ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 145 บ้าไปแล้ว
เพล้ง!
ลูกน้องของซือตู้ลิเหรินเพิ่งจะพูดจบไปแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่หวันชุนหัวก็มือไวทุบหัวเขาด้วยขวดไวน์เสียแล้ว ลูกน้องคนนั้นรู้สึกเจ็บปวดและค่อย ๆ ถอยห่างออกไปสองสามก้าว มือของเขากุมอยู่ที่หัวของตัวเองซึ่งมันเต็มไปด้วยเลือด
“ช่วยไม่ได้… แกอยากมายืนทำหน้าโง่แถวนี้ทำไมวะ ?” หลังจากที่หวันชุนหัวพูดเสร็จ เขาก็มองไปที่จ้าวไถ่จู้อย่างเย้ยหยันราวกับต้องการจะสื่อว่า ‘เป็นยังไงบ้างพวก… ฉันไม่ได้ดีแต่พูดนะเว้ย’
จ้าวไถ่จู้ถอนหายใจพรืดพลางมองไปที่หวันชุนหัวผู้โง่เขลา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ไอ้โง่เอ้ย! เขาเพิ่งจะเริ่มพูดเอง นายไปตีหัวเขาทำไม ?”
หวันชุนหัวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นตอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไอ้บ้าเอ้ย…! ฉันก็ทำตามนายไง”
จ้าวไถ่จู้มองหวันชุนหัวอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “นายนี่มันโง่จริง ๆ นายไม่เห็นเหรอว่าคนพวกนี้น่ะเป็นผู้คุมบาร์ นายยังไม่ได้ถามเขาเลยด้วยซ้ำว่าเจ้านายของพวกเขาคือใคร แต่นายกลับตีหัวเขาไปแล้ว”
หวันชุนหัวกำลังหงุดหงิดและฉุนเฉียวอย่างมาก ทว่าเขากลับเถียงจ้าวไถ่จู้ไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาเพียงแค่ดื่มไวน์ต่อด้วยท่าทางพึงพอใจ
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ลูกน้องของซือตู้ลิเหรินที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งก็ได้ฉวยขวดไวน์ขึ้นมาจากบนโต๊ะพร้อมกับพุ่งตัวเข้าใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว
ม่อหลงรีบขยับไปยืนอยู่ตรงหน้าของเย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของคนระดับเย่เชียนจะไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องก็ตาม แต่มันก็เป็นหน้าที่ของเขาในฐานะสมาชิกทีม และเขาก็จะไม่ละเลยต่อหน้าที่นี้
ส่วนจ้าวไถ่จู้นั้นก็ไม่ลังเลเลย เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วกระโจนเข้าใส่ลูกน้องของซือตู้ลิเหรินทันที ซึ่งในขณะที่เขากระโจนเข้าไปนั้น เขาก็ง้างหมัดของเขาเอาไว้รอแล้ว เมื่อปะทะเข้ากับคนพวกนั้น ลูกน้องทั้งสองคนก็กระเด็นกระดอนออกไปในทันที ร่างของทั้งคู่กระแทกเข้ากับโต๊ะอีกฝั่งทำให้โต๊ะนั้นกระจัดกระจายออก
ขณะที่หวันชุนหัวเองไม่ได้มีทักษะการต่อสู้อันเก่งกาจเหมือนกับจ้าวไถ่จู้ เขาจึงได้แต่จ้องมองจ้าวไถ่จู้สู้กับคนพวกนั้นอย่างตาไม่กะพริบ ทว่าหวันชุนหัวผู้ซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้เพียงน้อยนิดก็ตัดสินใจคว้าขวดไวน์ขึ้นมาแล้วรีบวิ่งเข้าไปร่วมด้วยอีกคน
ทางด้านม่อหลง เขาเองก็กำลังจะเข้าไปร่วมด้วยเช่นเดียวกัน แต่เย่เชียนได้หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยให้กับม่อหลงแล้วพูดว่า “นี่เป็นแค่การต่อสู้กันเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้กลุ่มเขี้ยวหมาป่าเข้าไปต่อสู้ด้วยหรอก”
ม่อหลงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งเขาและเย่เชียนก็นั่งลงดื่มไวน์กันอย่างสบายใจ
การต่อสู้หนึ่งต่อสามนั้นทำให้หวันชุนหัวต้องตกอยู่ในช่วงเวลาอันแสนยากลำบากอยู่พอสมควร เขาถูกต้อนรับด้วยหมัดมากมายจากลูกน้องของซือตู้ลิเหริน ส่วนจ้าวไถ่จู้นั้นไม่มีปัญหาใด ๆ เลยในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาทำได้ดีเลยทีเดียว หลังจากที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ของตัวเองได้แล้ว เขาก็หยุดมองหวันชุนหัวอย่างใจเย็น
“ให้ตายเถอะพวก… ทำไมนายไม่มาช่วยฉันวะ ? มัวแต่ยืนเต๊ะท่าหล่ออยู่นั่นแหละ!” หวันชุนหัวพูดอย่างหมดหนทางเมื่อเขาเห็นจ้าวไถ่จู้ยืนมองเขาอยู่เฉย ๆ
“พี่หวันของเรายอดเยี่ยมมาก… ฉันก็แค่อยากเห็นฝีมือของพี่หวันให้เป็นบุญตาไม่ได้เหรอ ?” จ้าวไถ่จู้พูด
“นายมันโหดเหี้ยม… โอ๊ย!” พูดไม่ทันขาดคำหวันชุนหัวก็ถูกเตะเข้าอย่างจัง เขาร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อย่ามาอวดดีเพราะคิดว่าฉันเป็นแค่ลูกแมว… ฉันเป็นเสือนะเว้ย!” หวันชุนหัวตะโกน ขณะเดียวกันเขาก็คว้าขวดไวน์และทุบเข้าไปที่หัวของคู่ต่อสู้ของเขา พอไวน์ขวดนั้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หวันชุนหัวก็ฉวยเอาเศษแก้วขนาดพอดีมือขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วแทงมันลงบนขาของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี ในที่สุดลูกน้องสองคนของซือตู้ลิเหรินก็หมดสภาพและเหลือฝ่ายตรงข้ามเพียงคนเดียว
ขณะที่หวันชุนหัวกำลังเผลออยู่นั้น เขาก็ถูกขวดไวน์ตีเข้าไปที่หัวอย่างแรง มันทำให้เลือดสด ๆ ไหลลงมาจากหัวของเขาในทันที หวันชุนหัวหันกลับมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุเดือด เมื่ออีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่เปื้อนเลือดของหวันชุนหัวและท่าทางของเขาที่เหมือนกับว่าเขากำลังจะเป็นบ้าไปแล้วนั้น มันก็ทำให้หัวใจของอีกฝ่ายรู้สึกอ่อนแอลง เขาทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น
หวันชุนหัวไม่ยอมแพ้ เขาแทงเข่าเข้าไปที่ท้องอีกฝ่ายแล้วเตะเขาลงกับพื้น จากนั้นก็ตามลงไปนั่งลงบนตัวของเขาแล้วใช้กำปั้นทั้งทุบทั้งต่อยลงบนใบหน้าขอชายคนนั้นพร้อมกับตะโกนว่า “ตีฉันอีกสิวะ! ตีฉันสิวะ! มาสิวะ!”
การแสดงออกของหวันชุนหัวในตอนนี้นั้นเหมือนคนบ้าไปแล้วโดยสมบูรณ์
จ้าวไถ่จู้เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปดึงหวันชุนหัวออกมา พร้อมกับพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว… มันจบแล้ว พอเถอะ! นายไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขาหรอกใช่มั้ย”
หวันชุนหัวดิ้นรนอย่างไม่หยุดยั้งและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ปล่อยฉัน…! ฉันบอกให้นายปล่อยฉัน… ฉันจะฆ่ามัน!”
หวันชุนหัวไม่ฟัง เขาพยายามขัดขืนการห้ามปรามของจ้าวไถ่จู้อย่างสุดกำลัง ระหว่างที่เขาดิ้นอยู่นั้น เขาก็เตะไปที่ร่างของชายคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในที่สุดจ้าวไถ่จู้ก็ดึงและล็อกหวันชุนหัวไปนั่งที่เก้าอี้จนได้ จากนั้นเย่เชียนก็ถามเขาว่า “เป็นไรมั้ย ?”
หวันชุนหัวส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอก… ถึงหัวฉันเพิ่งจะแตกไปเมื่อกี๊นี้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย!”
เย่เชียนพยักหน้าตอบรับเบา ๆ พร้อมกับดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา เขาพันมันแบบหยาบ ๆ ไปที่หัวของหวันชุนหัว จากนั้นก็พูดว่า “พันไว้แบบนี้ไปก่อนนะ… พี่ทนได้ใช่มั้ย ?”
หวันชุนหัวพยักหน้าและพูดว่า “ได้… ไม่มีปัญหา”
ตัดภาพมาที่ทางด้านหลังบาร์
เมื่อซือตู้ลิเหรินเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าพวกเย่เชียนแค่เข้ามาก่อเรื่องวุ่ยวายแบบสุ่ม ๆ เท่านั้น จากที่เขาเฝ้าสังเกตการณ์ดู เขาเดาว่าเย่เชียนน่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ ซือตู้ลืเหรินสบถแกมาอย่างเย็นชาและลุกขึ้นยืน พร้อมกันนั้นก็สังสัญญาณให้ลูกน้องทั้งหมดไปกับเขาด้วย
เมื่อเขาไปถึงโต๊ะของเย่เชียน ซือตู้ลิเหรินก็กวาดสายตามองดูพวกเขา แล้วถามว่า “ฉันขอถามหน่อย… ว่าน้องชายคนนี้ชื่ออะไรงั้นเหรอ ?”
“แซ่ของผมคือเย่ และชื่อของผมคือเชียน…” เย่เชียนมองเขาอย่างเฉยเมยและตอบกลับไป โดยคิดว่านี่เขาต้องเป็นซือตู้ลิเหรินที่ทำให้หวังหู่บาดเจ็บเป็นแน่
“ฉัน… ซือตู้ลิเหรินแห่งโรงน้ำหอมเหรินจือของแก๊งชิง! ไม่ทราบว่าคุณมาจากกลุ่มไหน ?”
“ไม่มีแก๊ง… ไม่มีกลุ่ม… ไม่มีฝ่ายอะไรทั้งนั้นแหละ!” เย่เชียนตอบอย่างไม่แยแส
ซือตู้ลิเหรินขมวดคิ้ว เขาต้องการรู้ประวัติความเป็นมาของเย่เชียน แต่ดูแล้วเขาน่าจะไม่ยอมพูดออกมาง่าย ๆ อีกทั้งเมื่อเหตุการณ์มันเลยเถิดมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่คิดว่าพวกของเย่เชียนจะเป็นเพียงแค่กลุ่มอันธพาลเล็ก ๆ ที่หยิ่งผยองและทะเยอทะยานหรือเป็นพวกที่มั่นใจเกินจริงเกี่ยวกับความสามารถของตนเองเพียงเท่านั้น เพราะขนาดพวกเขาได้ยินชื่อแก๊งชิงอย่างเต็มสองรูหูแล้ว แต่สีหน้าและการแสดงออกของพวกเขาก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ
“การบริการของเราขาดตกบกพร่องอะไรหรือ…? ถึงทำให้พวกคุณไม่สบอารมณ์กัน” ซือตู้ลิเหรินถาม
“การบริการไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องหรอก… ที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อความยุติธรรมเท่านั้น” เย่เชียนค่อย ๆ หันหน้าของเขาไปทางซือตู้ลิเหรินด้วยสายตาคมดุจดั่งมีดที่คมกริบ
ซือตู้ลิเหรินประหลาดใจและตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อฉันไม่เคยพบคุณมาก่อน… แล้วฉันจะไปทำให้คุณขุ่นเคืองได้ยังไงล่ะ ?”
“คุณรู้จักหวังหู่ใช่มั้ย ? เขาเป็นน้องชายของผม!” เสียงของเย่เชียนเริ่มเย็นยะเยือก
ซือตู้ลิเหรินตกตะลึงไปชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเย่เชียนมาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้กับหวังหู่ ทว่ามันกลับทำให้เขาผ่อนคลายลง เพราะหวังหู่นั้นเป็นแค่เพียงแก๊งมาเฟียธรรมดา ๆ ในเซี่ยงไฮ้เท่านั้น และถ้าเย่เชียนเป็นพี่ชายของเขา นั่นก็หมายความว่า เย่เชียนจะต้องไม่มีอิทธิพลอะไรใหญ่โตอย่างแน่นอน
เมื่อซือตู้ลิเหรินได้ฟังดังนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันกลับกลายเป็นน้ำเสียงที่มีความหยิ่งผยองมากขึ้น เขาพูดอย่างเหยียดหยามและเย้ยหยันว่า “หวังหู่มันโง่เอง… ที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของแก๊งชิง ในเมื่อมันขัดหูขัดตาฉัน ฉันก็เลยสอนบทเรียนให้มันเล็กน้อยเท่านั้น นั่นถือว่าฉันปรานีมากแล้ว!”
“เหอะ ๆ ๆ !” เย่เชียนฉีกยิ้มอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “อย่ามาใช้ชื่อของแก๊งชิงเพื่อทำให้ผมกลัวเลย! เย่เชียนคนนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว! ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเป็นแก๊งชิงหรือแก๊งอะไรหน้าไหนหรอก ใครก็ตามที่กล้ามาทำน้องชายของผม มันก็ต้องชดใช้!”