ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 138 ความยุ่งเหยิงของเย่เชียน
การไปต่อที่บาร์มนต์เสน่ห์ในค่ำคืนนี้เป็นเพียงการฉลองกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เย่เชียนจึงไม่ขัดข้องและปล่อยให้ฟูจุนเฉิงกลับบ้านไปฉลองวันเกิดของภรรยากับครอบครัว เย่เชียนไม่ได้กังวลว่าคืนนี้จะมีปัญหาอะไร สิ่งที่เขายังคงเป็นกังวลนั่นคือ มาเฟียของแก๊งชิงหรือเครือชิงกรุ๊ปอาจจะมีการเคลื่อนไหวหลังจากคืนนี้ไปต่างหาก
หลังจากที่นัดหมายเวลากันแล้ว พวกเขาก็คุยกันเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก ไม่นานฟูจุนเฉิง จ้าวไถ่จู้และหวันชุนหัวก็ออกไป เหลือเพียงเย่เชียนกับม่อหลงเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้อง
“บอส! บอสไม่คิดว่านี่มันจะอุกอาจไปหน่อย ? ถ้า…” ม่อหลงเริ่ม
ม่อหลงยังพูดไม่ทันจบ แต่เย่เชียนก็ขัดจังหวะเขาด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้จักกับสามคนนั้นได้ไม่นานนัก แต่ผมก็เชื่อใจพวกเขานะ… ถึงวันนี้พวกเขาอาจจะยังไม่ได้ตกลงที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าก็เถอะ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ปฏิเสธนี่ พี่ม่อหลง… หากกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเราต้องการขยายกำลังในจีน เราคงไม่สามารถพึ่งพาแค่สมาชิกเดิมของพวกเราได้ เราต้องปล่อยคนรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาบ้าง อีกอย่างประเทศจีนเองก็มีขนาดใหญ่มาก เราจะไม่เติบโตเพียงแค่ในเซี่ยงไฮ้เพียงเท่านั้นนะพี่ แต่เราจะต้องขยายและเติบโตไปทั้งประเทศเลย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ประเทศจีนแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในโลก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีตัวตนที่ชอบธรรมด้วยกฎหมายที่สามารถใช้และเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เพราะถ้าเราปรากฏตัวแค่ในนามของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าล่ะก็ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติก็จะมาเยือนพวกเราแล้วทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน”
ม่อหลงพยักหน้าเงียบ ๆ จากนั้นก็พูดว่า “ฉันว่าฟูจุนเฉิงกับจ้าวไถ่จู้น่ะมีคุณสมบัติและศักยภาพที่เหมาะสมในการเข้าร่วมกับกลุ่มเขี้ยวหมาป่าของเรา… แต่หวันชุนหัวคนนั้นน่ะ ดูไม่ค่อยจะเหมาะสักเท่าไหร่”
เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเองและมีศักยภาพเฉพาะตน… บางทีพี่อาจจะเห็นว่าหวันชุนหัวนั้นไร้สาระเกินไปหน่อย แต่เขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ บางครั้งเขาอาจจะทำตัวตรง ๆ หรือหน้าด้านไปหน่อย แต่พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขาหรอก พี่เล่าให้ผมฟังเรื่อเกี่ยวกับพี่บ้างสิ”
“ฉันเหรอ ? ฉันจะไปมีอะไรให้เล่าล่ะ ?” ม่อหลงถามด้วยความประหลาดใจและงุนงง
“อืม… เกี่ยวกับสำนักม่อจื๊อไง ? มันเป็นยังไงบ้าง ?” เย่เชียนถาม
ม่อหลงส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันผ่านมานานหลายปีแล้ว… ขนาดฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ยังมีสาวกม่อจื๊อหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า”
“แต่สาวกม่อจื๊อและสำนักม่อจื๊อนั้นมีมาหลายพันปีแล้วนะพี่ แล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหน แสดงว่าพวกเขามีคุณค่าในวิถีชีวิตและการดำรงอยู่ของตนเอง… มันเป็นเพียงแค่เรื่องของกาลเวลาเท่านั้น”
“บอส… คืนนี้ที่บาร์มนต์เสน่ห์น่ะ มันจะมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ?” ม่อหลงถาม
เย่เชียนยักหน้าและตอบเบา ๆ ว่า “ผมมีน้องชายอยู่คนนึง… เขาถูกพวกมาเฟียของแก๊งชิงทำร้ายและถึงกับแย่งเขตปกครองของเขาไป ผมก็เลยจะไปที่นั่นเพื่อทวงความยุติธรรมคืนให้กับเขาสักหน่อย”
“แค่นั้นจริง ๆ เหรอ ?” ม่อหลงพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแต่ฉีกยิ้มกลับ
ความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับหวังหู่ แต่เย่เชียนก็ต้องการที่จะไปตรวจสอบอยู่แล้วว่าแก๊งชิงในเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปจะตอบสนองอย่างไรกันบ้าง เพราะมันจะช่วยให้เย่เชียนกำหนดแผนในอนาคตได้
ทว่าม่อหลงนั้นเป็นสมาชิกของกล่มเขี้ยวหมาป่าที่ติดตามเย่เชียนมานานมากแล้วคนหนึ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาที่เย่เชียนพูดถึงเรื่องนี้เมื่อสักครู่ เขาก็รู้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ มันคงจะไม่ง่ายอย่างนั้น
หลังจากคุยกันเสร็จ เย่เชียนและม่อหลงก็เดินออกจากสโมสรเจิดจรัสไป
จากนั้นหญิงสาวที่คอยเฝ้าดูอยู่ในออฟฟิศชั้นบนสุดอยู่ตลอดเวลาก็โทรหาผู้จัดการชางกวนให้มาหา แล้วเธอก็สั่งเขาว่า “คุณช่วยไปตรวจสอบภูมิหลังของคนเหล่านั้นให้ดิฉันทีนะคะ… ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
ผู้จัดการชางกวนตอบรับคำสั่งแล้วเดินออกจากออฟฟิศไป
หญิงสาวคนนั้นเดินไปที่หน้าต่าง เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพึมพำกับตัวเองว่า “เย่เชียน… คุณกำลังคิดอะไรของคุณอยู่กันแน่คะ ?”
หลังจากที่ออกจากสโมสรเจิดจรัสมาแล้ว เย่เชียนและม่อหลงก็ไปหาแจ็ค แจ็คนั้นได้ย้ายออกจากสำนักงานที่จัดทำโดยเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังหาเช่าพื้นที่ใหม่เพื่อใช้อย่างเป็นทางการของกองกำลังป้องกันตนเองพิเศษ หรือในนามของสำนักงานรักษาความปลอดภัยมีชื่อว่า ‘ไอร่อนบลัด’ ชั่วคราว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้ทำการว่าจ้างบุคลากรตามแผนกต่าง ๆ รอไว้แล้ว
เย่เชียนและแจ็คคุยกันถึงแผนการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสำนักงานรักษาความปลอดภัย รวมถึงแผนการขยายกำลังของเขี้ยวหมาป่า หลังจากนั้นเขาก็ออกจากสำนักงานไป
ทว่า… ปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในปัจจุบันของเย่เชียนนั้นกลับเป็นสิ่งที่ฉินหยูเคยพูดถึงเอาไว้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องการให้เครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปต่อสู้กัน ยิ่งพวกเขาสู้กันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็พยายามคิดว่า มันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะทำตามสิ่งที่ฉินหยูปรารถนาได้ เขาจะสามารถนำเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งได้ไหม วิธีนี้ยากกว่าวิธีแรกมาก แต่ผลประโยชน์ก็มากกว่าเช่นกัน
ในตอนนี้เย่เชียนยังไม่ได้ก่อตั้งสำนักงานข่าวกรองในประเทศจีนอย่างเป็นทางการ เขาจึงยังมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปน้อยเกินไป มันจึงทำให้มีข้อจำกัดที่ค่อนข้างมากในสิ่งที่เขาอยากจะทำ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับหงเหมินกรุ๊ปเท่าใดนัก เพราะเขายังมีฉินหยูอยู่ทั้งคน ท้ายที่สุดแล้วฉินหยูก็ยังเป็นคนของที่นั่น ถ้าหากเขี้ยวหมาป่าต้องการเป็นพันธมิตรกับหงเหมินกรุ๊ป มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าเครือชิงกรุ๊ปล่ะ ? เย่เชียนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่เบื้องหลังและคอยควบคุมทั้งหมดนั่นเป็นใคร ดังนั้นการที่จะนำเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปมารวมกันเป็นหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง
เย่เชียนรู้สึกว่าเขาเริ่มปวดหัวมากขึ้นเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงส่ายหัวเพื่อสลัดเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้ออกไป จากนั้นเขาก็ยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เนื่องจากเขายังไม่ได้คิดแผนปฏิบัติการใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม เขาจึงควรตรวจสอบก่อนว่าเครือชิงกรุ๊ปนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยพิจารณาแผนการในภายหลัง
เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้วขณะที่เย่เชียนมุ่งหน้าตรงไปยังห้างสรรพสินค้า เพราะเขายังต้องไปงานวันเกิดลูกสาวของจีเมิงฉิงอีก และมันคงจะดูไม่ดีนักหากเขาไม่เตรียมของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย
เย่เชียนนั้นไม่รู้เลยว่าเด็กสมัยนี้จะชอบอะไรกันบ้าง เพราะเขาเองก็จำไม่ได้ว่าตอนที่เขายังเด็ก เขานั้นชอบของเล่นแบบไหน เขาจึงตัดสินใจซื้อตุ๊กตาน่ารัก ๆ ช็อกโกแลตและขนมอื่น ๆ อีกมากมาย จากนั้นเขาก็รีบไปที่บ้านของจีเมิงฉิงด้วยความรีบร้อน
ขณะเดียวกันนั้นเอง จีเมิงฉิงก็กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่อย่างอภิรมณ์ เธอมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อคิดว่าเย่เชียนจะมาร่วมงานด้วยในค่ำคืนนี้ อันที่จริงจีเมิงฉิงนั้นยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อเย่เชียน เธอไม่รู้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกขอบคุณหรืออะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ส่วนเบ็งเบ็งก็กำลังเล่นของเล่นของเธออยู่อย่างมีความสุขในห้องนั่งเล่น ท้ายที่สุดแล้วเด็กก็คือเด็ก พวกเขาไม่มีความกังวลใด ๆ มีแต่ความสุขกับสิ่งงย ๆ และใสซื่อบริสุทธิ์
เมื่อจีเมิงฉิงได้ยินเสียงกริ่งประตู หัวใจของเธอก็สั่นหวั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ตะโกนอย่างอ่อนโยนว่า “มาแล้วค่ะ!”
จีเมิงฉิงแทบจะอดทนรอไม่ไหว เธอรีบเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและรวบผมของเธอให้เป็นระเบียบ “คุณมาแล้วเหรอคะ ?” จีเมิงฉิงพูดขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูออกด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขท่วมท้นอยู่บนใบหน้าของเธอ
แต่เมื่อจีเมิงฉิงเปิดประตูออกไป สีหน้าของเธอก็กลับกลายเป็นความมืดมนในทันที เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าประตูนั้นไม่ใช่เย่เชียนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นอดีตสามีของเธอ จางเจี้ยน มันทำให้รอยยิ้มที่มีความสุขของจีเมิงฉิงหายไปและการแสดงออกของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
“คุณมาที่นี่ทำไม ?” เธอพูดอย่างเย็นชา
“อ้าว… ก็วันนี้เป็นวันเกิดของเบ็งเบ็งนี่ แล้วทำไมพ่อของเธอจะมาหาไม่ได้ล่ะ ?” จางเจี้ยนพูดขณะที่ผลักประตูให้เปิดออกและถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน
จีเมิงฉิงจ้องมองอย่างเหยียดหยามและตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “คุณเพิ่งจะรู้ตัวหรือไงว่าคุณเป็นพ่อของเธอน่ะ ?! แล้วที่ผ่านมาทำไมคุณถึงไม่เคยทำตัวให้สมกับเป็นพ่อของเธอเลยล่ะ ? จางเจี้ยน… คุณออกไปเถอะ! ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!”