ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 107 บุคคลปริศนา
ไม่มีใครสามารถสัมผัสเกล็ดย้อนของเขี้ยวหมาป่าได้ และชื่อเสียงของพวกเขาก็ไม่ควรถูกทำให้หมองหม่นด้วย ต่อให้ตี่ลุนมีผู้สนับสนุนซ่อนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ จุดจบของพวกเขาก็จะยังคงเหมือนเดิมนั่นคือความตาย
เย่เชียนไม่ได้มองไปที่เงินพวกนั้นเลย เขาจ้องมองตี่ลุนอย่างเยือกเย็นและถามว่า “แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร ?”
“ฉัน… ฉันรู้สิ… หมาป่าไง ขะ… เขี้ยวหมาป่า” ตี่ลุนตอบอย่างหวั่นเกรง
“แกเคยเห็นคนที่ทำผิดพลาดพวกนั้นไหมล่ะ พวกนั้นต้องพบกับการลงทัณฑ์เพราะความโง่เขลาของแก… แกรู้มั้ยว่าตัวเองได้กระทำในสิ่งต้องห้ามที่เลวร้ายที่สุดของโลกแห่งทหารรับจ้าง และแกเองก็ทำให้เขี้ยวหมาป่าต้องเดือดดาลแบบนี้… บอกฉันมาซิว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังและสั่งให้แกทำแบบนี้ ?” เย่เชียนพูดช้า ๆ เสียงของเขาเย็นยะเยือกจนตี่ลุนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว
“ฉัน… ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาเป็นใคร เขาแค่บอกให้ฉันทำตามแผนของเขาที่ต้องว่าจ้างและหลอกให้พวกคุณมาปฏิบัติภารกิจที่นี่ให้ได้ และเมื่อพวกคุณมากันแล้วก็ให้พวกเราจับใครก็ได้ในกลุ่มเขี้ยวหมาป่ามาสักคนนึง ถ้าทำได้เขาจะให้เงินสิบล้านเหรียญสหรัฐเป็นรางวัล คือ… ฉัน… ฉันหิวเงินมาก ฉันมีตาหามีแววไม่… ได้โปรด… ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันเป็นแค่ตัวหมากเท่านั้น ตราบใดที่ปล่อยฉันไป ฉันจะทำทุกอย่างที่พวกคุณเขี้ยวหมาป่าต้องการ” ตี่ลุนพูดอย่างหวาดกลัว
เย่เชียนจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของตี่ลุน และเขาก็รู้ว่าตี่ลุนไม่ได้โกหกใด ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จริง ๆ ว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ฟังจากคำพูดและสีหน้าท่าทางของตี่ลุน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งจริง ๆ
กลุ่มเขี้ยวหมาป่าและตัวตนของเย่เชียนนั้นลึกลับอย่างมาก เย่เชียนจึงไม่สามารถที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่เขาก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีใครกันที่กล้าท้าทายและพยายามถึงขนาดนี้ในการต่อต้านกลุ่มเขี้ยวหมาป่า เพราะถ้าหากจะมีใครสักคนจริง ๆ มันก็เป็นได้เพียงรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเพียงเท่านั้น แต่พวกเขาก็น่าจะไม่ใช้วิธีเช่นนี้ หลังจากที่ตระหนักและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เย่เชียนก็ยังคงนึกอะไรไม่ออกอยู่ดี
หลังจากที่สถานการณ์เงียบไปสักพัก เย่เชียนก็หันไปหาหลิวเทียนเฉินและพูดว่า “ผมจะยกให้คุณตัดสินใจก็แล้วกัน”
“ได้!” หลิวเทียนเฉินตอบ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าพร้อมกับแววตาแห่งความเกลียดชังและเดือดดาลอย่างรุนแรงราวกับปีศาจจากยมโลกที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ
ใบหน้าของตี่ลุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและวิงวอนอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าหลิวเทียนเฉินจะไม่รู้ไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย เขาค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ๆ อย่างช้า ๆ ซึ่งนั่นมันก็แทบจะทำให้จิตใจของตี่ลุนแตกสลาย เมื่อได้ยินเสียงเท้าที่ก้าวเข้ามาทีละก้าวนั้น เสียงของทุกย่างก้าวทำให้หัวใจของตี่ลุนถูกบีบจนแทบจะหายใจไม่ออก…
ตี่ลุนต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ไม่มีกระดูกที่สมบูรณ์หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขาแม้แต่น้อย เพราะหลิวเทียนเฉินได้ทุบพวกมันจนแตกละเอียดไปหมดทั้งตัวแล้ว
อาจพูดได้ว่าตี่ลุนนั้นตายทั้งเป็นเลยทีเดียว ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป เขาได้มีชีวิตอยู่บนความเจ็บปวดผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์ อันที่จริงเขาควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ต้องตายด้วยวิธีการนี้ เพราะหากว่าหลิวเทียนเฉินนั้นมีอาวุธชีวภาพของเขาอยู่กับตัว ความเจ็บปวดที่แสนทรมานทุรนทุรายมันจะเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า
ในกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้น หลิวเทียนเฉินมีฉายาว่า หมาป่าเขี้ยวพิษ เพราะในหมู่สมาชิกทั้งหมด เขาเป็นผู้ใช้พิษและสารเคมีระดับปรมาจารย์ที่แม้แต่ศาสตราจารย์ก็ยังเทียบเขาไม่ได้ นอกจากนี้ เขาเป็นคนที่สนุกกับการรักษาชีวิตของศัตรูเอาไว้แล้วปล่อยให้คนพวกนั้นต้องตกอยู่ในความทรมานอย่างแสนสาหัส แม้ว่าพวกเขาจะอยากตายเพราะความเจ็บปวดจากสารพิษและสารเคมีของเขามากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีวันตายได้ถ้าหลิวเทียนเฉินไม่ยินยอม
นอกเหนือไปจากการใช้พิษในการทรมานผู้คนแล้ว แน่นอนว่าหลิวเทียนเฉินยังสามารถใช้สารพิษและสารเคมีช่วยชีวิตคนได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลใด ๆ รูปแบบไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าสารพิษหรือสารเคมีนั้นจะดีหรือไม่ดี มันก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้และผู้ที่ใช้มัน
การที่จะใช้พิษอย่างเชี่ยวชาญได้นั้น ผู้ใช้ต้องเป็นผู้รอบรู้ในการต่อต้านพิษต่าง ๆ เนื่องจากจะต้องเข้าใจองค์ประกอบของสารต่าง ๆ เป็นอย่างดีจึงจะสามารถนำพิษและสารเคมีไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ไปกันเถอะ!” เย่เชียนมองไปที่ซากศพนับร้อยที่กองอยู่บนพื้นและพูดอย่างเยือกเย็น
ชิงเฟิงเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่ใส่เงินเอาไว้ หลังจากที่ทุกคนจุดไฟเผาโดยรอบแล้ว พวกเขาก็ออกจากฐานที่มั่นของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่พังทลายพ่ายแพ้ลงอย่างสมบูรณ์
ศึกนองเลือดในครั้งนี้นั้น พวกเขาใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเศษ ๆ เท่านั้นเอง
หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดลงมาจากภูเขาแล้ว มันก็เป็นเวลารุ่งสางพอดี และเมื่อพวกเขาเก็บซ่อนอาวุธกันครบหมดทุกคน พวกเขาก็ออกรถเพื่อกลับโรงแรม
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นโดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่สิ่งที่เขายังคงเป็นกังวลอยู่ก็คงหนีไมพ้นเรื่องของบุคคลปริศนาที่อยู่เบื้องหลัง เขาคิดว่าการมาเยือนประเทศเมียนมาร์ในครั้งนี้ถือเป็นกำไรอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถช่วยหลิวเทียนเฉินได้สำเร็จ พวกเขายังทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับหวังเต๋อเซินอีกด้วย
หลังจากที่พักผ่อนมาทั้งวัน ในที่สุดเย่เชียนก็เรียกทุกคนเข้ามารวมตัวกันในห้องของเขาอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาช่วยหลิวเทียนเฉินเอาไว้ได้ มันจึงทำให้เย่เชียนอารมณ์ดีขึ้นมาก ส่วนสมาชิกคนอื่น ๆ ก็ไม่มีความกังวลใจใด ๆ พวกเขาต่างก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย เนื่องจากหลิวเทียนเฉินถูกขังอยู่ในน้ำมานาน ร่างกายของเขาจึงค่อนข้างบวมและมีกลิ่นเหม็นเน่าเล็กน้อย ทว่าตัวเขาเองนั้นก็เป็นหมอที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจะฟื้นตัวได้อย่างแน่นอนในเร็ว ๆ นี้
“หลี่เหว่ยยี่ ชิงเฟิง เฟิงหลาน เจมส์ วิลเลี่ยม และเทียนเฉิน พวกคุณทุกคนสแตนด์บายอยู่ที่นี่กันชั่วคราวก่อนนะ พี่ม่อหลงกับผมจะกลับกันไปก่อน” เย่เชียนพูด
“โธ่! บอส… แต่ผมอยากกลับไปกับบอสด้วยนี่” ชิงเฟิงพูดด้วยสีหน้าขมขื่นและพูดต่ออีกว่า “ที่นี่ไม่มีอะไรสนุก ๆ เลย… ผมไม่เคยไปประเทศจีนมาก่อนเลยด้วย ผมได้ยินมาว่าที่นั่นยอดเยี่ยมมาก เพราะความรุ่งโรจน์ของวีรบุรุษที่กล้าหาญ แถมที่นั่นน่ะยังมีสาว ๆ สวย ๆ อยู่เยอะแยะเลยใช่ไหม ?”
เย่เชียนยิ้มและเหลือบมองเขา จากนั้นก็พูดว่า “นายคิดว่าเราจะกลับไปฉลองกันอย่างสนุกสนานงั้นเหรอ ? เรายังทำแบบนั้นไม่ได้หรอก… ที่ฉันอยากให้นายอยู่ต่อเพราะฉันมีภารกิจสำคัญสำหรับพวกคุณทุกคน หลี่เหว่ยยี่… นายเคยพบกับท่านนายพลหวังเต๋อเซินแล้ว เพราะฉะนั้นนายไปตรวจสอบให้แน่ใจทีว่าสิ่งที่ฉันคุยกับเขาเอาไว้จะได้รับการดำเนินการเมื่อไหร่และไปขอความช่วยเหลือจากหวังเต๋อเซินเรื่องที่เราจะจัดตั้งสำนักงานของเราในประเทศเมียนมาร์นี้ด้วย”
หลี่เหว่ยยี่พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่มีปัญหาบอส… เดี๋ยวผมจัดการให้”
จากนั้นหลี่เหว่ยยี่ก็หันไปหาชิงเฟิง ตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วพูดว่า “น้องชิงเฟิงเอ๋ย… อย่าทำหน้าเศร้าไปเลย… เมียนมาร์เป็นประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำมาก นายแค่ใช้เงินเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ นายก็สามารถนอนกับนางแบบหรือดาราดัง ๆ ได้แล้วล่ะ”
“โธ่… ก็พวกเธอน่ะผิวดำอย่างกะอะไร เวลาที่ผมเห็นพวกเธอทีไร มันทำให้ผมคิดว่าผมยังอยู่ในประเทศแถบตะวันออกกลางอยู่ทุกที” ชิงเฟิงพูด สีหน้าเขาดูผิดหวังเล็กน้อย
“แหม… ไอ้น้องชาย… นายนี่ไม่รู้อะไรเอาซะเลย แบบนั้นน่ะเขาเรียกกันว่าผิวข้าวบาร์เลย์นะ… นายรู้ไหมว่าเห็นผิวคล้ำ ๆ แบบนั้น ถ้าได้สัมผัสมันแล้วล่ะก็ มันเนียนนุ่มเหมือนเต้าหู้คุณภาพเยี่ยมเลยแหละ” หลี่เหว่ยยี่พูดด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมาก
เฟิงหลานหันมองไปที่ชิงเฟิงและพูดอย่างดุดันว่า “เราจะอยู่ที่นี่และทำภารกิจ! ไอ้หนู… นายคิดว่าฉันจะปล่อยให้นายไปสนุกที่ซ่องไหมล่ะ ? นายไปที่นั่นก็มีแต่จะติดโรคมาเปล่า ๆ”
ชิงเฟิงแลบลิ้นใส่เล็กน้อยเพราะเขาอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม บุคลิกของเขาก็ค่อนข้างซุกซนและหุนหันพลันแล่น และบางครั้งเขาก็มักจะพูดอะไรออกไปโดยไม่ค่อยคิด ในความเป็นจริงนั้น ถ้าไม่นับเรื่องปฏิบัติภารกิจ เขาก็เป็นเหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีคำพูดบางคำที่ดูเหมือนผู้ใหญ่และมีวุฒิภาวะเกินจริง เย่เชียนก็รู้ดีว่าถ้าหากพวกเขาหาผู้หญิงสวย ๆ มาให้ชิงเฟิงถึงเตียงสักคน น้องชิงเฟิงคนนี้จะไม่กล้าแตะแม้แต่เส้นผมของเธอเลย
เย่เชียนมองไปที่พี่ ๆ น้อง ๆ เหล่านี้ด้วยแววตาสนุกสนานพลางยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ถึงแม้ว่าภารกิจของพวกคุณในตอนนี้มันจะสำคัญมาก แต่พวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือกดดันมากเกินไปหรอก ถ้าพวกคุณมีเวลาก็ออกไปเที่ยวเล่นกันซะบ้างเถอะ เพราะจริง ๆ แล้วที่เมียนมาร์นี่ผมว่าก็ไม่เลวเลยนะ พวกคุณทุกคนต้องพักผ่อนกันบ้าง อีกอย่าง พวกเราก็ยังไม่ทราบตัวตนของบุคคลปริศนาคนนั้นด้วย ดังนั้นถ้าจะทำอะไร ผมก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวกันเป็นพิเศษ… เดี๋ยวผมจะให้แจ็คส่งคนไปตรวจสอบเพื่อดูว่าเราสามารถหาเบาะแสอะไรได้บ้าง”
“บอส! องค์กรกำลังจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเราอยู่ไหม ? ฉันไม่มีเงินเหลือในบัญชีธนาคารของฉันแล้ว ฮ่า ๆ!” เจมส์พูดและยิ้มโง่ ๆ ขณะที่เขาเกาหัวไปด้วย