ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 119 การบิดเบือนทางจิตวิทยา
พลซุ่มยิงหรือที่เรียกทับศัพท์ว่าสไนเปอร์นั้น มักจะถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเป็น มือสังหาร และพวกเขาเองก็ชอบชื่อนี้เช่นกัน เพราะมือสังหารต้องมีสถานะอารมณ์ที่มั่นคงและสงบนิ่ง รวมทั้งต้องมีสติสัมปชัญญะที่ดีอีกด้วย ปืนของพลซุ่มยิงก็เปรียบได้ดั่งดาบของนักรบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพลซุ่มยิงหรือจะเป็นนักรบ พวกเขาก็ต้องทะนุถนอมและให้ความสำคัญกับอาวุธคู่ใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะสามารถดึงเอาพลังและความสามารถที่ดีที่สุดออกมาได้ และนำไปสู่สิ่งที่เรียกกันว่าเอกภาพของอาวุธและมนุษย์
หรือพูดง่าย ๆ อีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาวุธคู่ใจ
ฟูจุนเฉิงไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาได้ถือปืนสไนเปอร์เป็นครั้งสุดท้าย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเขาหยิบปืนสไนเปอร์ไรเฟิลขึ้นมา สำหรับพลซุ่มยิงแล้วสิ่งนี้มันเปรียบได้เทียบเท่ากับชีวิตของเขา
ฟูจุนเฉิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสกลับมาถือสิ่งที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง
“มันเข้ามือคุณมั้ย ?” ม่อหลงถาม
ฟูจุนเฉิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ฉันไม่ได้จับปืนสไนเปอร์ไรเฟิลมานานแล้ว… ก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ”
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ม่อหลงได้พบกับฟูจุนเฉิง แต่ในฐานะพลซุ่มยิงด้วยกัน เขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของฟูจุนเฉิงได้เป็นอย่างดี ในฐานะพลซุ่มยิง การที่ไม่ได้สัมผัสปืนสไนเปอร์ไรเฟิลมาเป็นเวลานานก็จะทำให้ตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้เวลาที่กลับมาจับมันอีกครั้ง
“มันคือบาร์เร็ตต์ เอ็มเก้าสิบเก้า… ผลิตที่สหรัฐอเมริกา ลำกล้องยาว 1,480 มม. หนัก 12 กก. ใช้กระสุน .50 บีเอ็มจี ระยะยิงหวังผลอยู่ที่ 1,500 ม. ความแม่นยำสูง แรงดีดแนวต่ำ… มันสามารถยิงทะลุได้แม้แต่รถหุ้มเกราะกันกระสุนเลยนะ” ม่อหลงอธิบายอย่างละเอียด
“คุณรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเย่เชียนน่ะ ?” ฟูจุนเฉิงถามขึ้นมา
ม่อหลงส่ายหัวและพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน… แต่บอสบอกว่าเราจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อไปถึงที่นั่นเอง” ม่อหลงค่อย ๆ ชำเลืองมองไปที่ฟูจุนเฉิงและถามว่า “คุณมาจากกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีนใช่มั้ย ?”
ฟูจุนเฉิงตกตะลึงไปชั่วชณะ เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขานั้นได้เผยรอยสักบนแขนของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่กำลังตรวจสอบปืนสไนเปอร์ไรเฟิลอยู่ เมื่อดูเผิน ๆ แล้ว มันก็ดูเหมือนจะเป็นรอยสักธรรมดา ๆ ที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ จะมีก็แต่สมาชิกของกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีนด้วยกัน หรือสมาชิกระดับสูงของกองทัพจีนเท่านั้นที่รู้ถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังของมัน
และเมื่อฟูจุนเฉิงย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่เย่เชียนสามารถบอกได้ว่าเขามาจากกองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีน ซึ่งตอนนี้แม้แต่ม่อหลงเองก็สามารถบอกได้เช่นกัน ฟูจุนเฉิงรู้ดีว่าคนย่างเย่เชียนจะไม่มีวันเอาเรื่องส่วนตัวของเขาไปบอกกับคนอื่นแน่นอน นั่นมันก็หมายความว่า ทั้งเย่เชียนและม่อหลงต่างก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเขี้ยวหมาป่า
“ฉันคิดว่ากองกำลังพิเศษเขี้ยวหมาป่าของกองทัพจีนเป็นทหารที่ทรงเกียรติที่สุด ฉันชื่นชมและยกย่องพวกเขามากเลยนะ” ม่อหลงพูดด้วยความจริงใจ
ฟูจุนเฉิงยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณกับเย่เชียนจะคล้ายกันมากนะ… พวกคุณต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเขี้ยวหมาป่าอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคุณก็คงจะไม่รู้ความหมายของรอยสักนี้ได้หรอกใช่มั้ย ?”
ม่อหลงไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เขาเพียงแต่ยิ้มออกมา
……
ในที่สุดเย่เชียนก็เดินทางมาถึงโรงงานเคมีร้างที่อู่หยางเทียนหมิงนัดเขาเอาไว้ เมื่อเขาลงจากรถเรียบร้อยแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไป
เมื่อเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เขาก็มองเห็นอู่หยางเทียนหมิงนั่งอยู่ไกล ๆ ข้าง ๆ เขามีชายฉกรรจ์อายุประมาณยี่สิบปีจำนวนสี่คนยืนอยู่ พวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนเชื้อสายจีน และแต่ละคนก็มีหน้าตาโหดเหี้ยมซึ่งเผยให้รู้ถึงเจตนาฆ่าที่รุนแรงมาก
เย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย คนเหล่านี้ดูไม่ง่ายเลยที่จะรับมือด้วย และเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าอู่หยางเทียนหมิงไปหาคนเหล่านี้มาจากไหน
ส่วนจ้าวหยา ในตอนนี้มือทั้งสองของเธอถูกมัดเอาไว้ด้านหลัง ผมของเธอกระเซอะกระเซิงและมีรอยฟกช้ำแดง ๆ หลายจุดบนใบหน้า แน่นอนว่าเธอคงต้องอดทนกับความเจ็บปวดพวกนี้อย่างมาก
รอยยิ้มที่ดูสะใจและชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอู่หยางเทียนหมิงเมื่อเขาเห็นเย่เชียนกำลังเดินเข้ามา เขาโบกมือส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ข้างหลังเขาสองคนเดินไปหาเย่เชียน
เมื่อจ้าวหยามองเย่เชียน เธอก็รู้สึกตื้นตันใจและมีความสุขขึ้นมาแต่ก็กังวลมากในเวลาเดียวกัน เพราะแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ดีว่ามีอันตรายรอเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ยังมาช่วยเธอ
จ้าวหยาไม่ต้องการให้เย่เชียนต้องเป็นอะไรไปเพียงเพราะเขาตัดสินใจมาช่วยเธอเลย แต่พอคิดไปคิดมา เธอก็ส่ายหัวอย่างรุนแรงไล่ความคิดบ้า ๆ ของเธอออกไป เธอนั้นเกลียดคนขี้โกงคนนี้มากไม่ใช่เหรอ ? งั้นทำไมเธอถึงต้องเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ด้วยล่ะ ? อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เชียนแล้ว อู่หยางเทียนหมิงก็คงจะไม่ลักพาตัวเธอมาตั้งแต่แรก
เมื่อเย่เชียนเห็นว่าจ้าวหยายังคงปลอดภัยดีอยู่ เขาก็จิตใจสงบลงมาก เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะหุนหันพลันแล่นได้ เพราะจ้าวหยายังคงอยู่ในมือของพวกมัน และถ้าหากเขาตัดสินใจทำอะไรไปด้วยความประมาท จ้าวหยาจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เย่เชียนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารและเจตนาฆ่าที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขาอย่างชัดเจน มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดา ๆ จะมีได้เลย กลิ่นอายแห่งการนองเลือดนี้เป็นสิ่งที่คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายมาแล้วเท่านั้นถึงจะมีได้ เพราะมันเป็นชนิดที่สามารถยอมละทิ้งชีวิตของตัวเองทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์บางอย่างได้เลยทีเดียว
เย่เชียนไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถกำจัดพวกนั้นลงได้ในทันทีหรือเปล่า เพื่อความปลอดภัยของจ้าวหยาในตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่ซื้อเวลาเท่านั้น พอม่อหลงและฟูจุนเฉิงมาถึง เขาก็จะได้จัดการกับคนพวกนั้นได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจ้าวหยาจะเป็นอะไรไป
เย่เชียนหยุดเดิน และชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็เดินมาประชิดตัวและเริ่มค้นตามร่างกายของเขา พวกเขาได้ยึดเอามีดหมาป่าสีเลือดไป ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้ต่อต้านหรือขัดขืนอะไร เขาต้องจำใจยอมอย่างสงบ เพราะถึงยังไงแล้วจ้าวหยาก็ยังคงอยู่ในเงื้อมมือของพวกมัน
อู่หยางเทียนหมิงฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและยืนขึ้น เขาจ้องเย่เชียนเขม็ง จากนั้นก็พูดว่า “โอ้… ดูท่าว่าความรักของแกกับนังนี่จะเป็นของจริงสินะ… ขนาดแกรู้ว่าแกจะต้องตาย แกก็ยังจะมา!”
เย่เชียนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “อู่หยางเทียนหมิง! เลิกพูดวกไปวนมาแล้วก็บอกมาได้แล้วว่าแกต้องการอะไรกันแน่ ?”
“ฉันต้องการอะไรงั้นเหรอ…? แกถามฉันว่าฉันต้องการอะไรอย่างงั้นน่ะเหรอไอ้โง่เย่เชียน ?!” อู่หยางเทียนหมิงตะคอกอย่างเดือดดาล ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวราวกับว่าเขานั้นไม่มีสติเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
“ถ้าไม่ใช่เพราะคนอย่างแก… ฉันก็คงจะไม่เป็นเหมือนกับหมาจรจัดแบบนี้! แกรู้มั้ยว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดไหนในคุก! ตั้งแต่วินาทีที่ไอ้พวกขี้คุกเลวทรามต่ำช้าพวกนั้นเอาอวัยวะสกปรก ๆ โสมมมาใส่ในตัวของฉัน! ฉันก็สาบานเอาไว้แล้วว่า ตราบใดที่ฉันออกไปได้ ฉันจะทำให้แกตายทั้งเป็น!”
เย่เชียนเหงื่อซึมมาออกเต็มหน้าผากและรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินสิ่งที่อู่หยางเทียนหมิงพูด นี่อู่อยางเทียนหมิง… เขาถูกอาชญากรพวกนั้นรุมล่วงละเมิดทางเพศจนนำมาซึ่งความอัปยศอดสู มันทำให้ตอนนี้อู่หยางเทียนหมิงได้กลายเป็นปีศาจที่โรคจิตและบ้าคลั่งไปเสียแล้ว
“ถ้าแกอยากจะแก้แค้นฉันก็อย่าใช้ผู้หญิงมาเป็นเครื่องมือสิวะ… ทำแบบนี้มันไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชายเลยนะโว้ย!” เย่เชียนตะคอก
“แล้วตอนนี้ฉันมันไม่ได้เป็นผู้ชายหรือไงวะ ?!” อู่หยางเทียนหมิงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ฉันจะไม่ทนอีกต่อไป! ฉันจะเอาคืนแกเป็นร้อยเท่าพันเท่าให้แกทรมานจนเจียนตายเลยคอยดู! แก… ไอ้สารเลว แกรักนังนี่มากนักใช่มั้ย ? ดี! งั้นฉันจะทรมานเธอต่อหน้าแกเป็นไง ? ฮ่า ๆ ๆ” เมื่อพูดจบ อู่หยางเทียนหมิงก็ย่างเท้าเข้าไปหาจ้าวหยา
“ไอ้เลว! แกอย่าเข้ามานะ ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาไง!” จ้าวหยากรีดร้องเมื่อเธอเห็นอู่หยางเทียนหมิงย่างสามขุมเข้ามาหา
“เฮ้ย…! หยุดนะ อย่ายุ่งกับเธอ” เย่เชียนตะโกนอย่างร้อนรน “ถ้าอยากจะแก้แค้นนักก็มาทำที่ฉันโดยตรงสิวะ!”
“แกกำลังอ้อนวอนฉันอยู่งั้นเหรอ ? เหอะ…” อู่หยางเทียนหมิงหันกลับไปมองเย่เชียนด้วยสีหน้าชั่วร้ายอำมหิต
เย่เชียนกัดฟันแน่นและพูดว่า “ก็ได้! ฉันขอร้องแก… เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย… แกอยากจะแก้แค้นอะไรก็มาทำที่ฉันนี่ อย่าลากเธอเข้ามาเกี่ยวด้วย”
“นี่คือการขอร้องอ้อนวอนของแกแล้วงั้นเรอะ ? ทำไมไม่เห็นจะรู้สึกถึงความจริงใจของแกเลยวะ!” อู่หยางเทียนหมิงตะคอกอย่างรุนแรงพลางมองไปยังชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่เชียน จากนั้นชายฉกรรจ์คนนั้นก็พยักหน้าและยื่นมีดให้กับเย่เชียน…