ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 202 แก้ปัญหาภายใน
“เย่เชียน… ฉันน่ะติดตามเฉินฟู่เฉิงมานานหลายปีแล้วและฉันก็ไม่เคยมองวิสัยทัศน์ของเฉินฟู่เฉิงพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเมื่อเขาไว้วางใจให้คุณมารับหน้าที่ของเขาต่อ ฉัน… หม่าชานเหอคนนี้! ก็จะคอยสนับสนุนคุณอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความสามารถด้านการจัดการระหว่างประเทศ แต่ถ้าหากเป็นในเมืองจีนบ้านของเราล่ะก็ ฉันทำได้ทุกอย่าง และตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่แม้จะเหลือแค่เพียงวันเดียวก็ตาม มันก็จะไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะสามารถมารุกรานอุตสาหกรรมของพวกเราได้!” หม่าชานเหอผู้บริหารเก่าแก่รุ่นบุกเบิกพูดอย่างเปิดเผยและแน่วแน่ที่จะสนับสนุนเย่เชียน ซึ่งมันทำให้ผู้บริหารคนอื่น ๆ ที่ยังคงหลงทางกันอยู่เริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
หม่าชานเหอ คือหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ติดตามเฉินฟู่เฉิงและต่อร่วมสู้กันมาอย่างยากลำบาก ซึ่งเหล่าผู้บริหารคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องต่างก็ยอมรับให้เขาเป็นพี่ใหญ่ เพราะถ้าให้เทียบกันในเรื่องของอิทธิพลและเครือข่ายแล้วนั้น ผู้บริหารคนอื่น ๆ ในห้องนี้ก็ไม่สามารถทัดเทียมกับเขาได้เลย
ความเป็นจริงแล้วหม่าชานเหอนั้นไม่ได้คิดที่จะเป็นศัตรูกับเย่เชียนเลย เขาแค่รู้สึกกังวลเล็กน้อยในฐานะคนที่บากบั่นและลำบากกันมา เพราะเขายังไม่รู้เลยว่าเย่เชียนนั้นจะมีความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่ ทว่าหลังจากที่เขาได้เห็นเย่เชียนเผยตัวตนของตัวเองออกมา หม่าชานเหอก็เชื่อว่าเฉินฟู่เฉิงไม่ได้มองคนผิดไป ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเย่เชียนคนนี้นี่แหละที่เหมาะสมแล้วกับการมารับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไปในการเลือกสนับสนุนเย่เชียน
เย่เชียนไม่คาดว่าคนที่เป็นพี่ใหญ่อย่างหม่าชานเหอจะพูดออกตัวในการสนับสนุนเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มันทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนว่ายังมีคนที่ภักดีต่อเฉินฟู่เฉิงอยู่
“คุณหม่าครับ… ผมต้องขอบคุณคุณมากที่ให้ความสนับสนุนผม แต่สถานการณ์ในบริษัทตอนนี้เรามันยังไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมเชื่อว่าทุกคนที่นี่ยังคงตั้งใจทำงานกันอย่างหนักอยู่ ถึงมันอาจจะเคยมีข้อผิดพลาดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้างในอดีต แต่ถึงยังไงมนุษย์อย่างเรา ๆ ก็คงไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาดหรอกใช่มั้ยล่ะครับ ? ผมไม่สนว่าก่อนหน้านี้ใครจะเคยทำอะไรผิดพลาดไป ผมจะสนเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น ผมหวังว่าทุกคนจะปฏิบัติตามหน้าที่และร่วมมือกันทำงานเพื่อยึดมั่นในอุตสาหกรรมที่ยากที่จะเอาชนะนี้และช่วยกันทำให้มันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
ในฐานะที่ผมเป็นคนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ ซึ่งหลายเรื่องผมเองก็ยังไม่รู้ ผมจึงต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณทุกคนในห้องนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เงินปันผลของผู้บริหารแต่ละคนจะเพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์ และถ้ายิ่งพวกคุณทำผลงานได้ดีขึ้นมากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าใครยังต้องการที่จะคอร์รัปชันอีกล่ะก็ ผมก็ขอให้พวกคุณทำให้ดีก็แล้วกัน… อย่าให้ผมรู้ล่ะ!” เย่เชียนพูด
ทั้งคำพูดและตัวตนของเย่เชียนบวกกับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยของหม่าชานเหอนั้น ทำให้พวกผู้บริหารที่อยู่ในห้องไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรอีกต่อไป เดิมทีพวกเขาคิดว่าเย่เชียนจะลิดรอนถอนสิทธิ์บางอย่างของพวกเขาในบริษัท แต่ทว่าเย่เชียนกลับเพิ่มค่าคอมมิชชั่นให้กับพวกเขาสูงขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้เองความคับแค้นและกังวลในใจของพวกเขาก็จางหายไปอย่างมาก
เย่เชียนนั้นคงยังถ่อมตัวอยู่มาก เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาควรจะแข็งข้อและเมื่อไหร่เขาที่ควรจะอ่อนน้อม เย่เชียนยืนส่งผู้บริหารออกจากสโมสรทีละคน ๆ เป็นการส่วนตัว ส่วนเฉิงเหวินเองก็เชื่อมั่นในตัวของเย่เชียนผู้ที่จะเข้ามาเป็นประธานคนใหม่ของเขาไปแล้วอย่างสมบูรณ์
หม่าชานเหอจงใจเดินออกมาคนสุดท้ายหลังจากที่ผู้บริหารคนอื่น ๆ ขึ้นรถไปกันหมดแล้ว เขาเหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “พ่อหนุ่ม… ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”
เย่เชียนยิ้มและพยักหน้า “คุณหม่าไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ในเมื่อผมแบกรับหน้าที่นี้เอาไว้แล้ว ผมก็ต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ไม่งั้นผมคงจะเสียใจและรู้สึกผิดกับท่านประธานผู้ล่วงลับไปจนวันตาย”
สำหรับเฉินฟู่เฉิงนั้นเย่เชียนไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไร จะให้เรียกเขาว่าลุงเฉินเหมือนลุงฉินเทียนมันก็จะดูรักกันเกินไป เพราะงั้นเย่เชียนจึงต้องเรียกเขาว่าท่านประธานเหมือนกันคนอื่น ๆ
หม่าชานเหอพยักหน้าและพูดว่า “หากมีปัญหาอะไรที่คุณแก้ไม่ได้ก็อย่าลังเลที่จะมาหาฉัน ฉันจะช่วยอย่างสุดความสามารถ ถึงฉันจะแก่มากแล้วก็เถอะ… แต่ถ้าฉันช่วยอะไรได้ ฉันยินดีและเต็มใจช่วย”
“ขอบคุณครับคุณหม่า” เย่เชียนพูด
หม่าชานเหอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และหันกลับเข้าไปในรถ
เมื่อเห็นผู้บริหารเหล่านั้นจากไป เย่เชียนก็รู้สึกสบายใจและมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา สิ่งแรกที่เขาต้องทำนั้นผ่านไปได้ด้วยดี ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อยเท่านั้น
เล่ยไท่ถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ต้องหาผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา ทว่าสมาชิกของกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้นไม่สามารถทำงานอะไรแบบนี้ได้ ส่วนซ่งหลันเองก็มาช่วยเขาอีกไม่ได้ เพราะแค่งานของบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปเองมันก็ยุ่งมากพอแล้วสำหรับเธอ เย่เชียนไม่ต้องการให้เธอต้องเหนื่อยมากจนเกินไป อีกอย่างสิ่งต่าง ๆ ที่นี่ก็ยังไม่เสถียรและมั่นคงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันจะอันตรายหากให้ซ่งหลันเข้ามาจัดการเรื่องนี้
เพราะงั้นคนที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งของเล่ยไท่มากที่สุดก็คือคนในหมู่ของเล่ยไท่เอง เย่เชียนหายใจเข้าลึก ๆ และหันหน้าไปมองเฉิงเหวินแล้วถามว่า “มีใครที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอยู่ในเครือข่ายของเล่ยไทบ้างมั้ยครับ ?”
“เท่าที่ฉันรู้ก็มีรองผู้จัดการของสโมสรนี้ เขามีชื่อว่า หยูซิง เขาเป็นคนเก่ง จบการศึกษาสาขาการเงินมาจากมหาวิทยาลัยหนานจิง เขานี่แหละที่เป็นคนคอยตรวจสอบและคอยตามแก้ปัญหาต่าง ๆ ของเล่ยไท่มาตั้งแต่ที่ประธานเฉิป่วย หยูซิงน่ะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ อีกทั้งยังหนุ่มยังแน่น แต่เล่ยไท่ก็กีดกันให้เขาเป็นแค่รองผู้จัดการเท่านั้น หากท่านประธานเย่ต้องการหาคนที่จะเข้ามาดูแลสิ่งต่าง ๆ แทนเล่ยไท่ ฉันคิดว่าหยูซิงคนนี้นี่แหละเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผมคิดว่าการที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งรองผู้จัดการที่ว่างเปล่าไร้การเติบโตเช่นนี้ได้เป็นเวลาถึงห้าปี มันก็น่าชื่นชมอย่างมาก แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับความอดทนในงานนี้แล้ว” เฉิงเหวินพูด
เย่เชียนฟังแล้วพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดว่า“คุณเฉิงกลับไปก่อนก็ได้ครับ… ผมจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
เฉิงเหวินเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่าเย่เชียนต้องการคุยกับหยูซิง เขาจึงพยักหน้าและออกจากสโมสรไป
เมื่อเย่เชียนหันหน้าไป เขาก็เห็นชายคนหนึ่งในวัยสามสิบต้น ๆ ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความเคารพ และเมื่อชายคนนั้นเห็นเย่เชียนมองมาที่เขา เขาก็ก้มหัวเล็กน้อยและพูดด้วยความเคารพว่า “สวัสดีครับท่านประธาน”
หลังจากทำงานในสโมสรแห่งนี้มานานถึงห้าปี แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงรองผู้จัดการก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าหยูซิงจะไม่มีวิสัยทัศน์และความสามารถ มิฉะนั้นเฉินฟู่เฉิงเองก็คงจะไม่โปรดปรานเขามาตั้งแต่แรก ถึงตัวเขาจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมครั้งสำคัญในวันนี้ด้วย แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้ท่านประธานคนใหม่เรียกเหล่าบรรดาผู้บริหารอาวุโสเข้าร่วมการประชุม ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเลยก็คือ ท่านประธานคนใหม่นั้นกำจัดเล่ยไท่ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง และเมื่อเขาเห็นคนของเล่ยไท่ยกร่างที่ไร้วิญญาณของเล่ยไท่ออกมานั้น หยูซิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าวันแรกที่สดใสของเขามาถึงแล้ว
“คุณคือหยูซิงใช่มั้ยครับ ?” เย่เชียนถามขึ้นเมื่อเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ซึ่งรูปลักษณ์ของเขานั้นไม่ได้น่าทึ่งหรือต้องประหลาดใจอะไร แต่ก็ดูมีความน่าสนใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเขาเผชิญกับแรงกดดันที่เย่เชียนจงใจสร้างขึ้นมา เขาก็ไม่มีร่องรอยของความหยิ่งผยองเลย เขาเพียงถ่อมตัวอย่างสุภาพเท่านั้น
“ใช่ครับ… ท่านประธานมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ ?” หยูซิงถามด้วยความเคารพ
เย่เชียนพยักหน้าและพูดว่า “ไปที่นั่งคุยกันที่ออฟฟิศเถอะ”
หลังจากพูดจบ เย่เชียนก็เดินไปที่ห้องทำงานชั้นบนในสโมสร ส่วนหยูซิงก็เดินตามเขาไปอย่างใกล้ชิด แต่เว้นระยะห่างที่พอดีเอาไว้เสมอ
และเมื่อพวกเขามาถึงสำนักงานของเล่ยไท่แล้ว เย่เชียนก็เดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเล่ยไท่และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ของตกแต่งในห้องแล้วพูดว่า “การตกแต่งที่นี่ไม่เหมาะกับคุณหยูซิงเลย… หาเวลาตกแต่งมันใหม่ซะนะ”
หยูซิงดีใจมากและหัวใจของเขาก็ปั่นป่วนเพราะคำพูดของเย่เชียน ซึ่งมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าธุรกิจต่าง ๆ ที่เล่ยไท่รับผิดชอบอยู่ในตอนนี้นั้น หลังจากนี้ตัวเขาเองจะเป็นคนรับหน้าที่ดูแลแทนทั้งหมด เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากผ่านมานานหลายปี ในที่สุดเขาก็จะได้มีอนาคตที่สดใสกับเขาสักที