ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 102 ธุรกิจไม่มีคำว่าขาดทุน
เย่เชียนฉีกยิ้มและพูดว่า “ผมรู้จักพวกลักลอบค้าอาวุธรายใหญ่ในแถบตะวันออกกลาง พวกเขามีอาวุธล้ำสมัยที่สุดในตอนนี้ ทั้งปืนไรเฟิลจู่โจม เอ็กซ์เอ็มแปดที่ผลิตโดยบริษัทเอทีเคจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้มันเป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคที่สุดในโลก และยังมีเอ็มหนึ่งเอสอง เอสอีพี เอแบรมส์ รถถังเสริมเกราะจากที่เดียวกัน และเอเอ็มเอ็กซ์ เล็คเลร์ค รถถังประจันบานจากฝรั่งเศส แม้แต่อาวุธชีวภาพหรืออาวุธนิวเคลียร์อื่น ๆ พวกเขาก็มีด้วย ถ้าคุณต้องการ พวกเขาสามารถจัดหาให้ได้อย่างแน่นอน”
“จริงเหรอ ?” หวังเต๋อเซินพูดอย่างตื่นเต้น
“แน่นอน… ถ้าท่านนายพลสนใจ ผมสามารถช่วยคุณติดต่อกับพวกเขาได้” เย่เชียนพูด
“สนใจสิ… ฉันต้องสนใจอยู่แล้ว” หวังเต๋อเซินพูดอย่างรีบร้อน “งั้นฉันฝากเรื่องนั้นไว้กับนายก็แล้วกันน้องชาย… แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะพี่ใหญ่คนนี้จะไม่ปล่อยให้นายได้ข้อตกลงในระยะสั้น ๆ อย่างแน่นอน ส่วนแร่หยกที่ฉันขายให้กับโรงงานแปรรูป ฉันจะขายให้นายแค่ 98% ของราคาปกติที่พวกเขาซื้อทั้งหมด! อย่างงี้ดีมั้ย ?”
“อ้าว…! ท่านนายพล เราไม่ได้เป็นเหมือนพี่น้องกันหรอกเหรอ ? แล้วคุณจะยอมเสียเงินตั้งขนาดนั้นทำไม ?” เย่เชียนพูด
“น้องเย่… นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดก็ยังต้องเก็บผลประโยชน์เอาไว้ นายช่วยจัดหาสิ่งดี ๆ ให้พวกเราตั้งขนาดนี้แล้ว ถ้าขืนยังจะไม่ให้ฉันลดราคาให้แบบนี้ นายก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อพวกมันในราคาที่เพิ่ม 3% จากราคาเดิมหรอก ถ้านายยังยืนกรานที่จะซื้อในราคาเดิมแบบนั้น ฉันก็เสียหน้ากันพอดีน่ะสิ” หวังเต๋อเซินพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ในเมื่อท่านนายพลยืนกรานเช่นนั้น ผมก็น้อมรับไว้อย่างเคารพครับ”
เย่เชียนเสแสร้งทำท่าทางไม่เต็มใจ ราวกับว่าเขาจะไม่เห็นด้วยถ้าหวังเต๋อเซินยืนกรานที่จะลดราคาแร่หยกและอื่น ๆ ให้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนมีความสุขตั้งแต่ได้พบกับหวังเต๋อเซินในครั้งนี้แล้ว นี่มันจะกลายเป็นผลกำไรมากมายมหาศาลเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเต๋อเซินได้ เขายังสามารถซื้อแร่หยก ทับทิม และอื่น ๆ ได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่อื่นและถึงขั้นถูกมาก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเต๋อเซินยังรู้สึกเหมือนเป็นหนี้บุญคุณเขาอีกด้วย
ความสัมพันธ์ของเย่เชียนกับหวังเต๋อเซินไม่เหมือนกับความสัมพันธ์ที่เขามีกับหลี่เหว่ยยี่และสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องซึ่งมีชีวิตกับความตายที่ฝ่าฟันร่วมกันมา ความสัมพันธ์ของเขากับหวังเต๋อเซินเป็นเพียงแค่พันธมิตรเพื่อแสวงหาผลประโยชน์และผลกำไร อย่างมากก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนทางธุรกิจต่อกัน
หวังเต๋อเซินเป็นคนมีอัธยาศัยดีมากอย่างไม่คาดคิด อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเย่เชียนในการแก้ไขปัญหาด้านการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาทั้งคืนในการสังสรรค์และดื่มเครื่องดื่มมึนเมากันจนเย่เชียนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
เขารู้สึกว่าตนเองชักจะดื่มมากเกินไปแล้วในขณะที่หลี่เหว่ยยี่ยังคงมีสติดีอยู่เพราะดื่มไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วสำหรับหลี่เหว่ยยี่ ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคย ถึงแม้ว่าหวังเต๋อเซินจะเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี เขาก็ยังไม่ไว้วางใจจนยอมปล่อยให้สูญเสียความเป็นตัวเองและสูญเสียความพร้อมสำหรับการต่อสู้ เนื่องจากเขาต้องคอยคุ้มกันและปกป้องเย่เชียนในเวลานี้ด้วย
เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ได้ที่พักเป็นบ้านไม้แห่งหนึ่งสำหรับพักผ่อนในค่ำคืนนี้ หวังเต๋อเซินดูแลพวกเขาอย่างดีถึงขั้นเตรียมเด็กสาวชาวเมียนมาร์สองคนให้พวกเขาทั้งคู่อีกด้วย
เย่เชียนค่อนข้างมั่นใจว่าสาว ๆ สองคนนี้ยังเป็นหญิงสาวพรหมจารีอยู่ พวกเขาจึงตอบปฏิเสธไป ไม่ใช่เพราะสองสาวชาวเมียนมาร์ไม่สวย แต่ทว่าพวกเธอเป็นเพียงหญิงสาวที่ดูน่าสงสาร อีกอย่าง พวกเธอเป็นลูกสาวของพวกชาวนาชาวสวนที่อยู่ภายใต้อำนาจของค่ายโจร แม้แต่หลี่เหว่ยยี่ที่มักจะชื่นชอบเรื่องพวกนี้ก็ยังได้แต่ยืนมองด้วยความสงสารระคนสลดใจ
พวกเขาแยกย้ายกันไปนอนบนเตียงของตนและพูดคุยกันไปเรื่อย ทว่าทันใดนั้น จู่ ๆ หลี่เหว่ยยี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“บอส… ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกผะอืดผะอมยังไงบอกไม่ถูก ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยก็จริง แต่ดูสารรูปของพวกเธอสิ ผมอดไม่ได้ที่จะเวทนาพวกเธอเลย… พระเจ้าช่างไม่มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้เลยจริง ๆ”
“ความงดงามมันอยู่ที่คนมอง…” เย่เชียนเว้นช่วงก่อนจะพูดเสริม “นายเคยพูดเอาไว้เองไม่ใช่เหรอ ว่าถึงแม้ผู้หญิงบางคนอาจจะไม่น่าหลงใหล แต่พวกเธอยังคงมีสิ่งที่ควรค่าแก่การแสวงหาความสุขได้อยู่”
“เฮ้อ… ขนาดผมพยายามคิดทะลึ่ง ๆ แล้วนะ… แต่ก็ยังคิดไม่ลงเลย” หลี่เหว่ยยี่ถอนหายใจ
ขณะที่เย่เชียนเพียงยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่เหว่ยยี่ก็ถามขึ้นมา “บอส… จริง ๆ แล้วบอสคิดยังไงเกี่ยวกับหวังเต๋อเซินคนนี้เหรอ ?”
“เขาคุ้มค่าแก่การผูกมิตรด้วยนะ แต่มันก็ต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อให้แน่ใจ” เย่เชียนตอบง่าย ๆ
“โธ่บอส…” หลี่เหว่ยยี่เริ่ม
ทว่าก่อนที่หลี่เหว่ยยี่จะทันได้พูดอะไรอีก เย่เชียนก็ขัดจังหวะเขา “นี่ไอ้หนู! นอนกันได้แล้ว และก็เลิกถามจู้จี้จุกจิกแบบพวกผู้หญิงซะ ถ้านายยังไม่ยอมนอน ฉันจะเตะนายออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลี่เหว่ยยี่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็หันหนีไปอย่างเชื่อฟังและปิดปากของเขาเงียบสนิท
เย่เชียนถอนหายใจ ผ่านไปสักพักแต่เขาก็ยังไม่หลับ เขาหันไปด้านข้างและจ้องมองมีดหมาป่าสีเลือดที่อยู่ในมือ ภายในดวงตาเขามีจิตสังหารรุนแรงแฝงอยู่ อาวุธของเขาและหลี่เหว่ยยี่ถูกส่งคืนกลับมาให้ในตอนที่พวกเขาถูกพามาที่บ้านพักนี้ นี่มันอาจเป็นสัญญาณของความปรารถนาดีและสัมพันธมิตรที่แสดงให้เห็นว่า… พวกเขานั้นไว้วางใจในตัวเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลุ่มเขี้ยวหมาป่า ไม่ใช่พวกที่ศรัทธาในการให้อภัยหรือยอมถูกคุกคามอยู่ฝ่ายเดียว สำหรับ หลิวเทียนเฉิน ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่าเย่เชียนหงุดหงิด เขาจะไม่มีวันปล่อยใครก็ตามที่มารุกรานพวกเขาไป มันมีเพียงจุดจบเดียวสำหรับคนที่กล้ามาท้าทายกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั่นก็คือ …การชำระบาปด้วยเลือดของศัตรู
เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ลุกออกจากเตียงในเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนหวังเต๋อเซินส่งคนให้ออกไปหาข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือต้องรออยู่เฉย ๆ เท่านั้น
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว หวังเต๋อเซินก็พาเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ไปที่ภูเขาใกล้ ๆ เพื่อทัวร์รอบเหมือง นอกเหนือจากทหารรักษาการณ์ สมาชิกกองโจรที่เหลือก็ดูค่อนข้างจะผ่อนคลาย พวกเขาส่วนมากมักไปรวมตัวกันอยู่ที่กลางลานฝึกซ้อมเพื่อทำการฝึกฝนและแลกเปลี่ยนคำชี้แนะเกี่ยวกับการต่อสู้
เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่กลับมาจากภูเขาในตอนบ่าย กลุ่มทหารเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่โชคดีและดูจะมีความสุขกันเสียจนเย่เชียนเห็นแล้วยังอดยิ้มออกมาไม่ได้
แม้ว่านี่จะไม่ใช่กลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเขา แต่มันก็มีบรรยากาศของกองทัพเหมือนในวันเก่า ๆ และมันก็ทำให้นึกถึงสมัยที่กลุ่มเขี้ยวหมาป่าอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้
หวังเต๋อเซินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้รัฐบาลเมียนมาร์ต้องการรักษาความสงบ พวกเราจึงถูกคุกคามน้อยลงอย่างมาก เอาล่ะ… พวกนายอยากจะลองทดสอบดูสักหน่อยไหม ?”
เย่เชียนมองสีหน้าที่ดูคาดหวังของหลี่เหว่ยยี่พลางส่ายหัว จากนั้นก็พูดขึ้น “นายไปสิเหว่ยยี่… แต่อย่าลืมเบา ๆ มือกับพวกเขาด้วย”
หลี่เหว่ยยี่หัวเราะเบา ๆ หน้าตาเขาดูเจ้าเล่ห์พิกล “หึ ๆ ๆ ได้เลยบอส… ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!” พูดจบเขาก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกไปอย่างกระตือรือร้น
หวังเต๋อเซินแสดงท่าทางสั่งการ ทำให้เหล่าทหารในสนามหยุดกิจกรรมของพวกเขาทั้งหมด จากนั้นหวังเต๋อเซินก็พูดว่า “นี่เป็นน้องชายของพวกเราจากกลุ่มเขี้ยวหมาป่า ฉันแน่ใจว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่ามาก่อนแล้ว พวกเขาคือราชาแห่งโลกทหารรับจ้าง ฉันยินดีที่จะบอกว่านี่เป็นโอกาสสำคัญในการเรียนรู้ จงใช้โอกาสดี ๆ แบบนี้ให้คุ้มค่าซะ”
เหล่าทหารจ้องมองด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าเด็กหน้าละอ่อนที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาคนนี้เป็นสมาชิกของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า ตอนนี้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัยเล็กน้อยว่า ‘กลุ่มเขี้ยวหมาป่า’ จะน่ากลัวอย่างที่ตำนานได้กล่าวขานกันไว้หรือไม่ บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือที่เกินจริงก็ได้
โดยปกติแล้วทหารแต่ละคนมักจะมีความหยิ่งผยองในศักดิ์ศรีของพวกเขาอยู่ในใจ รวมถึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าบุคคลใด ๆ แข็งแกร่งกว่าถ้าหากว่ายังไม่ได้เห็นมันด้วยตาตนเอง
ในขณะนี้ พวกเขาพากันคิดกันว่าถ้าพวกเขาสามารถเอาชนะหลี่เหว่ยยี่แห่งเขี้ยวหมาป่าได้ล่ะก็ นั่นมันจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเอาไปใช้โอ้อวดกันได้อย่างสง่าผ่าเผยในภายภาคหน้า และถ้าหากหลังจากนั้นมีการลือกันจนแพร่กระจายคำพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป พวกเขาก็จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นคนที่สามารถสยบได้แม้แต่เขี้ยวหมาป่า!
หลี่เหว่ยยี่มองไปรอบ ๆ และเห็นการแสดงออกที่ดูกระตือรือร้นของเหล่าทหาร รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาชี้เหล่าทหารตรงหน้าและพูดขึ้นว่า…
“ผมไม่ได้ออกกำลังกายมานานมากแล้ว… เข้ามาเลย!”