ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 153 การแก้แค้นของสตรีนั้นแสบถึงทรวง
หวังหู่ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “พี่สอง… พี่มาที่นี่ทำไม ผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ โรงพยาบาลนี่มันไม่ใช่ที่สำหรับเอาไว้ให้นอนเล่นเฉย ๆ อย่างสบายใจทั้งวันนะ ผมรู้สึกเหมือนสูญเสียจิตวิญญาณแห่งความเป็นลูกผู้ชายไปหมดเลย ผมน่ะถูกพวกหมอกับพวกพยาบาลคอยควบคุมตัวทั้งวันเลย”
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “เอาหน่า… พยาบาลแต่ละคนที่นี่น่ะสวยมากเลยนะ ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ซะ ไม่แน่… พอนายออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นายอาจจะพาน้องสะใภ้มาให้ฉันเห็นได้นะ ใครจะไปรู้!”
หวังหู่ถอนหายใจและพูดว่า “นี่พี่แค่ล้อผมเล่นใช่มั้ย ? นางพยาบาลของที่นี่แต่ละคนน่ะดุยิ่งกว่าเสือซะอีก ผมทนไม่ไหวหรอก ผมไม่ได้พูดถึงพี่สะใภ้นะ เพราะพี่สะใภ้เขาเป็นแกะน้อยที่ใจดีเพียงคนเดียวท่ามกลางพญาเสือดุร้ายพวกนี้”
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ เออ ฉันแก้แค้นให้นายเสร็จแล้วนะ มือของซือตู้ลิเหรินถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนนาย… รีบ ๆ ฟื้นตัวได้แล้ว จะได้กลับไปดูแลถิ่นของนาย”
“พี่สอง! ผม…” หวังหู่รู้สึกผิดอย่างมาก “แล้วพี่บาดเจ็บหรือเปล่า ?”
“ไอ้ซือตู้ลิเหรินกระจอก ๆ นั่นมันจะทำอะไรฉันได้ ? นายไม่ต้องกังวลไป ฉันสบายดี” เย่เชียนพูดสบาย ๆ
หวังหู่ได้แต่พยักหน้าและน้ำตาคลอ เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
ทันใดนั้นนางพยาบาลคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดยาและเข็มฉีดยา เธอเดินตรงไปที่ด้านข้างของหวังหู่ เมื่อเธอไปถึงเธอก็วางถาดยาเอาไว้บนตู้ชั้นวางของเหนือเตียง เธอหยิบเข็มฉีดยาออกมาพร้อมกับพูดว่า “คุณหวังหู่! ได้เวลาฉีดยาแล้วนะคะ”
รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของหวังหู่ในทันที “น้องพยาบาลจ๊ะ… ไม่ฉีดไม่ได้เหรอ ?”
นางพยาบาลมองไปที่หวังหู่อย่างดุดันและพูดว่า “นี่นายโตเป็นหนุ่มแล้วนะ จะมากลัวเข็มเหมือนเด็ก ๆ ได้ยังไง นายไม่ละอายใจบ้างเลยเหรอ ?”
หวังหู่ยิ้มอย่างโง่เขลาและพูดว่า “ถ้างั้นเธอฉีดที่แขนของฉันแทนได้มั้ยล่ะ ?”
นางพยาบาลจ้องเขม็งไปที่หวังหู่และพูดว่า “ทำไม ? นายอายเหรอ ? เป็นผู้ชายแท้ ๆ จะอายทำไม ฉันยังไม่เห็นจะอายเลย เร็วเข้าเถอะหน่า… ฉันมีคนไข้คนอื่นที่ต้องไปดูแลอีกนะ อ้อ! อีกอย่างฉันยังไม่เห็นเลยว่าร่างกายของนายเนี่ยมันมีอะไรดี ๆ ให้น่ามองบ้าง”
หวังหู่เหงื่อแตก เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากและต้องการกระโดดหนีลงไปในหลุมเสียให้พ้น ๆ
ส่วนเย่เชียนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาหันไปมองหน้าหลี่ตงซึ่งกำลังมองมาที่เขาอยู่อย่างคลุมเครือ มันทำให้เย่เชียนคิดอะไรได้บางอย่าง เขาจึงมองไปที่นางพยาบาลคนนั้นกับหวังหู่สลับกันไปมาด้วยความสงสัย จากนั้นเขาโน้มตัวไปกระซิบเบ าๆ ที่หูของหวังหู่ว่า “จุ๊ ๆ ๆ แม่เสือสาวคนนี้ไม่เลวเลย ดูแลเธอให้ดีล่ะไอ้น้อง”
“พี่สอง! อย่าล้อเล่นหน่า ถ้าผมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ล่ะก็ อนาคตชีวิตของผมจะเป็นจะอยู่ยังไง ?” หวังหู่บ่น
นางพยาบาลคนนี้หูดีมาก เธอได้ยินคำพูดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน หลังจากที่เธอได้ยินหวังหู่พูดแล้ว เธอก็จ้องมองหวังหู่อย่างเย็นชา จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเย่เชียนด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่า “นี่คุณ! ช่วยจับเขาพลิกตัวหน่อยสิ!”
“พี่สอง! อย่า! พี่อย่าช่วยเธอสิ เธอเป็นแค่คนนอกแต่เราเป็นพี่น้องกันนะ!” หวังหู่รีบพูดอย่างร้อนรนและตื่นตระหนก
เย่เชียนหัวเราะและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ฉันไม่ได้ช่วยคนนอกซะหน่อย ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวเธอก็กลายเป็นคนที่ใช่สำหรับครอบครัวของนายแล้ว ใช่มั้ยคุณพยาบาล ?”
เย่เชียนพูดพร้อมกับมองไปที่นางพยาบาล แต่เธอกับไม่พูดอะไรเพียงยิ้มจาง ๆ เท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งคำตอบมันก็ชัดเจนมากอยู่แล้วในความเงียบงันของผู้หญิง พวกเธอไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรให้มันมากมายเลย
“โอ๊ย!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นภายในห้องผู้ป่วย นางพยาบาลไม่ลังเลเลยในการทำหน้าที่ของเธอ เธอปักเข็มลงบนแก้มก้นของหวังหู่อย่างโหดเหี้ยม เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัวขณะที่เขาเฝ้ามองเหตุการณ์นี้อยู่ และคิดในใจว่า ‘วันหนึ่งหลินโรโร่วจะเป็นแบบนี้เหมือนกันมั้ยนะ?’
เย่เชียนอยู่พูดคุยกับหวังหู่อีกเล็กน้อย จนกระทั่งเขาเห็นว่าเกือบจะเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว เขาจึงกล่าวลาและออกจากห้องไป
เมื่อเขาเดินไปถึงห้องรับรองพยาบาล เขาก็เห็นเฉินเซิงและหลินโรโร่วกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นและเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันในมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้หลินโรโร่วมีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงและมีอคติต่อเขา ทว่าตอนนี้เรื่องนั้นได้รับการแก้ไขให้กระจ่างแจ้งแล้ว เธอจึงไม่มีความกังวลใด ๆ อีกต่อไป
เมื่อเฉินเซิงเห็นเย่เชียนเข้ามา เขารีบลุกขึ้นยืนและถามว่า “เพื่อนของนายเป็นยังไงบ้าง ?”
“ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากหรอก เขาอาจจะต้องพักอีกสักสองสามวันแค่นั้นเอง” เย่เชียนพูด “ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วนะ เราไปกินข้าวกันเถอะ”
“ฉันขอให้แฟนของฉันช่วยจองโต๊ะในร้านอาหารเซียงเฟยเอาไว้แล้ว… เราไปกันเถอะ” เฉินเซิงพูด
“ขอโทษที… ฉันควรจะเป็นคนทำเรื่องพวกนั้น นายมาตั้งไกล ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นเจ้าภาพเลย” เย่เชียนพูดอย่างเร่งรีบ
“เอาหน่า… คนกันเองทั้งนั้น ใครจะเป็นเจ้าภาพมันก็ไม่สำคัญหรอก โรโร่วเองก็เป็นเหมือนน้องสาวของฉันอีกคนนึงด้วย แบบนี้ตามหลักแล้วนายน่าจะเรียกฉันว่าพี่ชายนะ ฮ่า ๆ ๆ เอาล่ะ! อย่ามัวชักช้าอยู่เลย ไปกินข้าวกัน!” เฉินเซิงพูดด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
เย่เชียนไม่โต้เถียงต่อ เขาเพียงแต่พูดว่า “ถ้าอย่างงั้นก็ตามนั้นเลยละกัน”
เมื่อทั้งสามคนออกจากโรงพยาบาลแล้ว เฉินเซิงก็พูดว่า “นายขับรถมาเองหรือเปล่า ?”
เย่เชียนยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า “ไม่ได้ขับมา”
“นั่นรถของฉันอยู่ตรงนั้น… พวกนายรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะขับมารับ” เฉินเซิงยิ้มจาง ๆ จากนั้นเขาเดินไปที่รถของเขา
ขณะเดียวกันก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาทางเย่เชียน คนที่เดินนำหน้ามานั้นดูท่าไม่ค่อยจะดีนัก เขามีผ้าพันแผลพันเอาไว้จนแทบมองไม่เห็นหน้า เมื่อคนกลุ่มนั้นเดินใกล้เขามา เย่เชียนก็พบว่าคนคนนั้นคือจางเจี้ยนนั่นเอง
จางเจี้ยนนั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับเย่เชียนในวันนี้ เพราะที่เขามาโรงพยาบาลในวันนี้ก็เพื่อทำแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลเท่านั้น แต่เมื่อเขาเห็นว่าเย่เชียนเองก็อยู่ที่โรงพยาบาลด้วย เขาจึงรีบโทรหาพี่น้องของเขาให้มาสมทบและช่วยกันแก้แค้นเย่เชียน
ในมุมมองของจางเจี้ยนนั้น ไม่เพียงแค่เย่เชียนจะไม่กลัวการแย่งภรรยาไปจากเขาเพียงแค่นั้น แต่เย่เชียนยังทุบตีเขาอีกด้วย ความเกลียดชังและความร้าวฉานของเขาแล่นลึกไปถึงกระดูกดำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาเลยถ้าเย่เชียนต้องการที่จะแย่งภรรยาของเขาไปจริง ๆ แต่สิ่งที่เขาไม่สบอารมณ์คือเย่เชียนนั้นปฏิบัติกับเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่ หากคำพูดและเหตุการณ์เหล่านี้หลุดออกไป เขาจะกล้ามีหน้ามีตาอีกครั้งในสังคมของเขาได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงต้องการสอนบทเรียนให้กับเย่เชียน
เมื่อเย่เชียนเห็นจางเจี้ยนกับพวกเดินกรูกันเข้ามา เขาก็รู้ได้ทันทันทีว่า ผู้ชายคนนี้คงต้องการที่จะกลับมาแก้แค้นเขา ดูเหมือนว่าบทเรียนที่เขาสอนจางเจี้ยนไปนั้นมันคงยังไม่เพียงพอ
หลินโรโร่วเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติไป ทั้งบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเธอและการแสดงออกของเย่เชียน เธอจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าคนเหล่านั้นกำลังเดินมาหาเย่เชียน
เย่เชียนดึงหลินโรโร่วเอาไว้หลังเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เขายืนอยู่อย่างสงบและมองดูจางเจี้ยนกับพวกเดินเข้ามาหาตัวเองอย่างหยิ่งผยอง
“เย่เชียน! สวรรค์ช่างมีดวงตาที่มหัศจรรย์จริง ๆ ฉันกังวลตั้งนานว่าจะไม่ได้เจอแกอีก ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้มาเจอแกที่นี่!” จางเจี้ยนพูดอย่างโอ่อ่าและได้ใจราวกับว่าเย่เชียนเป็นเต่าตัวน้อยที่ติดอยู่ในขวดโหล และจางเจี้ยนสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้เสมอ
เย่เชียนฉีกยิ้มอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “ดูเหมือนว่าผมจะให้บทเรียนกับคุณน้อยไปสินะ… คุณเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม ?”
“เย่เชียน! แกอย่าทำเป็นได้ใจไป วันนี้แกอย่าหวังเลยที่จะรอด! ตอนนี้ฉันมีพี่น้องมากมายอยู่กับฉัน แกคิดว่าวันนี้แกจะหยิ่งผยองได้อีกเหรอวะ ? ห๊ะ!” จางเจี้ยนฉีกยิ้มอย่างพอใจและมองไปที่หลินโรโร่วที่หลบอยู่ข้างหลังเย่เชียน “นี่เธอเป็นแฟนของไอ้บ้านี้เหรอ ? โถ ๆ ฉันล่ะเสียใจกับเธอจริ งๆ แฟนของเธอมันไปล่อลวงเมียฉัน! แต่เธอยังใจกว้างได้อยู่อีก ฉันล่ะชื่นชมจริงจริ๊ง!”