ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 121 ผู้สืบทอดแห่งหงเหมินกรุ๊ป
จางเชียงเพียงยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่ยอมรับจากปากของเธอเอง แต่ในความคิดของเขานั้น ถ้าสิ่งที่ฉินเฟิงพูดเป็นความจริงล่ะก็ เย่เชียนจะต้องเป็นคนที่สำคัญสำหรับฉินหยูมากอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากฉินหยูยังไม่อยากยอมรับว่าเย่เชียนกับเธอเป็นแฟนกัน ในฐานะผู้อาวุโส เขาจึงคิดจะไม่รบกวนเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
“ลุงจาง วันนี้ลุงไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาพบเขาอย่างเดียวใช่มั้ย ? มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า ?” ฉินหยูถาม หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดต่อ “ลุงมาคุยกันในรถก็ได้”
จางเชียงพยักหน้าก่อนจะเข้าไปในรถ “หยูเอ๋อร์ไม่ได้ขอให้พวกเขาช่วยสืบข้อมูลเกี่ยวกับอู่หยางเทียนหมิงหรอกเหรอ ? ตอนนี้ได้ข้อมูลมาแล้วนะ” จางเชียงขมวดคิ้วให้ฉินหยูเล็กน้อยก่อนจะถาม “มีเรื่องอะไรกันล่ะ ?”
ฉินหยูพยักหน้า “อ้อ หยาเอ๋อร์หายตัวไป ฉันก็เลยสงสัยว่าอู่หยางเทียนหมิงทำเรื่องพวกนี้น่ะ ลุงจาง! ลุงรู้มั้ยว่าอู่หยางเทียนหมิงอยู่ที่ไหน ?”
“เขาอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือในโรงงานเคมีร้าง เขามีนักโทษหลบอยู่ด้วยที่ก็น่าจะช่วยเขาทำเรื่องชั่ว ๆ ข้อมูลพวกนี้ได้มาจากคนของพวกเหว่ยตงเซียนกรุ๊ป” จางเชียงหยุดมองปฏิกิริยาของฉินหยูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “อู่หยางเทียนหมิงจะลักพาตัวจ้าวหยาไปเพื่ออะไรเหรอ ? ลุงเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลยนี่”
“ถ้าลุงจางจะให้ฉันอธิบาย เรื่องมันก็ยาวและยุ่งยากเล็กน้อย แต่อันที่จริงฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะลุงจาง…” ฉินหยูกำลังพูดอยู่ แต่จู่ ๆ เธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
ทันใดนั้นเอง ฉินหยูก็เกิดคิดขึ้นมาว่าที่เย่เชียนเอารถของลุงจางเชียงไป ก็คงเป็นเพราะเขาจะรีบไปหาอู่หยางเทียนหมิงอย่างนั้นใช่ไหม ? มันเป็นไปได้ไหมว่าเขารู้แล้วว่าจ้าวหยาถูกจับตัวไปที่ไหน เขาก็เลยรีบร้อนไปช่วย ? และรถที่บังเอิญผ่านมาตอนที่เขาต้องการรถคือรถของลุงจางพอดีอย่างนั้นหรือเปล่า ?
จางเชียงรู้สึกประหลาดใจที่จู่ ๆ ฉินหยูก็เงียบไปอย่างกะทันหัน เขาเอ่ยปากถาม “มีอะไรเหรอหยูเอ๋อร์ ?”
“ลุงจาง ฉันคิดว่าเย่เชียนอาจจะรีบ เขาก็เลยมาชิงเอารถของลุงไปเพื่อที่จะขับไปหาอู่หยางเทียนหมิงก็ได้นะ” ฉินหยูตอบและพูดอย่างเป็นกังวล “ฉันกลัวจังเลยลุงจาง กลัวว่ามันจะอันตรายเกินไปสำหรับเขาที่จะไปหาอู่หยางเทียนหมิงคนเดียว”
จางเชียงเห็นใจในท่าทางเศร้า ๆ ของฉินหยู แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกงงงวยจริง ๆ ว่าแล้วไอ้เรื่องนี้มันไปเกี่ยวข้องกับเย่เชียนได้อย่างไร แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวตระหนักหรือไตร่ตรองเรื่องนี้
“ไม่ต้องห่วงนะหยูเอ๋อร์ เดี๋ยวลุงจะส่งคนไปที่นั่นทันที” หลังจากที่พูดเช่นนี้ จางเชียงก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเตรียมที่จะติดต่อหาคนไปช่วยเหลือเย่เชียน
“อย่าเลยลุงจาง!” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ฉินหยูก็รีบส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าเราจะทำอะไรได้แล้วล่ะลุง ถึงแม้ว่าพวกเราจะไปที่นั่นก็ตามเถอะ ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องช่วยจ้าวหยาได้อย่างแน่นอน เย่เชียนน่ะ”
แม้จะพูดคำเหล่านี้ไป ฉินหยูก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะเป็นห่วงเย่เชียน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่กล้าให้คนอื่นไปแทรกแซง ก็ใครจะรู้ล่ะว่าอู่หยางเทียนหมิงอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ และถ้าเขาค้นพบว่ามีคนอื่นเข้ามาแทรกแซงแล้วล่ะก็ นั่นอาจจะทำให้จ้าวหยาต้องตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเสียเปล่า ๆ
จางเชียงจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาฉินหยูจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมในกิจการของตระกูล แต่จางเชียงก็รู้ดีว่าฉินหยูนั้นฉลาดและมีไหวพริบมากเพียงใด อาจพูดได้ว่าฉินหยูมีส่วนช่วยอย่างมากสำหรับเครือบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างหงเหมินกรุ๊ปที่สามารถสร้างตัวตนอันสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้ในเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ แม้ว่าจางเชียงจะไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ แต่เขาก็ชื่นชมผู้สืบทอดคนโตของหงเหมินกรุ๊ปคนนี้อย่างจริงใจและยังภูมิใจในตัวเธอมาก
ไม่ว่าเธอจะคิดจะตัดสินใจอะไร จางเชียงก็คิดว่าตัวเขาจะไม่คัดค้านในการตัดสินใจของฉินหยูเลย
“หยูเอ๋อร์ ลุงมีอีกเรื่องที่ต้องบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้” หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ จางเชียงก็พูดขึ้น
“มีอะไรเหรอ ลุงจางบอกมาได้เลย” ฉินหยูพูดด้วยสีหน้าอ่านยาก
“หลังจากที่เฟิงเอ๋อร์บอกกับลุงว่าเย่เชียนเป็นแฟนของหยูเอ๋อร์ ลุงสงสัยก็เลยลองไปสืบค้นข้อมูลภูมิหลังของเขา แต่ว่ามันมีช่องว่างอยู่แปดปี ซึ่งเป็นแปดปีที่ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรใดได้เลยสักอย่าง ยังไงลุงว่าหยูเอ๋อร์น่าจะระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่านี้หน่อยนะ”
ฉินหยูหันไปมองลุงจางเชียง และพูดกับเขาว่า “ลุงจางคะ… ฉันรู้ว่าลุงต้องการพูดอะไรเพราะงั้นสบายใจได้เลย ฉันไม่ใช่คนโง่นะคะ ฉันสามารถแยกแยะได้ระหว่างความดีกับความเลว…
เขาบอกกับฉันว่าแปดปีที่ผ่านมา เขาอยู่ในทวีปตะวันออกกลาง แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำอะไร”
“ตะวันออกกลางเหรอ ?” จางเชียงตกตะลึงอย่างมาก ที่นั่นมันเป็นพื้นที่เขตสงครามซึ่งมักจะเกิดความรุนแรงบ่อยครั้ง แต่เย่เชียนกลับอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างไม่คาดคิด แล้วยังอยู่มาตั้งนานถึงแปดปีอีก!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็ได้รู้สถานที่ที่เย่เชียนอยู่มาแปดปีแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งและกว้างขวางของเครือข่ายข่าวกรองของหงเหมินกรุ๊ปนั้น ไม่ยากเลยที่จะขุดคุ้ยภูมิหลังของเย่เชียน
ฉินหยูดูเหมือนจะรู้ถึงสิ่งที่ลุงจางเชียงกำลังคิด จากนั้นเธอก็รีบพูดว่า “ลุงจาง ลุงคงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้โดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่มั้ย ? พ่อของฉันเป็นคนส่งลุงมาใช่หรือเปล่า ?”
จางเชียงหัวเราะอย่างสบาย ๆ “ฮ่า ๆ ๆ นี่ลุงไม่สามารถปิดบังอะไรหยูเอ๋อร์ได้เลยสินะ”
ฉินหยูยิ้มจาง ๆ “ลุงจางคะ ลุงกลับไปบอกคุณพ่อด้วยนะว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามกับภูมิหลังของเย่เชียนมากนัก เพราะถ้าเขารู้ตัวขึ้นมา เขาจะมองพวกเราไม่ดี และนอกจากนี้ ฉันก็ฝากลุงบอกคุณพ่อด้วยว่านี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันซึ่งฉันจัดการเองได้ คุณพ่อไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย”
“ก็ได้ ลุงตกลง” จางเชียงยิ้มอย่างใจดี “เอ้อ… หยูเอ๋อร์ถ้ามีเวลาว่าง ๆ ก็พาพ่อหนุ่มคนนั้นมาทานอาหารเย็นกับลุงทีสิ ลุงเริ่มสนใจหนุ่มน้อยคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วล่ะ”
“ลุงจาง! นี่ลุงยังมีเวลาว่างมานั่งคิดเรื่องพวกนี้อยู่อีกเหรอ ? ลุงไม่ได้กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องแก๊งหรือกลุ่มอะไรนั่นเหรอไง ?” ฉินหยูพูดหยอกล้อเพื่อเปลี่ยนประเด็น
“แน่นอนว่าพวกเรากำลังยุ่งอยู่ แต่มันก็น่าเสียดายนะที่หยูเอ๋อร์ไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ไม่เช่นนั้นปัญหาที่วุ่นวายเหล่านี้ก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดายเลยเชียวแหละถ้าอยู่ภายใต้การดูแลของหยูเอ๋อร์น่ะ…
เฮ้อ… เมื่อเร็ว ๆ นี้ชิงกรุ๊ปเกิดความวุ่นวายมาก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังอยู่ในระหว่างดำเนินโครงการใหญ่กันอยู่ หยูเอ๋อร์รู้ใช่ไหมว่าเซี่ยงไฮ้เป็นฐานปฏิบัติการของชิงกรุ๊ป และสำนักงานใหญ่ของเราเองก็อยู่ทางตอนใต้ ถ้าหากว่าชิงกรุ๊ปกระทำการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาล่ะก็ มันก็ยากมากที่หงเหมินกรุ๊ปจะยังมีพื้นที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ได้”
เดิมทีหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปมีต้นกำเนิดเดียวกัน ประวัติของพวกเขาก็มีมายาวนานมากซึ่งอาจย้อนกลับไปได้ถึงสมัยราชวงศ์ชิงในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซีโน่นเลยก็เป็นได้ แต่ในเวลาต่อมาเกิดความขัดแย้งกันภายในองค์กร พวกเขาจึงแยกออกเป็นหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ป
พวกหงเหมินกรุ๊ปนั้นย้ายไปทางตอนใต้ทั้งหมด ในขณะที่ชิงกรุ๊ปยืนหยัดจะปักหลักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้โดยมีแบ่งไปทางเหนือส่วนหนึ่ง และถึงแม้ว่าชิงกรุ๊ปกับหงเหมินกรุ๊ปจะไม่เคยหยุดต่อสู้กันในนามของคู่แข่งก็ตาม แต่ระหว่างพวกเขาก็เป็นเพียงการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ต่อมาในช่วงวิกฤตของประเทศจีน หงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปก็ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ทางธุรกิจกับผู้ลงทุนที่เข้ามาจากต่างประเทศมาเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งประเทศจีนพ้นจากวิกฤตรวมกันเป็นปึกแผ่น หลังจากนั้น หงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปก็แยกย้ายกันไปอีกครั้ง…
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการปราบปรามการทุจริตและสินค้านำเข้ามากมายซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาลจีน หงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปจึงได้รับผลกระทบไปด้วย พวกเขาต้องลดจำนวนธุรกิจของพวกเขาลงและเริ่มหันไปสู่การค้าสินค้าและให้บริการต่าง ๆ แทน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น อิทธิพลใต้ดินของพวกเขาทั้งสองกรุ๊ปก็ยังไม่สลายหายไปเสียทีเดียว อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างทั้งสองก็แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย
ในปัจจุบันความแข็งแกร่งและการเติบโตของหงเหมินกรุ๊ปนั้นก็กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภัยคุกคามต่อชิงกรุ๊ปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีความขัดแย้งที่ร้ายแรงปะทุขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดีว่ามันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าฝ่ายใดจะกระตุ้นและเปิดศึกสร้างความขัดแย้งก่อนก็เท่านั้น
ฉินหยูขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า “ลุงจาง ทำไมหงเหมินกรุ๊ปถึงไม่จับมือกับชิงกรุ๊ปและทำงานร่วมกันเหมือนสมัยก่อนล่ะ เพราะถ้าหากทั้งสองฝ่ายเริ่มจุดชนวนสงครามกัน มันจะเป็นเหมือนเสือสองตัวที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดและไม่พ้นที่จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่กันทั้งสองฝ่าย ทำไมเราไม่เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันและรับผลประโยชน์ร่วมกันไปเลยดีกว่าล่ะ ?”
จางเชียงหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ความขุ่นเคืองและความขับข้องใจกันระหว่างหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปนั้นมันไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ น่ะสิ มันยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อีกมากเกินไป ลุงเองก็ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายจับมือและพูดคุยกันดี ๆ เหมือนกัน แต่นั่นมันเป็นสิ่งยากมากที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ๆ เลย…
ถ้าหากทั้งสองฝ่ายจัดตั้งพันธมิตรทางธุรกิจขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็นะ แล้วใครจะเป็นหัวหน้าของพันธมิตรนี้ล่ะ จริงมั้ย ? ถ้าคนคนนั้นมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง ลุงเกรงว่าทั้งสองฝ่ายก็จะไม่มีความสุขเพราะเกิดความไม่สบายใจต่อกันไง…
ลองย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน จักรวรรดิที่แบ่งแยกกันมาอย่างยาวนาน สุดท้ายแล้วก็ต้องรวมกันเป็นหนึ่งอยู่ดี ในอนาคตนั้นเราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น เราหลีกเลี่ยงมั้นไม่ได้หรอก ลุงคิดว่ามันอยู่ที่ว่าวีรบุรุษคนไหนที่จะสามารถรวมพลังของทั้งสองได้อย่างเป็นหนึ่งมากกว่า