ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 154 เดทคู่มื้อกลางวัน
“มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับแฟนของฉัน! คุณไม่เกี่ยว!” หลินโรโร่วโพล่งขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของจางเจี้ยน
เย่เชียนมองไปที่หลินโรโร่วอย่างมีความสุขพลางคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเข้าใจอะไรง่ายดีเสียจริง
เฉินเซิงที่ขับรถมาถึงพอดีนั้นเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เขาจึงรีบลงจากรถและเดินเข้าไปหาหลินโรโร่วกับเย่เชียน
“เกิดอะไรขึ้น ? คนพวกนี้ต้องการอะไรเหรอ ?” เฉินเซิงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจพร้อมกับมองไปที่จางเจี้ยนและพรรคพวก
เย่เชียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกนักเลงกลุ่มนึงน่ะ”
เย่เชียนเหลือบมองพวกนักเลงที่ยืนอยู่ข้างหลังจางเจี้ยนและเห็นว่าพวกเขานั้นมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก้มหน้าลงไปมองที่พื้นอย่างใจจดใจจ่อ เย่เชียนจำหนึ่งในคนพวกนั้นได้ เด็กคนนี้เป็นหนึ่งในลูกน้องของหวังหู่คนที่เย่เชียนเตะไปวันนั้นในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตอนที่ไปเยี่ยมหวังหู่
“หึ ๆ ๆ งานที่พวกนายทำอยู่ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่ แล้วทำไมพวกนายถึงต้องเปลืองแรงไปช่วยคนอื่นเขาด้วยล่ะ ?” เย่เชียนหัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะพูด
จางเจี้ยนจ้องมองเย่เชียนอยู่ชั่วครู่ เขาสังเกตเห็นว่าเย่เชียนกำลังจ้องมองบางอย่างอยู่ เขาจึงมองไปยังทิศทางที่เย่เชียนมองไปมันทำให้เขาเห็นว่าเหล่าพี่น้องของเขานั้นต่างกำลังตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเกรง
“ผะ… ผมขอโทษครับลูกพี่สอง ผมไม่รู้ว่าเป็นพี่” เด็กผู้ชายคนนั้นพูดด้วยความหวาดกลัว
“ลูกพี่สอง ?” จางเจี้ยนพึมพำอย่างงุนงง “เชียงจี! นายรู้จักเขาเหรอ ?”
ตอนนี้เชียงจีต้องการที่จะถลกหนังของจางเจี้ยนออกเสียให้รู้แล้วรู้รอด เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้นักเลงกระจอกคนนี้กำลังหลอกล่อทำให้เขาต้องต่อต้านคนที่เป็นถึงลูกพี่ของหวังหู่ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของพวกเขาโดยตรง แล้วพวกเขาจะกล้าหือกับคนที่เป็นลูกพี่ของลูกพี่อีกทีได้อย่างไร? เชียงจีผู้ซึ่งเคยได้สัมผัสกับพลังและความแข็งแกร่งของเย่เชียนมาแล้วก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาถึงกับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าเรื่องนี้กระเด็นไปเข้าหูของหวังหู่เข้า พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ในเมื่อทุกอย่างมันมาถึงจุดนี้แล้ว เชียงจีจึงจ้องมองจางเจี้ยนอย่างโกรธเกรี้ยวและตะโกนว่า “ไอ้บ้าเอ้ย! นี่แกอยากให้ฉันมีปัญหางั้นเหรอวะ ? แกรู้มั้ยว่าเขาคือใคร ? เขาคือพี่สองของพี่หวังเชียวนะเว้ย!”
“พี่ชายคนที่สองของพี่หวังงั้นเรอะ !?” จางเจี้ยนตื่นตระหนก เขาตัวสั่นเทาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า
จางเจี้ยนนั้นคลุกคลีอยู่กับพวกนักเลงและอันธพาลในย่านนี้มานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นแค่นักเล็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งในย่านนี้ ซึ่งเขาเองก็รู้จักหวังหู่ผู้มีชื่อเสียงในย่านนี้เป็นอย่างดี ในยามที่เขาอยู่ต่อหน้าหวังหู่ จางเจี้ยนเป็นแค่ตั๊กแตนเพียงเท่านั้น เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเย่เชียนคนนี้คือพี่สองของหวังหู่คนนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็หมายความว่าอิทธิพลและพลังของเย่เชียนจะต้องมีมากกว่าหวังหู่อย่างไม่ต้องสงสัย
เย่เชียนไม่ต้องการสร้างปัญหาวุ่นวายอะไรที่นี่ เขาเหลือบมองไปที่เชียงจีและพูดว่า “ฉันจะแสร้งทำเป็นว่าเรื่องวันนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่บอกไอ้เสือหรอก”
“ขอบคุณครับลูกพี่สอง… ขอบคุณครับ!” เชียงจีและนักเลงคนอื่น ๆ ข้างหลังเขาต่างพากันก้มหัวโค้งคำนับเย่เชียนด้วยความโล่งใจ
เย่เชียนพยักหน้าน้อย ๆ เขาเดินไปข้าง ๆ เชียงจีแล้วกระซิบเบา ๆ ที่หูของเขาว่า “นายช่วยจับไอ้บ้านี่มัดเอาไว้ให้ฉันที… เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะกลับไปจัดการต่อเอง”
“ได้ครับลูกพี่!” เชียงจีตอบอย่างเร่งรีบ
เย่เชียนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจแล้วเดินกลับไปหาหลินโรโร่วพร้อมทั้งยิ้มให้เฉินเซิงอย่างรู้สึกผิด “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราไปกินข้าวกันเถอะ”
เฉินเซิงพยักหน้าและกลับเข้าไปนั่งในรถ ส่วนเย่เชียนนั้นเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้หลินโรโร่วเข้าไปนั่งก่อน จากนั้นเขาขึ้นรถตามไปนั่งข้าง ๆ เธอ
เมื่อพวกเขาทั้งสามคนไปถึงศาลาเซียงเฟยแล้ว เฉินเซิงก็โทรหาแฟนของเขาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการสำรองที่นั่งที่เธอจัดการเอาไว้ให้เขาล่วงหน้า จากนั้นก็พาเย่เชียนและหลินโรโร่วเข้าไปข้างใน
มื้อกลางวันในวันนี้จัดอยู่ในพื้นที่ห้องพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เมื่อทั้งสามคนเข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งรออยู่ เธอสงบสุขุม อีกทั้งยังดูสูงส่งและเลิศเลอมาก เห็นได้ว่าเฉินเซิงกับเธอคนนี้พวกเขาทั้งสองช่างเป็นคู่รักในอุดมคติที่เพียบพร้อมจริง ๆ ทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก เมื่อเธอเห็นเฉินเซิงเดินเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและยิ้มอย่างอ่อนโยน “สวัสดีค่ะ ทุกคนเชิญนั่งกันก่อนนะคะ”
เฉินเซิงเดินไปที่ด้านข้างของหญิงสาวคนนั้นและพูดว่า “นี่แฟนผมเอง ยี่จุนหลู ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่บริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาเซี่ยงไฮ้ ส่วนนี่หลินโรโร่วคนที่ผมเคยพูดให้คุณฟังอยู่บ่อย ๆ ไง และนี่แฟนของเธอ ชื่อเย่เชียน”
เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดเลยว่าแฟนของเฉินเซิงจะทำงานในบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปของเขา โลกนี้มันช่างแคบและกลมดีเสียนี่กระไร
ยี่จุนหลูจับมือกับหลินโรโร่วอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อเธอจับมือกับเย่เชียน เธอกลับมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “เอ่อ… คุณเย่เชียนคะ! ฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุณมากเลย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ?”
เฉินเซิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่คิดมาก่อนว่ายี่จุนหลูกับเย่เชียนจะรู้จักกันมาก่อน “คุณสองคนรู้จักกันเหรอ ?”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ แล้วตอบว่า “คงงั้นมั้ง”
ยี่จุนหลูรู้สึกว่าเย่เชียนช่างดูคุ้นหูคุ้นตาเธออย่างมาก แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน “ฉันสั่งอาหารไปบ้างแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าพวกคุณจะชอบมั้ย ลองทานดูนะคะ แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็สั่งได้เลยค่ะ ตามสบาย”
เย่เชียนดึงเก้าอี้ออกให้หลินโรโร่วนั่ง เมื่อเธอนั่งลงเรียบร้อยดีแล้วเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ เธอพร้อมกันนั้นเขาก็หยิบเมนูส่งให้เธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมชอบทุกอย่างเลย ฮ่า ๆ ๆ โรโร่ว คุณอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย ?”
หลินโรโร่วยิ้มน้อย ๆ และตอบว่า “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
ไม่นานหลังอาหารทั้งหมดก็ถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เฉินเซิงสั่งไวน์ขาวรุ่นพิเศษและรินใส่แก้วให้เย่เชียนอย่างสุภาพ จากนั้นก็พูดว่า “นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเรา… งั้นเราต้องมาดื่มฉลองกันหน่อย!”
เย่เชียนพยักหน้าและชนแก้วกับเขา
“เฉินเซิง นายทำงานที่ไหนเหรอ ?” เย่เชียนถามหลังจากวางแก้วไวน์ลงแล้ว
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันเป็นลูกชายคนโตก็เลยต้องสืบทอดงานต่อจากพ่อน่ะ พวกงานในระบบราชการนั่นแหละ” เฉินเซิงตอบง่าย ๆ “แล้วนายล่ะทำงานที่ไหน ?”
“โห! ฉันเทียบกับนายไม่ได้หรอก ฉันแค่ทำธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะ จะให้เรียกว่าธุรกิจส่วนตัวก็คงได้อยู่มั้ง” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ
“นายนี่เป็นคนถ่อมตัวจริง ๆ ” เฉินเซิงพูดต่อ “เออ… ถ้านายมีเวลา ทำไมไม่พาโรโร่วไปเที่ยวที่มณฑลเจียงซูล่ะ ถึงมันจะไม่ได้คึกคักเท่าเซี่ยงไฮ้ก็เถอะ แต่หนานจิงก็เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของหกราชวงศ์เชียวนะ แถมยังมีภูมิทัศน์และบรรยากาศทางวัฒนธรรมที่ดีมากเลยแหละ”
“ได้เลย… ไว้มีโอกาสฉันจะไปเที่ยวหาแน่นอน ถึงเวลานั้นฉันคงต้องขอรบกวนนายให้มาเป็นไกด์พาเที่ยวซะหน่อยแล้ว” เย่เชียนยิ้มกว้างขณะพูด
เฉินเซิงหันไปมองหลินโรโร่วและพูดว่า “เอ้อ… โรโร่ว! เมื่อไม่กี่วันก่อนป้าซูมาเซี่ยงไฮ้นี่ ป้าเขามาทำให้เธอเจอปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะ ?”
“ห๊ะ!? แม่ฉันมาเหรอ ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย” หลินโรโร่วถามด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
เฉินเซิงจ้องมองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน แต่จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เธอไม่ต้องซีเรียสหรอก เดี๋ยวไว้มีเวลาฉันจะไปเยี่ยมลุงกับป้าจะได้อธิบายสถานการณ์ของพวกเราให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนเอง”
“ขอบคุณนะ!” หลินโรโร่วพูดอย่างซาบซึ้ง จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่เชียนอย่างอดไม่ได้ เพราะหลินโรโร่วรู้จักแม่ของตัวเองเป็นอย่างดี เธอรู้ว่าแม่ของเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและไม่ยอมใครง่าย ๆ การที่เธอมาเยือนถึงที่เซี่ยงไฮ้นี้คงจะไม่ใช่การมาเที่ยวหรือมาทำงานธรรมดา ๆ แน่ “เย่เชียน! คุณบอกความจริงกับฉันมาตามตรงนะ! แม่ของฉันมาหาคุณแล้วใช่มั้ย ?” หลินโรโร่วถามอย่างจริงจัง
เย่เชียนหัวเราะเจื่อน ๆ พลางตอบว่า “อืม… วันนั้นผมไปคุยกับแม่ยายในอนาคตของผมมานิดหน่อยน่ะ”