่จริงๆ คุณโทรหาเขาได้เลย เขายินดีที่จะช่วยเหลือคุณทุกอย่างเหมือนกัน!”
หลังจากที่ได้เห็นฉีเล่ยสั่งเสียราวกับว่าจะไม่กลับมาอีก หลินชูวโม่ก็ได้แต่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“นี่! ทำอย่างกับว่านายจะไม่กลับมาอีกงั้นล่ะ! ทำไมต้องทำเหมือนกับว่าไปแล้วจะไม่กลับมาที่นี่อีก เหมือนกับจะไปแล้วไปลับอะไรแบบนั้นห๊ะ?”
“แล้วนี่จะไปเมื่อไหร่ล่ะ?”
หลังจากที่เห็นฉีเล่ยเอาแต่หัวเราะคิกคัก หลินชูวโม่ก็คร้านที่จะใส่ใจอีก จึงแต่เอ่ยถามขึ้นแทน
“ก็อาจจะอีกสองสามวัน รอให้ผมเตรียมของให้พร้อมก่อน แล้วหลังจากบอกถงซีให้รู้แล้ว ผมก็ว่าจะออกเดินทางทันที”
การแข่งขันแพทย์แผนจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ฉีเล่ยมีเวลาเหลืออีกไม่มากนัก เขาจึงต้องเร่งออกเดินทางไปเทือกเขาจิ่วเหลียน ไม่อย่างนั้น อาจจะกลับมาไม่ทันก็ได้
และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คงไม่ดีแน่!
“อ่อ.. ยังมีอีกเรื่อง! ถงซีเพิ่งจะกลับมาจากเจียงหลิงได้ไม่กี่วัน ตอนนี้เธอยังยุ่งวุ่นวายอยู่กับธุระส่วนตัว แล้วก็ยังไม่ได้กลับไปบ้านตัวเอง ระหว่างที่เธออยู่ที่นี่กับคุณ คุณช่วยพูดจากับเธอดีๆหน่อยนะ ช่วงนี้เธออาจจะมีสีหน้าเคร่งเครียดหน่อย!”
หลินชูวโม่อาจไม่รู้ แต่ฉีเล่ยนั้นรู้ดีว่า หลี่ถงซีเจอเรื่องเครียดและกดดันเกี่ยวกับชนเผ่าเหมี่ยวมามาก
“อืมม ฉันเข้าใจ ไม่ต้องห่วง!”
จากนั้นฉีเล่ยจึงได้กระซิบถามว่า “แล้วนี่คุณกับถงซีไปสนิทสนมกันได้ยังไง?”
“เรื่องของผู้หญิงย่ะ!”
หลังจากนั้น หลินชูวโม่ก็ลุกขึ้นเดินหนีไป แต่ในขณะนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นหลี่ถงซีกำลังยืนอยู่มุมห้อง และกำลังจ้องมองมาทางเขา
“นี่นายจะไปเขาจิ่วเหลียนจริงๆน่ะเหรอ?”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับหลินชูวโม่จนหมดแล้ว แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร เพราะเขาเองต้องหายหน้าหายตาไปหลายวัน จะปิดยังไงก็คงปิดไม่มิดแน่
“ใช่! น่าจะราวๆหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็กลับแล้วล่ะ”
หลังจากได้ฟังคำตอบของฉีเล่ย หลี่ถงซีก็เพียงแค่พยักหน้า และพูดบอกกับฉีเล่ยว่า “ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ!”
หลี่ถงซีไม่เหมือนกับหลินชูวโม่ที่บ่นจู้จี้ แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอนั้น แม้จะสั้นๆเรียบง่าย แต่ฉีเล่ยก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่เธอมีให้
“ผมรู้!”
……
หลังจากผ่านไปสองสามวัน
ฉีเล่ยก็ได้ออกเดินทางไปเทือกเขาจิ่วเหลียน เนื่องจากภูมิประเทศในแถบนั้นค่อนข้างยากลำบาก ฉีเล่ยจึงต้องโดยสารรถไฟไปแทน เพราะไม่มีเครื่องบินที่จะบินไปถึงที่นั่นได้