ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่294 โดนรุม
ตอนที่294 โดนรุม
ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวประธานหวงเลยแม้แต่น้อย เขายังคงตอบโต้อีกฝ่ายกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางที่ปราศจากความยำเกรง
“พวกเราในที่นี้มีกันตั้งหลายคน แล้วทำไมสุดท้ายต้องเป็นคุณที่ได้คัมภีร์เล่มนี้ไปครอบครองอยู่คนเดียว มันถูกต้องแล้วเหรอครับ?”
“นี่เธอไม่เข้าใจคำว่า ‘ความเหมาะสม’ จริงๆน่ะเหรอ?”
ประธานหวงจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาที่หยิ่งยะโส ก่อนจะพูดต่อว่า
“ฉันว่าเธอหยุดพูดจะดีกว่านะ ฉันขอเตือนเธอให้ไตร่ตรองดีๆก่อนว่า มีความสามารถพอที่จะเอาชนะคนของฉันทั้งหมดที่อยู่ในที่นี้ได้รึเปล่า?”
ฉีเล่ยคิดไม่ถึงจริงๆว่า ความตั้งใจในการที่จะมาค้นหาคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงในครั้งนี้ของเขา จะพาตนเองให้ต้องมาพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ได้
จำนวนคนของประธานสมาคมแพทย์จงหยวนนั้นมีมากมายกว่าทุกคนในที่นี้ ซึ่งบางคนก็มาแค่คนเดียว หรืออย่างมากก็เป็นคู่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ คำพูดข่มขู่ของประธานหวงจึงฟังดูมีน้ำหนักน่าเกรงขาม และไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านเลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น คำพูดและการกระทำของฉีเล่ยเวลานี้ จึงได้สร้างความประทับใจให้กับอีกหลายๆคนในที่นั้นเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็รู้ว่า ความรู้สึกดีๆแบบนี้คงจะอยู่กับพวกตนได้อีกไม่นานเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ฉีเล่ยจะดูเหมือนมีความสามารถพอที่จะต่อกรกับประธานหวงได้ แต่ก็มีคนน้อยกว่าอยู่ดี
“นี่พ่อหนุ่ม ฉันหวงเหวินชิงจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย หุบปากแล้วก็อยู่เงียบๆซะ เก็บปากเอาไว้กินข้าวจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
ระหว่างที่พูดข่มขู่ฉีเล่ยนั้น สีหน้าและแววตาของประธานหวงก็เปลี่ยนเป็นดุดันโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ผลลัพธ์ที่จะตามมาคงเกินกว่าที่เธอจะรับไหวแน่!”
ผลลัพธ์ที่จะตามมางั้นเหรอ?
ฉีเล่ยรู้ได้ทันทีว่า ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่โหดร้ายที่สุดไม่ใช่สภาพที่น่ากลัวภายในเขาจิ่วเหลียนแห่งนี้ แต่กลับเป็นจิตใจของผู้คนที่อยากได้ในสิ่งที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่ต่างหาก
แต่คำข่มขู่เหล่านั้น ก็ดูเหมือนจะทำอะไรฉีเล่ยไม่ได้เลย
ในระหว่างที่ประธานหวงกำลังพูดจาข่มขู่เขาอยู่นั้น ฉีเล่ยก็ได้คอยแอบสังเกตดูประตูหินอยู่อย่างเงียบๆ และพบว่า ประตูหินนี้มีสีดำสนิท และดูเหมือนจะมีความหนาอย่างมากด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถเปิดออกได้ง่ายๆ หากไม่รู้วิธีหรือกลไกสำหรับเปิด ถึงแม้จะใช้กำลังคนจำนวนมากช่วยกันผลักดัน ก็คงยากที่จะเปิดออกได้สำเร็จ
ฉีเล่ยยังสังเกตเห็นอีกว่า นอกจากประตูหินที่หนามากแล้ว ข้างๆประตูก็ยังมีรอยฝ่ามืออยู่ มันดูคล้ายกับฝ่ามือที่อยู่ในถ้ำบนเขาหงหยาซาน ที่ๆเขาได้พบกับผู้บำเพ็ญพรตหยินหยาง
และจากประสบการณ์เมื่อครั้งก่อนหน้านั้น ทำให้ฉีเล่ยจึงพอที่จะคาดเดาอะไรบางอย่างได้บ้าง
“หึ! ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะครับ!”
ฉีเล่ยแสยะยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาประธานหวงที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย โดยมีฮวาโหล่วที่เกาะติดเขาเป็นตังเมเดินตามเข้าไปด้วย
แต่ที่น่าตลกก็คือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉีเล่ยดูน่าเกรงขามมากจนเกินไปหรือยังไง ถึงได้ไม่มีคนของสมาคมแพทย์จงหยวนออกมาขวางทางไว้เลย ทำให้เขาสามารถก้าวไปยืนอยู่ต่อหน้าประธานหวงได้อย่างง่ายดาย
“หวงเหวินชิง ประธานสมาคมแพทย์จงหยวนงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยเอ่ยทวนชื่อและตำแหน่งของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“รู้จักกลัวขึ้นมาแล้วเหรอ?”
รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงเหวินชิง ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้มาก แต่พยายามคิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าเขาเป็นใครกันแน่?
ท้ายที่สุดก็เลยเลิกคิด และรู้ดีว่าครั้งนี้เขาคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแน่!
หากเขาต้องการให้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนของสมาคมแพทย์จงหยวนให้ความร่วมมือ เขาจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเหล่านี้เชื่อมั่นในตัวเขา และยอมร่วมมือกับเขาอย่างเต็มใจ
ฉีเล่ยเชื่อว่า หากเขาสามารถข่มหวงเหวินชิงได้ คนของสมาคมแพทย์จงหยวน คงจะไม่กล้าทำอะไรเขาอย่างแน่นอน ดังคำพูดว่า หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก!
หวงเหวินชิงจ้องมองฉีเล่ย พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายทันที ปากก็ร้องตะโกนใส่หน้าฉีเล่ยเสียงดัง
“นี่ถ้าขืนยังกล้าพูดจาไร้สาระอีกแค่คำเดียว ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
ในระหว่างที่พูดนั้น เท้าขวาของหวงเหวินชิงก็ได้ขยับไปมาเล็กน้อย คล้ายกับเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกน้องของเขาเตรียมการลงมือเคลื่อนไหว
ส่วนทางด้านลูกน้องนั้น เมื่อเห็นหวงเหวินชิงส่งสัญญาณดังกล่าว ก็สามารถเข้าใจได้ในทันที ทั้งหมดหันไปพยักหน้าให้กัน จากนั้นจึงพากันเดินตรงเข้าไปหาฉีเล่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่ถึงสิบนาที คนนับสิบคนก็ได้ไปยืนล้อมร่างของฉีเล่ยไว้เป็นวงกลม ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็อยู่ด้านนอก และดูเหมือนจะไม่มีใครออกมาปกป้องฉีเล่ยด้วย
ฉีเล่ยเข้าใจดีว่า กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เขาจ้องมองหวงเหวินชิงด้วยสีหน้าแววตาเย้ยหยัน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นี่มันอะไรกัน?! ประธานหวง นี่คุณคิดจะใช้กำลังสั่งสอนผมงั้นเหรอ?”
“ฉันคุยกับเธอดีๆแล้ว แต่เธอกลับไม่ยอมฟัง แล้วยังไม่คิดจะเห็นแก่หน้าฉันด้วย ในเมื่อพูดดีๆไม่ฟัง ก็ต้องใช้กำลังสั่งสอน!”
ดูเหมือนหวงเหวินชิงจะไม่คิดปราณีฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย หลังจากพูดจบ เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกส่งสัญญาณ จากนั้น คนของเขาก็พากันปรี่เข้าหาฉีเล่ยทันที
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นดูเหมือนจะพอคาดเดาเหตุการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ฉีเล่ยจะต้องลงเอยอย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจ และดีใจที่ฉีเล่ยลุกขึ้นต่อต้านประธานหวงแทนพวกเขาแบบนี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่า ที่ฉีเล่ยทำลงไปนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหมือนกัน ทำให้ความซาบซึ้งใจดูเหมือนจะลดลงไปกว่าครึ่ง
คนเดียวแต่ต้องรับมือกับคู่ต่อสู้เป็นสิบแบบนี้ แทบไม่ต้องคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ กระทั่งฮวาโหล่วในตอนนี้ยังแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็นชัดเจน
ฉีเล่ยยังไม่คิดที่จะระเบิดพลังหยินและหยางออกมาให้ใครเห็นหากไม่จำเป็น เพราะนี่คือความลับของเขา!
ฉีเล่ยดึงร่างของฮวาโหล่วไปไว้ด้านหลังของตนเองก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายใดๆกับเธอ จากนั้นจึงกระซิบให้เธอหลบออกไปนอกรัศมีการต่อสู้ แต่เธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
ฉีเล่ยจึงได้หันไปย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไปเถอะน่า! ผมรับมือได้ไม่ต้องห่วง!”
ท้ายที่สุดฮัวโหล่วจึงต้องจำใจปล่อยมือที่เกาะกุมฉีเล่ยออก
ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฮวาโหล่วแล้ว ฉีเล่ยก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก เขาขยับคอไปมาเล็กน้อยพร้อมกับหักนิ้วมือดังกร๊อบ ก่อนจะพุ่งตรงไปข้างหน้าในทันที
“พวกแกจะเข้ามาพร้อมกัน หรือจะสู้กันแบบตัวต่อตัวทีละคน?”
ในระหว่างที่พูดนั้น ฉีเล่ยก็ได้เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ชายคนแรกที่อยู่ด้านหน้าจนล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้น จึงได้ตวัดขาเตะออกไปโดนอีกคนจนล้มลงไปกองเช่นกัน
“จุ๊จุ๊ ดูท่าจะยังไม่มีฝีมือพอ”
ฉีเล่ยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอ่อนหัดถึงขนาดนี้ ในขณะที่คนอื่นๆซึ่งไม่ใช่คนของสมาคมแพทย์จงหยวนก็ได้แต่ยืนอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง
“โอ้พระเจ้า! ทำไมเขาถึงได้แข็งแรงขนาดนี้?”
“นั่นน่ะสิ หนึ่งต่อสิบแบบนี้ มันเหลือเชื่อมากจริงๆ!”
ในขณะที่บางคนกำลังเอ่ยปากชมฉีเล่ยนั้น ใครบางคนก็พุ่งตรงจู่โจมเข้าใส่ฉีเล่ยทางด้านหลัง พร้อมกับฟาดกระบองในมือลงไปบนแผ่นหลังของเขาอย่างแรง
แน่นอนว่าหวงเหวินฉีคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่า จะต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ เขาจึงได้พาคนมาด้วยจำนวนมาก มิหนำซ้ำบางคนยังพกอาวุธอย่างกระบองติดไม้ติดมือมาด้วย
ทันทีที่ถูกกระบองฟาดเข้าใส่แผ่นหลังนั้น ได้นำความเจ็บปวดรวดร้าวมาให้ฉีเล่ยอย่างมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนทำร้ายแบบนี้
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันหลับตาลง และได้แต่คิดว่าฉีเล่ยนั้นช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ เพราะถ้าเป็นคนอื่นโดนแบบนั้น อาจจะหมดสติไปแล้วก็เป็นได้
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยั้งมือแบบนี้ ฉีเล่ยเองก็ไม่สามารถยั้งมือให้ได้อีกเช่นกัน เขาควบคุมพลังหยินและหยางให้หมุนเวียนไปทั่วร่างทันที
“พวกแกบีบให้ฉันต้องทำแบบนี้เองนะ!”
ฉีเล่ยร้องคำรามออกไปด้วยความโมโห ก่อนจะชกหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังหยิน และหยางเข้าใส่ร่างของคนที่อยู่ตรงหน้า
หวงเหวินฉีที่กำลังหัวเราะอยู่ถึงกับชะงัก และอ้าปากค้างด้วยความตกอกตกใจ เพราะครั้งนี้ กำปั้นของฉีเล่ยคล้ายมีรัศมีสีม่วงส่องสว่างออกมา และร่างของคนที่ถูกชกก็ถึงกับลอยละลิ่วออกไปไกลกว่าสิบเมตร พร้อมกับกระอักเลือดออกมา
“นี่มันอะไรกัน?! นี่มันเป็นการเล่นกลรึเปล่า?”
ใครบางคนถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะพลังของฉีเล่ยนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปเลย
กระทั่งหวงเหวินชิงยังถึงกับรำพังรำพันออกมาเบาๆ “นี่มันเป็นมนุษย์รึเปล่า?”
“ยังมีใครอยากจะเข้ามาอีกไหม? ถ้ามีก็เชิญได้เลย!”
ฉีเล่ยกวาดสายตามองคนของสมาคมแพทย์จงหยวน พร้อมกับร้องตะโกนท้าทาย
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย กระทั่งหวนเหวินชิงยังได้แต่ยืนนิ่งเงียบไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมาอีก
“แล้วคุณล่ะ ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ฉีเล่ยหันไปถามหวงเหวินชิงที่เอาแต่ยืนนิ่งเงียบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาจึงได้ประกาศว่า
“ในเมื่อประธานหวงไม่มีอะไรจะพูด ผมก็จะของประกาศว่า ในที่นี้ทุกคนมีสิทธิ์ค้นหาคัมภีร์ได้อย่างอิสระ จะไม่มีใครเป็นหัวหน้าใครทั้งนั้น!”
หลายคนในที่นั้นถึงกับยิ้มออกมาด้วยความดีอกดีใจ ในขณะที่ฮวาโหล่วรีบเดินเข้าไปหาฉีเล่ยพร้อมกับบ่นพึมพำ
“นี่! ทำไมจะต้องทำตัวเป็นพระเอกหนังบู๊ขนาดนี้ด้วยห๊ะ? แล้วถ้านายเป็นอะไรไป ฉันจะทำยังไง?”
หลังจากพูดจบ ฮวาโหล่วก็เริ่มทำท่าจะร้องไห้ ฉีเล่ยจึงรีบปลอบใจไปว่า
“เอาล่ะๆ วันหลังผมจะคิดให้ดีก่อนทำอะไร”
ในขณะที่หวงเหวินชิงหลบไปอยู่มุมหนึ่งเงียบๆคนเดียว เพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไปนั้น คนอื่นๆต่างก็พากันจ้องมองไปทางประตูหินลึกลับนั่น โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
“พี่ชาย! พอจะหาวิธีเปิดประตูได้ไหม?”
ชายหนุ่มที่ฉีเล่ยคุยด้วยก่อนหน้านี้เป็นคนเอ่ยถามขึ้นมา