ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 104 โทสะและความโกรธเกรี้ยวของเขี้ยวหมาป่า (1)
เย่เชียนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเต๋อเซิน เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความมุ่งมั่นว่า “ไม่หรอก… พี่ ๆ ของเขี้ยวหมาป่าจะไม่ตายง่าย ๆ ผมเชื่อว่าหลิวเทียนเฉินยังคงมีชีวิตอยู่”
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ลึก ๆ ในใจแล้ว เขารู้ดีว่าเขาแค่พยายามหลอกตัวเอง เพราะโอกาสที่หลิวเทียนเฉินจะรอดชีวิตมีน้อยเหลือเกิน แต่เขาก็จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเทียนเฉินได้ตายไปแล้วจนกว่าจะถึงวันที่เขาพบร่างอันไร้วิญญาณของหลิวเทียนเฉินจริง ๆ
หวังเต๋อเซินถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาไม่รู้ว่าจะปลอบใจเย่เชียนอย่างไร แต่เขารู้ว่าเย่เชียนจะสามารถออกจากเงามืดนี้ได้อย่างรวดเร็วเพราะเขาคือราชาหมาป่าเย่เชียนแห่งเขี้ยวหมาป่าผู้เข้มแข็ง
“อีกฝ่ายคือใคร ?” เย่เชียนถาม น้ำเสียงของเขาแฝงความเย็นชาอยู่ภายใน ไม่ว่าหลิวเทียนเฉินจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่คนที่ทำร้ายเขามันจะต้องตายเพราะกลุ่มเขี้ยวหมาป่ามีความเชื่อมั่นว่า… เลือดต้องล้างด้วยเลือด!
“กลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์เมียนมาร์ พวกเขาอยู่ทางเหนือห่างออกไปประมาณสี่สิบไมล์จากเมืองล่าเสี้ยว ผู้นำของพวกเขาเป็นชาวเมียนมาร์ชื่อ ตี่ลุน เขามีกองกำลังอยู่ประมาณหกร้อยคนซึ่งทั้งหมดเป็นชาวเมียนมาร์โดยกำเนิด พวกเขามักจะลักลอบค้ายาเสพติดเป็นหลักน่ะ”
แน่นอนว่าหวังเต๋อเซินรู้ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเย่เชียน เขาจึงให้ข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับตี่ลุน
“ตี่ลุน…” เย่เชียนพึมพำชื่อนั้นออกมาเพราะเขารู้สึกว่ามันช่างฟังดูคุ้นเคย เขาอดไม่ได้ที่จะมองหน้าหลี่เหว่ยยี่ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเย่เชียนเช่นกัน
หลี่เหว่ยยี่โน้มตัวไปกระซิบข้างหูของเย่เชียนว่า “บอส ตี่ลุนอะไรนั่น เขาเป็นผู้ว่าจ้างของพี่เทียนเฉิน…”
การถูกนายจ้างขายทิ้งและหักหลัง เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกทหารรับจ้าง และถ้าหากกลุ่มเขี้ยวหมาป่าไม่สามารถขจัดความร้าวฉานนี้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมสำหรับตัวเองแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่สมควรที่จะถูกยกย่องให้เป็นที่หนึ่งของโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตามที แต่พวกเขาก็มักจะถูกจับตามองจากองค์กรหรือทหารรับจ้างกลุ่มอื่น ๆ อยู่เสมอ
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่แปลกใจเลยที่เขาจะรู้สึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นผู้ว่าจ้างที่แจ็คเคยเล่าให้เขาฟังนั่นเอง
“ท่านนายพลหวัง… คุณช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ” เย่เชียนหันไปหาหวังเต๋อเซินและเอ่ยถาม
“ได้เสมอน้องชาย… ถึงแม้ว่านายจะไม่ได้ขอก็ตาม พี่ชายคนนี้ก็จะช่วยอยู่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะรวบรวมพี่น้องทั้งหมดของฉันแล้วไปถล่มรังของพวกมันและกำจัดตี่ลุนให้เอง” หวังเต๋อเซินพูดอย่างไม่ลังเล
เย่เชียนส่ายหัว “ไม่ ๆ ท่านนายพล… ผมขอขอบคุณในความตั้งใจของคุณ แต่นี่มันเป็นเรื่องของเขี้ยวหมาป่าของเรา หากเราอาศัยความร่วมมือจากข้างนอก ถึงแม้ว่าเราจะกำจัดตี่ลุนได้ เราก็จะไม่มีที่ใดในโลกของทหารรับจ้างให้เรายืนอยู่อีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้น การจัดการกับตี่ลุนแค่คนเดียวคงไม่ต้องใช้คนจำนวนมากขนาดนั้นหรอก ถ้าคุณต้องการช่วยจริง ๆ ล่ะก็ ให้ผมยืมอาวุธของคุณก็พอแล้ว ผมจะคืนให้คุณทันทีที่เราสะสางเรื่องนี้เสร็จ และเราจะชำระคืนเป็นสองเท่าผมรับรองเลย!”
“น้องชายเอ๋ย… นายพูดเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้ากันอย่างงั้นแหละ พวกเราทุกคนเป็นดั่งพี่น้องกันนะ ไม่ต้องพูดถึงการตอบแทนหรือสินน้ำใจใด ๆ ทั้งนั้น ถ้านายต้องการอาวุธล่ะก็ ฉันจะพานายไปที่คลังแสงพรุ่งนี้เช้า นายสามารถเลือกอะไรก็ได้ที่นายต้องการ” หวังเต๋อเซินพูดอย่างจริงใจ
“ขอบคุณมากครับท่านนายพล” เย่เชียนพูดอย่างสุภาพ
ในค่ำคืนนั้น เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่รีบหลับกันตั้งแต่หัวค่ำเพราะการต่อสู้ครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาจึงต้องรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเพื่อให้พร้อมที่จะบุกตะลุยข้าศึกให้มากที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ก็ลุกออกจากเตียงอย่างกระตือรือร้น หวังเต๋อเซินนำพวกเขาไปที่คลังแสงเพื่อเลือกอาวุธตามที่เย่เชียนต้องการ นอกจากนั้นเขายังให้คนขับรถพาทั้งสองไปส่งอีกด้วย
เมื่อออกจากค่ายของหวังเต๋อเซินแล้ว ทหารที่ขับรถพาเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ออกมาจากค่ายก็บอกลาก่อนจะลงจากรถไปโดยบอกว่านี่เป็นคำสั่งของหวังเต๋อเซินว่าให้ทิ้งรถเอาไว้ให้พวกเขาทั้งสองใช้
เย่เชียนไม่ได้ตอบอะไรทหารคนนั้น แต่หันไปหาหลี่เหว่ยยี่แล้วพูดว่า “เราไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับภูมิประเทศหรือเป้าหมายของเรามากนัก ฉันต้องขอให้นายไปดูลาดเลาล่วงหน้าก่อนและคอยสอดแนมเอาไว้ เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
“รับทราบ” หลี่เหว่ยยี่นั้นเมื่อยู่ในสถานการณ์ที่จริงจังเช่นนี้ เขาจะไม่ทำตัวขี้เกียจและซุกซนเหมือนตามปกติของเขา เขาฟังคำสั่งและเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลี่เหว่ยยี่มาถึงถนน เขาก็สังเกตเห็นว่ามีรถสัญจรไปมาไม่มากนัก จากนั้นเขาก็สามารถแกะรอยรถสามล้อได้อย่างรวดเร็วเพราะตัวเขาจัดเป็นนักแกะรอยที่เชี่ยวชาญคนหนึ่ง การสอดแนมศัตรูเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับเขาและถึงแม้ว่าศัตรูจะค้นพบเขา เขาก็ยังมีความสามารถที่จะหลบหนีไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
หลังจากที่หลี่เหว่ยยี่เคลื่อนตัวออกไป เย่เชียนก็ติดต่อไปหาเจมส์
“เจมส์! พี่น้องคนอื่นมาถึงหรือยัง ?”
“ทุกคนที่ฉันสามารถติดต่อได้ในตอนนี้ พวกเขามาอยู่กับฉันหมดแล้ว” เจมส์ตอบ
“ดี! งั้นพวกคุณรีบมาที่ภูเขาเดี๋ยวนี้เลย… ผมจะรอพวกคุณอยู่ที่เชิงเขา” เย่เชียนพูดและวางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง รถจี๊ปคันหนึ่งแล่นเข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วสูง
เอี๊ยดดดดดดดดด!
เสียงเบรกรถที่แสบแก้วหูดังกึกก้อง ขณะที่รถมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เย่เชียน มีคนห้าคนเดินออกมาจากรถ ซึ่งนอกเหนือไปจากเจมส์และวิลเลียมแล้ว ก็ยังมี ‘หมาป่าดำเขี้ยวมังกรม่อหลง’ ที่ไม่เป็นสองรองใครในการซุ่มยิง อีกทั้งยังเก่งในด้านการพรางตัว
‘หมาป่าแห่งสายหมอกเฟิงหลาน’ ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ในป่าดั่งเจ้าแห่งขุนเขาและมีกลยุทธ์การสู้รบแบบกองโจรที่ดีที่สุด
‘หมาป่าแห่งพายุชิงเฟิง’ ผู้เชี่ยวชาญและรอบรู้ด้านอาวุธปืน ซึ่งอาวุธปืนในมือของเขานั้นดูราวกับว่ามันจะมีชีวิตของมันเองอย่างไรอย่างนั้น
“บอส!” ชายทั้งห้าคนแสดงความเคารพแบบทหารและพูดพร้อมกัน
หรับเย่เชียนแล้ว การถูกเรียกว่าบอสนั้นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเล็กน้อย มันฟังดูแล้วรู้สึกขัดหูของเขาพิกล ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เรียกคนพวกนี้มาที่นี่หรือเป็นผู้นำของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า แต่ในสายตาของเขานั้น กลุ่มเขี้ยวหมาป่ามีผู้นำเพียงคนเดียวก็คือ เทียนเฟิง ผู้ก่อตั้งของพวกเขา
เย่เชียนพยักหน้าเบา ๆ และเดินกลับไปที่รถที่ทหารทิ้งเอาไว้ให้ เขาเปิดท้ายรถเผยให้เห็นอาวุธและกระสุนจำนวนมากที่วางอยู่ในนั้น จากนั้นเขาก็พูดว่า “นี่คืออาวุธในปฏิบัติการครั้งนี้… แบ่งกัน”
ทั้งห้าคนพยักหน้า ก่อนจะเดินไปที่รถและพยายามเลือกอาวุธที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด เนื่องจากทั้งห้าคนนั้นเคยสัมผัสปืนมาทุกแบบทุกชนิดบนโลกใบนี้แล้ว พวกเขาจึงเลือกกันได้อย่างรวดเร็วไม่ติดปัญหาใด ๆ
“บอส… บอสไปเอาของพวกนี้มาจากไหนเหรอ ? พวกมันเก่าจริง ๆ” ชิงเฟิงแห่งพายุถอนหายใจ ขณะที่เขาเล่นกับปืนที่อยู่ในมือของเขาอย่างสนุกสนาน
“พวกคุณอยากได้รถถังด้วยสักสองสามคันมั้ย ?” เย่เชียนถามอย่างเย็นชา
ชิงเฟิงตกใจเล็กน้อย มันเป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเย่เชียนเดือดดาลแบบนี้ อาจเป็นเพราะเรื่องของหลิวเทียนเฉินที่ทำให้เขาโกรธ
หลังจากแบ่งปืนแบ่งกระสุนกันหมดแล้ว เย่เชียนก็มองไปที่นาฬิกาของเขาและพูดว่า “ฉันให้หลี่เหว่ยยี่ล่วงหน้าไปสำรวจสถานที่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนตอนนี้พวกเราก็… เคลื่อนพลได้”
เมื่อคำสั่งของเย่เชียนดังขึ้น ก็ไม่มีใครลังเลหรืออ้อยอิ่งเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเข้าไปในรถทีละคน ๆ และมุ่งตรงไปยังที่หมายอย่างรวดเร็ว
ภายในรถ ทุกคนต่างก็ตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเองอยู่ในความเงียบ จึงทำให้บรรยากาศในรถดูน่าเบื่อเล็กน้อย ใบหน้าของเย่เชียนสงบและเศร้าหมองยิ่งขึ้น เนื่องจากความปรารถนาเดียวของเขาก็คือ ขอให้หลิวเทียนเฉินยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าความปรารถนานั้นจะริบหรี่ก็ตาม แต่เย่เชียนก็เต็มใจที่จะเชื่อว่าพี่ ๆ ของเขี้ยวหมาป่าจะไม่ถูกสยบอย่างง่ายดาย
ดวงอาทิตย์กำลังตกดินอย่างช้า ๆ หลังภูเขาลูกใหญ่ และความมืดก็เริ่มคืบคลานเข้ามาราวกับปีศาจที่หิวโหยกำลังกลืนกินร่องรอยของแสงทั้งหมดจากโลกใบนี้ไป
เมื่อความมืดมิดปกคลุมทั่วท้องฟ้า พวกเขาก็มาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งบริเวณโดยรอบมีภูเขาสูงตระหง่านและต้นไม้เขียวชอุ่ม พวกเขาอยู่ในจุดที่ใกล้มากที่สุดเท่าที่รถจะสามารถเข้าไปถึงดินแดนของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของตี่ลุนได้ ดังนั้นทุกคนจึงต้องลงจากรถและเดินเท้าต่อไป พวกเขาซ่อนรถด้วยใบไม้และกิ่งไม้ต่าง ๆ จากนั้นเย่เชียนก็นำทัพเขี้ยวหมาป่าทั้งหกคนเข้าไปสู่ภูเขาลูกใหญ่…