ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 146 ถอยหนี
“หืม…? นี่แกกล้ามาท้าทายแก๊งชิงของเราขนาดนี้เลยเรอะ แกคิดว่าตัวเองเก่งสักแค่ไหนกันเชียว ?”
ซือตู้ลิเหรินชักจะเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วหลังจากที่เย่เชียนพูดจาสบประมาทแก๊งชิง เขาจึงพูดเหยียดหยามเย่เชียนต่อไปอย่างไม่ลดละ “ฉันว่าถ้าแกคิดผิด… คิดใหม่ได้นะ ลองคิดดูขำ ๆ ซิว่าคืนนี้พวกแกจะออกไปจากที่นี่ในสภาพครบสามสิบสองได้รึเปล่า ? ฮ่า ๆ ๆ ”
หลังจากที่เขาพูดแบบนี้แล้ว ซือตู้ลิเหรินก็หันไปหาลูกค้าคนอื่น ๆ ในบาร์และพูดว่า “ขอโทษทีนะทุกคน… พอดีผมมีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องจัดการสักหน่อย… พวกคุณกรุณาออกไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวซือตู้ลิเหรินคนนี้จะคิดบัญชีซะหน่อย”
เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินคำพูดของซือตู้ลิเหรินแล้ว พวกเขาก็หายวับไปทันทีราวกับหมู่ควัน พูดได้ว่าไม่มีใครในเซี่ยงไฮ้ที่จะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของชิงแก๊ง และคนเหล่านี้ก็ไม่ต้องการที่จะตกลงไปในโคลนกับพวกเย่เชียนด้วย เพราะมันไม่ใช่เรื่องอะไรของพวกเขาเลย แม้ว่าจะมีพวกสอดรู้สอดเห็นบางคนที่แอบดูอยู่ไกล ๆ จากทางด้านหลังกันอย่างสนุกสนาน แต่หลังจากที่ซือตู้ลิเหรินพูดคำพวกนั้นออกมาแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อเหมือนกัน
พริบตาเดียวลูกค้าทุกคนในบาร์ก็ออกไปกันหมด ส่วนพวกพนักงานต่างก็ถอยหลังไปหลบอยู่ทางด้านหลังของบาร์เช่นกัน
เย่เชียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขามองไปที่หวันชุนหัวและพูดว่า “พี่พักไปก่อน!” จากนั้นเย่เชียนก็กวาดสายตาไปยังซือตู้ลิเหรินและลูกน้องของเขาอีกประมาณยี่สิบคน เขาฉีกยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่าและนองเลือดอย่างดุดัน
“พวกคุณอยากตายกันขนาดนั้นเลยเหรอ ?” ม่อหลงยืนขึ้นและถามอย่างใจเย็น
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก… เอาแค่แขนกับขาอย่างละข้างก็พอแล้ว” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ
“ตามนั้น!” ม่อหลงก็ตอบกลับไปอย่างเรียบ ๆ เช่นกัน
เป็นเรื่องตลกร้ายสิ้นดีที่สองคนนี้คุยกันอย่างสบายใจเฉิบ โดยไม่แยแสซือตู้ลิเหรินและลูกน้องของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เล่นมันให้ตาย!” ซือตู้ลิเหรินเดินถอยหลังกลับไปสองสามก้าว พร้อมกับออกคำสั่ง
ลูกน้องของซือตู้ลิเหรินกว่ายี่สิบคนต่างพยักหน้าตอบ จากนั้นพวกเขาก็หยิบอาวุธหลากหลายชนิดที่ซ่อนอยู่ตามร่างกายออกมาแล้วตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเสียงดังเป็นการสร้างความฮึกเหิมให้กับพวกของตัวเอง แล้วพวกเขาทั้งหมดก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาเย่เชียนและพวก
เย่เชียนเป็นผู้เปิดศึกเข้าปะทะก่อนเป็นคนแรก ขาทั้งสองข้างของเขายันไปที่พื้นอย่างมีพลัง จากนั้นก็กระโดดพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศพร้อมกับหมุนตัวเตะอย่างสง่างามถึงสามครั้งต่อเนื่อง ทำให้ลูกน้องของซือตู้ลิเหรินสามคนแรกกระเด็นกลับไปข้างหลัง
ม่อหลงตามมาจากทางด้านหลังอย่างกระชั้นชิด เขาสไลด์ตัวลอดใต้เย่เชียนและเสยหมัดทั้งสองข้างใส่ลูกน้องอีกสองคนอย่างไร้ความปรานี จากนั้นม่อหลงก็คว้าข้อมือของลูกน้องสองคนนั้นแล้วบิดมันอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกแตกในทันที ชายผู้โชคร้ายทั้งคู่กรีดร้องอย่างเจ็บปวดแล้วทรุดตัวลงกับพื้น พวกเขาร่ำไห้กันอย่างน่าอนาถ
จ้าวไถ่จู้หัวเราะและตบไหล่ของหวันชุนหัวเบา ๆ และพูดว่า “พี่หวันไปหาที่นอนก่อนเถอะ… เดี๋ยวหัวแตกอีก”
หลังจากที่จ้าวไถจู้พูดจบ เขาก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยเสียงจะโกนของเขาเหมือนระฆังใหญ่ ๆ ร่างกายของเขาเหมือนลูกศรที่พุ่งออกมาจากคันธนู หมัดทั้งสองปะทะเสียงดังลั่น ถ้าโลกแห่งวรรณกรรมนั้นมีไทชิ โลกแห่งการต่อสู้ก็มีปาจี๋ เห็นได้ว่าหมัดแปดทิศของจ้าวไถ่จู้นั้นมีพลังที่น่ากลัวเหลือคณานับ หมัดทั้งแปดเปิดประตูสู่ขีดจำกัดของร่างกายนั้นมีพลังดั่งการเขย่าภูผาที่เคลื่อนไหวเหมือนสายฟ้าฟาด
หวันชุนหัวจ้องมองจ้าวไถ่จู้อย่างดุดันและรีบวิ่งไปคว้ามีดทำครัวที่ตกอยู่บนพื้น เขาไปเข้าร่วมการต่อสู้อย่างไม่ลังเล ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีทักษะเหมือนกับคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่เขายังมีจิตวิญญาณของผู้กล้าที่จะเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อพวกพ้อง ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรืออะไรก็ตาม ทุกครั้งที่หวันชุนหัวกำลังจะตกอยู่ในอันตราย จ้าวไถ่จู้ก็จะโผล่มาข้าง ๆ เขาและช่วยจัดการกับฝ่ายตรงข้ามคนนั้นไปเสียทุกครั้ง หากดูเพียงผิวเผินแล้ว หวันชุนหัวนั้นเหมือนกับคนที่มีพรสวรรค์อีกคนหนึ่งที่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้
ทางด้านม่อหลง เขากำลังปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เชียนอย่างเคร่งครัดทุกคำพูด ไม่ว่าใครก็ตามที่เขามาเผชิญหน้ากับม่อหลงแล้ว คนคนนั้นจะต้องเสียแขนและขาไปแทบจะในทันที พวกมันถูกหักอย่างไร้ความปรานี
เย่เชียนก็เช่นกัน ทุกที่ที่เขาไปถูกเหลือเอาไว้แค่เพียงเสียงร้องโหยหวนและโอดครวญพร้อมกับเสียงกระดูกที่แตกหัก
เมื่อเห็นเหล่าลูกน้องกว่ายี่สิบคนของเขาพ่ายแพ้ไปทีละคน ๆ ซือตู้ลิเหรินก็ชักจะเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเข้าแลว เขาตัวสั่นและก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เหล่าลูกน้องของซือตู้ลิเหรินทั้งหมดยี่สิบกว่าคนก็นอนดิ้นอยู่บนพื้น ต่างคนต่างร้องโหยหวนโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พวกเขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและความกล้าที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อสู้ต่อ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เชียนที่เป็นเหมือนกับปีศาจจากดินแดนยมโลกเช่นนี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดจะเอาพลังและความกล้าหาญที่ไหนไปต้านทานกับเขา ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยากจะคลานเข้าไปในถ้ำลึกและซ่อนตัวไปสักพัก และหวังว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นเย่เชียนและพวกของเขาอีกเลยในชั่วชีวิตนี้
ใบหน้าของซือตู้ลิเหรินในตอนนี้นั้นซีดเป็นไก่ต้ม เมื่อเห็นเหล่าลูกน้องของเขาทั้งหมดนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เขาตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าแห่งเครื่องหอมของโรงหอมเหรินจือแห่งแก๊งชิง ซือตู้ลิเหรินคนนี้เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตและความตายมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ทว่ามีเพียงแค่คนเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาต้องหวั่นเกรงได้ เขามองไปที่เย่เชียนด้วยความหดหู่ใจและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จ้าวไถ่จู้กำลังช่วยพยุงหวันชุนหัวไปนั่งที่ด้านข้าง เขามองไปที่หวันชุนหัวอย่างตำหนิและพูดว่า “ฉันบอกให้นายไปพักก่อนไง… ยังจะดื้อมาต่อสู้อยู่อีก”
“นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันจัดการพวกมันไปตั้งกี่คน ?” หวันชุนหัวเย้ยหยัน
“เยี่ยม ๆ นายสุดยอดมาก” จ้าวไถ่จู้พูดและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อ…! นี่ถ้าฉันไม่กันให้นายล่ะก็… ป่านนี้นายคงไปนอนกองอยู่ที่พื้นเหมือนคนอื่น ๆ แล้ว”
“ปั้ดโธ่!” หวันชุนหัวสบถอย่างเกรี้ยวกราด แต่ลึก ๆ แล้วจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา เขากลับรู้สึกขอบคุณจ้าวไถ่จู้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าจ้าวไถ่จู้นั้นคอยคุ้มกันและสนับสนุนเขาอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เขาจะไม่พูดมันออกมา เพราะเขาไม่อยากปล่อยให้จ้าวไถ่จู้นั้นได้ใจไปมากกว่านี้และมาแกล้งเย้ยหยันเขา
ขณะนี้เองเย่เชียนกำลังเดินไปที่ซือตู้ลิเหรินทีละก้าว ๆ อย่างเชื่องช้า ซึ่งแต่ละก้าวของเขาทำให้หัวใจของซือตู้ลิเหรินแทบจะวายตายไปเสียตรงนั้น เสียงก้าวเท้าของเย่เชียนแต่ละย่างก้าวฟังราวกับเสียงนาฬิกาแห่งความตายที่ทำลายจิตวิญญาณของซือตู้ลิเหรินทีละน้อย ๆ
“อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามานะเว้ย!” ทันใดนั้นซือตู้ลิเหรินก็ชักปืนออกมาจากกระเป๋าแล้วจ่อไปที่เย่เชียน
เย่เชียนผงะไปชั่วขณะจากนั้นก็หยุดเดิน กฎหมายข้อบังคับของอาวุธปืนนั้นเข้มงวดมาก แต่ด้วยความที่แก๊งชิงเป็นถึงแก๊งใหญ่อันดับหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ทำให้การใช้ปืนนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าเย่เชียนก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าซือตู้ลิเหรินจะกล้าชักปืนออกมาในที่สาธารณะแบบนี้
ม่อหลงขมวดคิ้วพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเย่เชียนเพื่อที่จะบังเขา แต่เย่เชียนกลับฉีกยิ้มและมองไปที่ม่อหลง จากนั้นก็พูดช้า ๆ ว่า “ไม่เป็นไร… พี่ออกไปเถอะ”
ม่อหลงหันไปหาเย่เชียนและพยักหน้าจากนั้นก็ถอยหลังกลับไป
ด้วยความที่ซือตู้ลิเหรินเป็นฝ่ายถือปืนอยู่ในมือ มันจึงทำให้เขารู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าถ้าเขาเปิดฉากยิงไปแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างมันจะเลวร้ายลงอย่างมาก ทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากเขาสู้ด้วยมือเปล่า เขาไม่มีทางที่จะเทียบฝีมือกับเย่เชียนได้เลย แต่ในเมื่อเขามีปืนอยู่ในมือ เขาก็มีโอกาสที่จะสยบเย่เชียนได้อย่างง่ายดาย
“ต่อให้แกจะเก่งสักแค่ไหน… แต่แกก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าลูกตะกั่วหรอกใช่มั้ยล่ะ ?” ซือตู้ลิเหรินพูดอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าแกยังกล้าที่จะขยับอีก… ฉันจะยิงแกให้ตายซะ!”
ระยะห่างระหว่างเย่เชียนและซือตู้ลิเหรินนั้นไม่ไกลกันมากนัก เย่เชียนก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่า หากซือตู้ลิเหรินลั่นไกแล้ว เขาจะสามารถหลบหลีกเพื่อไม่ให้กระสุนไปโดนจุดสำคัญของเขาได้ทัน แล้วจากนั้นเขาก็จะวิ่งเข้าไปคว้าปืน ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำอันบ้าระห่ำนี้
“สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด… ก็คือคนโง่ที่เล็งปืนมาที่ฉันนี่แหละ มา! แกอยากยิงก็ยิงเลยสิวะ!” เย่เชียนไม่เพียงพูดเปล่า เขาค่อย ๆ ก้าวไปหาซือตู้ลิเหรินอย่างช้า ๆ
“หยุด! ฉันบอกให้แกหยุดไง! ถ้าแกยังเข้ามาใกล้อีก… ฉันจะยิงจริง ๆ นะ!” ซือตู้ลิเหรินพูดอย่างลนลาน มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยยิงปืนมาก่อนหรือไม่เคยฆ่าใครมาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เชียนแล้วเขาถึงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลและมือของเขาก็เริ่มสั่นระริก
ทันใดนั้นเองก็มีแสงและลมสีขาวพุ่งเข้ามาจากด้านนอกของบาร์ จากนั้นเสียงกรีดร้องของซือตู้ลิเหรินก็ดังขึ้นพร้อมกับปืนที่ตกลงบนพื้น