ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 142 เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของฉินหยู
“คุณหลิน… ฉันไม่รู้เลยว่าการปรากฏตัวของฉันมันจะทำให้คุณต้องเดือดร้อนขนาดนี้ ฉันน่ะชอบเย่เชียนก็จริง แต่คุณช่างเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ๆ คนนึงเลย คุณรู้มั้ยว่าสิ่งที่เย่เชียนต้องการนั้นไม่ใช่ผู้หญิงที่สามารถช่วยเขาหรือสามารถให้เขาพึ่งพาเธอได้… แต่เป็นผู้หญิงแบบคุณ! คนที่รักเขาทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ ฉันรับรู้ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลว่าคุณคือคนเย่เชียนเลือกแล้วและจะไม่มีใครสามารถมาแทนที่คุณได้ คุณหลิน… ฉันหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะคะ ถ้าหากว่าการปรากฏตัวของฉันนั้นทำให้คุณเสียใจ… ฉันก็อยากจะขอโทษคุณอีกครั้งจากใจค่ะ” ฉินหยูพูด
หลินโรโร่วหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ปัญหามันเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ให้ดีและถี่ถ้วนพอ… ฉันอยากให้คุณและเย่เชียนได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ ค่ะ คุณฉินน่ะเหมาะสมกับเขาจริง ๆ อีกอย่าง… ฉันคิดว่าเย่เชียนเองก็ชอบคุณด้วย แต่ด้วยความที่เขาเป็นแฟนที่ดี เขาก็เลยพยายามปกปิดมันเอาไว้ เขาคงไม่ต้องการทำให้ฉันเสียใจน่ะค่ะ… ฉันรู้สึกว่าการที่เรารักใครสักคน เราก็แค่อยากให้คนคนนั้นมีความสุข ที่ฉันนัดคุณมาเจอในวันนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณชอบเขาจริง ๆ หรือเปล่าก็แค่นั้นเอง และในตอนนี้ฉันก็ได้รู้แล้ว เพราะงั้นถ้าคุณกับเขาอยู่ด้วยกัน… ฉันมั่นใจว่าคุณทั้งคู่จะมีความสุขมาก”
ฉินหยูยิ้มจาง ๆ เธอรู้สึกว่าหลินโรโร่วช่างเป็นคนโง่ที่น่ารักมาก และผู้หญิงคนนี้ก็ควรที่จะได้รับการดูแลปกป้องจากเย่เชียนไปตลอดชั่วชีวิตของเธอ
“ฉันว่าเราสองคนกำลังคิดคาดเดากันไปเองนะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบก็ได้ ฉันว่าคนขี้โกงนั่นคงไม่ได้มีความอารมณ์พิศวาสอะไรกับฉันหรอก” ฉินหยูหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “คุณหลิน… คุณอย่าคิดอะไรให้มันหนักหัวสมองนักเลย ที่คุณชอบเย่เชียนน่ะเป็นเหตุผลหนึ่ง… ส่วนคนที่เขาต้องการเลือกที่จะอยู่ด้วยนั่นก็อีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ แล้วว่าคนคนนั้นก็คือคุณ ดังนั้น… คุณก็ไม่ควรที่จะกังวลอะไร ต่อให้วันนึงเย่เชียนจะทำให้คุณผิดหวังรืออะไร ฉันก็จะไม่ยอมเช่นกัน ฉันคนนี้จะคอยสนับสนุนคุณอยู่ห่าง ๆ เอง”
หลินโรโร่วมองไปที่ฉินหยูด้วยความประหลาดใจและซาบซึ้ง จากนั้นเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตันว่า “คุณ…”
ฉินหยูยิ้มและพูดขัดจังหวะหลินโรโร่วว่า “พวกเราหยุดคิดเรื่องนี้กันก่อนดีกว่ามั้ย ? เอ่อ… จะว่าไปฉันคิดว่าฉันน่าจะแก่กว่าคุณ… ถ้าคุณไม่ขัดข้อง ฉันขอเรียกคุณว่าน้องหลินจะได้มั้ย ?”
“ได้ค่ะ… งั้นฉันก็จะเรียกคุณว่าพี่หยูก็แล้วกันนะคะ” หลินโรโร่วยิ้มอย่างอบอุ่น เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ในช่วงเวลาที่เธอเผชิญหน้ากับฉินหยูนั้น เธอรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ที่พิเศษเหลือล้นของฉินหยูอย่างมาก ซึ่งมันทำให้แม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอก็ยังอยากจะเข้าหาฉินหยูเพื่อทำความรู้จัก ในใจของเธอตอนนี้ต้องการให้เย่เชียนอยู่ร่วมกับฉินหยูอย่างแท้จริง แต่หลังจากที่เธอได้ยินคำพูดของฉินหยูทั้งหมด เธอก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นยังขาดประสบการณ์และไม่มีจิตใจที่กว้างขวางแบบฉินหยูเลย ท้ายที่สุดแล้ว หลินโรโร่วก็รักเย่เชียนอย่างแท้จริงและเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเย่เชียน แม้กระทั่งสิทธิ์ที่เธอจะรักเขาก็ยอม
พวกเธอทั้งสองคนเป็นศัตรูหัวใจกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ภายใต้เสน่ห์และจิตใจที่ดีงามของฉินหยูมันทำให้พวกเธอทั้งสองกลับกลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน สิ่งนี้มันยิ่งทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่า เย่เชียนจะเลือกใครกันแน่ เพราะถึงยังไงพวกเธอทั้งสองคนก็ยังคงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน บางครั้งความรักนั้นมันก็เห็นแก่ตัว แต่บางครั้งมันก็จะเป็นน้ำใจและความเสียสละที่ใหญ่ยิ่งกว่า
หลินโรโร่วนั้นมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องคู่แต่งงานที่เหมาะสมมาตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก พอเธอรู้ว่าเย่เชียนและฉินหยูชอบกัน เธอจึงเลือกที่จะถอยออกมา แต่ฉินหยูก็รั้งเธอเอาไว้ด้วยจิตใจที่ดีงาม
ทว่าฉินหยูนั้นแตกต่างออกไป ในฐานะที่เธอเป็นผู้สืบทอดของหงเหมินกรุ๊ป และเธอเองก็เคยได้พบกับผู้คนมามากมาย เธอเคยเห็นพวกผู้ชายที่มีภรรยาหลายคน แม้ว่ากฎหมายของจีนจะไม่ได้รับรองเรื่องนี้ก็ตาม แต่นั่นมันก็ไม่สามารถที่จะไปขัดขวางความรักของพวกเขาได้ เช่นเดียวกันกับพ่อของฉินหยู ฉินเทียน ที่มีภรรยาถึงสามคน ฉินหยูเป็นลูกของภรรยาคนแรก ส่วนฉินเฟิงนั้นเป็นลูกของภรรยาคนที่สอง แต่พวกเขาทั้งหมดก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุขได้ ดังนั้นฉินหยูจึงคิดว่าต่อให้เย่เชียนจะมีภรรยาสักสามสี่คน และเมียน้อยหรือเมียเก็บอีกสักกี่คนคนก็ตาม ยังไงเธอก็จะรักเขาอยู่ดี แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทางฝ่ายหลินโรโร่วนั้นจะคิดอย่างไร แต่ฉินหยูก็จะพยายามทำให้หลินโรโร่วนั้นยอมรับในตัวเธอ
ฉินหยูเป็นคนมีไหวพริบและความเฉียบคมที่ผู้หญิงคนอื่นไม่มี รวมไปถึงเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์อันล้นหลามของเธออีก เธอไม่รังเกียจที่จะใช้วิธีที่ไม่ชอบธรรมเล็กน้อยหรือเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เพื่อความรักของเธอ แต่ข้อจำกัดและกฎเหล็กที่สำคัญในใจของเธอก็คือ เธอจะไม่ทำร้ายใครและไม่ทำให้ใครต้องเสียใจ ถ้าหากว่าต่อไปในอนาคตหลินโรโร่วไม่ยอมรับในตัวของเธอ ฉินหยูก็จะจำใจก้าวออกไปและถอยห่าง ทว่าการยอมแพ้โดยไม่ได้พยายามนั้น มันไม่ใช่สไตล์ของคนอย่างฉินหยู!
หญิงสาวทั้งสองยังคงคุยกันอย่างมีความสุขเกี่ยวกับเย่เชียน โดยลืมกันไปเลยว่าพวกเธอทั้งสองควรจะต้องมีการขัดแย้งกันเสียมากกว่า หลินโรโร่วทิ้งความกังวลใจเอาไว้เบื้องหลังและตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันดำเนินไปตามโชคชะตาของมัน เธอเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉินหยูพูดเอาไว้ว่าถ้าหลินโรโร่วยอมก้าวออกไปและให้เย่เชียนนั้นไปหาผู้หญิงคนอื่น การทำแบบนั้นมันไม่เพียงแค่ไม่ยุติธรรมกับความรักของเธอเท่านั้น แต่ยังไม่ยุติธรรมกับตัวของหลินโรโร่วเองและความรู้สึกของเย่เชียนด้วย
……
หลังจากกินเค้กกันเสร็จ ใบหน้าของเย่เชียนและจีเมิงฉิงก็เลอะเทอะไปด้วยเค้กจากฝีมือของเบ็งเบ็งตัวน้อย คืนนี้นางฟ้าตัวน้อยเบ็งเบ็งมีความสุขมาก เธอเล่นและหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเย่เชียนและแม่ของเธอเสมือนพวกเขาทั้งสามนั้นเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ
ในที่สุดนางฟ้าตัวน้อยก็เริ่มเหนื่อยล้าและเผลอหลับไปอย่างสนิทอยู่บนโซฟา จีเมิงฉิงจ้องมองเธอพลางยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นเธอก็อุ้มลูกสาวตัวน้อยของเธอเข้าไปในห้องนอน
จีเมิงฉิงเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าคืนนี้เธอมีความสุขที่สุด หลังจากที่เธอคอยประคองและเลี้ยงดูครอบครัวมาโดยลำพังอยู่นานหลายปีในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว มันก็มีบ้างที่เธอจะรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ในยามค่ำคืนเธอมักจะนึกถึงการมีไหล่ให้พักพิงและมีใครสักคนมาคอยปลอบโยนให้กำลังใจเธอในเวลาที่เธออ่อนแอ เธอแอบหวังอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะมีใครคนนั้นมาคอยเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาของเธออย่างอ่อนโยน มีคนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเธอในแสงแรกของเช้าวันใหม่และชมดวงอาทิตย์ที่สาดแสงพร้อมกันกับเธอ…
จีเมิงฉิงเดินออกมาจากห้องนอนก็เห็นเย่เชียนนั่งอยู่บนโซฟา เธอจึงเดินไปหาเขาและนั่งลงข้าง ๆ ทันใดนั้นเย่เชียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป มันเหมือนกับภาพลวงตาลาง ๆ ราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ เสียแล้ว เมื่อเขาเห็นจีเมิงฉิงมานั่งอยู่ข้างเขา จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็ขยับเข้าไปหาเธอโดยอัตโนมัติ เขาแน่ใจว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกที่พิเศษใด ๆ กับจีเมิงฉิงเลย เขาแค่คิดว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารอย่างมาก ผู้หญิงอย่างเธอไม่ควรต้องมาเผชิญกับเรื่องราวที่เลวร้ายเช่นนี้ ทว่าเย่เชียนรู้ดีว่าจีเมิงฉิงมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างกับเขา แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรและปล่อยตัวไปตามสถานการณ์ เพราะการทำแบบนี้มันจะทำให้เธอไม่เจ็บปวดหรือเสียใจน้อยที่สุด
“ขอบคุณนะคะ… เย่เชียน” จีเมิงฉิงจ้องมองเย่เชียนด้วยสายตาที่ดูเศร้าโศกและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นี่เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันในรอบหลายปีเลย… ขอบคุณนะที่มาใช้เวลากับฉันในวันที่มีความหมายกับฉันแบบนี้… ฉันจะจดจำวันเวลาดี ๆ นี้ไว้ตลอดไป”