ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 206 จ้าวหยาในเมืองหนานจิง
วันรุ่งขึ้นเหล่าผู้บริหารอุตสาหกรรมของเฉินฟู่เฉิงทั้งหมดก็ได้ประกาศให้การสนับสนุนเย่เชียนต่อสาธารณะชนอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันคนหนุ่มสาวในเมืองหนานจิงต่างก็พูดคุยกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับพลังอันยิ่งใหญ่ของคนรุ่นใหม่อย่างเย่เชียนที่เขานั้นได้ช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีและขับเคลื่อนพลังของคนรุ่นใหม่ในเมืองหนานจิง
เย่เชียนในตอนนี้นั้นถูกผลักดันให้กลายเป็นดั่งวีรบุรุษแห่งยุคใหม่ที่มีจิตวิญญาณอันโชติช่วง
ทว่าเย่เชียนกลับไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าในเวลานี้เขาได้กลายเป็นบุคคลตัวอย่างในดวงใจของคนหนุ่มสาวยุคใหม่ทุกคนไปแล้ว เพราะขณะนี้เขากำลังนอนพักผ่อนอยู่ในโรงแรมและเพลิดเพลินไปกับความเงียบสงบที่ช่างหาได้ยากยิ่งสำหรับคนอย่างเขา
เฉินฟู่เฉิงนั้นมีเซฟเฮ้าส์หลายแห่งอยู่ในเมืองหนานจิง ซึ่งในมุมมองของเย่เชียน เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันยังคงเป็นสมบัติของเฉินฟู่เฉิงอยู่ แม้แต่บริษัทที่อยู่ภายใต้การครอบครองของเย่เชียนนั้น เขาก็ไม่เคยคิดที่จะยึดมันเอาไว้เป็นของตัวเองเลย เขาแค่ยึดมั่นในคำสัญญาและตั้งใจจะทำตามสัญญาที่ว่าจะช่วยเฉินฟู่เฉิงปกป้องสิ่งเหล่านี้ให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นเฉินฟู่เฉิงเองก็ยังคงมีภรรยาและลูกสาวของเขาอยู่ ตราบใดที่เย่เชียนพบพวกเขาแล้ว เย่เชียนก็ยินดีที่จะมอบทรัพย์สินและสมบัติเหล่านี้ให้กับพวกเขาทั้งหมด
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน เย่เชียนได้รับโทรศัพท์จากหยูซิงซึ่งโทรมาบอกว่าเฝิงเฝิงกำลังส่งคนมาที่หนานจิงแล้ว เย่เชียนจึงบอกให้หยูซิงไปพักผ่อนก่อน ถ้าพวกนั้นมาถึงก็ค่อยว่ากันทีหลัง หลังจากที่ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างตัวแล้ว เย่เชียนก็กำลังจะออกไปข้างนอก แต่แล้วจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายทันทีโดยไม่ได้ดูเบอร์
“เฮ้! เย่เชียน! ฉันอยู่ที่สนามบินหนานจิงแล้วตอนนี้ นายมารับฉันหน่อยสิ” เสียงจ้าวหยานั่นเองที่ดังขึ้นมาผ่านหูโทรศัพท์
เย่เชียนตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เธอมาทำอะไรที่เมืองหนานจิงนี่ ?”
“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ล่ะ ? ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนายคนเดียวสักหน่อย” จ้าวหยาพูดต่อ “อีกอย่างนายลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้มันเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนน่ะ ? ฉันก็เลยพาแม่ของฉันมาเที่ยวที่นี่”
เย่เชียนถอนหายใจพรืด จากนั้นก็พูดว่า “เธอนี่มันเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้ดีจริงจริ๊ง! ตอนนี้ที่นี่มันร้อนจะตายอยู่แล้ว มันเหมาะสำหรับมาเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิหรือไม่ก็ฤดูใบไม้ร่วงมากกว่า คิดจะมาเที่ยวที่นี่ตอนหน้าร้อนแบบนี้ เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ”
“นายพูดบ้าอะไรของนายน่ะหา ? ฉันเพิ่งจะมาถึงที่นี่แท้ ๆ ! รีบ ๆ มารับฉันเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาโอ้เอ้…” จ้าวหยากำลังพูดอยู่ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงอีกคนหนึ่งแทรกเข้ามาเบา ๆ แต่เย่เชียนจับใจความไม่ได้ว่าเธอพูดว่าอะไรกันแน่
เย่เชียนเดาว่าเจ้าของเสียงนั้นน่าจะเป็นแม่ของจ้าวหยา เขาจึงตัดสินใจตอบกลับไปว่า “ก็ได้ ๆ รอฉันอยู่ที่นั่นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปรับ”
“นี่เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน แต่นายกลับให้คนอื่นมารับฉันเนี่ยนะ ? ทำไมนายไม่มาด้วยตัวเองล่ะ ? ใช่ซี้…” จ้าวหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“ฉันมีธุระด่วนต้องไปจัดการน่ะ คงไปรับเธอด้วยตัวเองไม่ได้หรอก” เย่เชียนยืนกรานคำเดิม
“เชอะ! คนไม่จริงใจ” จ้าวหยาพูดแล้วบุ้ยปาก
“โธ่… เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงใจเลยนะ เธอเชื่อฉันเถอะหน่า เพราะฉันมีบางอย่างที่ต้องไปทำจริง ๆ อีกอย่างฉันเองก็จริงใจกับเธอมากด้วย” เย่เชียนพูดอย่างหมดหนทาง
“ก็ได้ ๆ ฉันจะยอมเชื่อนายอีกสักครั้งก็ได้” จ้าวหยาพูด “แต่หลังจากนี้นายต้องไปเที่ยวและไปดื่มกับฉันด้วยนะ”
“ได้เลยไม่มีปัญหา! ฉันจะไปเที่ยวกับเธอ ดื่มกินกับเธอ แล้วก็จะนอนกับเธอทั้งคืนเลยดีมั้ยล่ะ ?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
“อะแฮ่ม ๆ !” เสียงไอแห้ง ๆ ของหญิงวัยกลางคนดังผ่านทางโทรศัพท์เข้ามา เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตกและรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเธอคนนั้นจะต้องเป็นแม่ของจ้าวหยาอย่างแน่นอนและเธอก็คงจะได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อกี๊นี้
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหัวเราะจอมเจ้าเล่ห์ของจ้าวหยาก็ดังขึ้นมา “ฮ่า ๆ ๆ แม่ของฉันบอกว่าไม่มีทางที่จะปล่อยให้ฉันไปนอนกับนายหรอก เขาไม่อยากให้ลูกสาวแสนสวยของเขาถูกผู้ชายขี้โกงอย่างนายล่อลวงและทำไม่ดีไม่ร้าย”
เย่เชียนเหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อไปอีกและรีบกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว เขาพยายามปลอบใจและโกหกตัวเองว่าคนคนนั้นคงจะไม่ใช่แม่ของจ้าวหยาจริง ๆ หรอก จ้าวหยาอาจจะให้ใครสักคนแกล้งเปลี่ยนเสียงของตัวเองให้ฟังดูเหมือนเสียงแม่ของเธอมากกว่า เพราะที่สนามบินนั้นเสียงดังจอแจอย่างกับอะไร แม่ของเธอหรือคนที่แกล้งเป็นแม่ของเธอก็ไม่น่าจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดสิ ?
หลังจากที่ว้าวุ่นใจอยู่สักพัก เย่เชียนก็หายใจเข้าลึก ๆ และพยายามลืมเรื่องของจ้าวหยาไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องพักของโรงแรมไป
เมื่ออกมาจากห้องแล้ว เย่เชียนก็กดโทรหาอู๋หวนเฟิง ซึ่งเสียงของอู๋หวนเฟิงตอนที่ทักทายเขาเมื่อรับสายนั้นฟังดูมีความกระปรี้กระเปร่ากว่าเย่เชียนมาก เพราะเขานั้นตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อออกไปเดินกินลมชมวิวรอบ ๆ เมืองหนานจิง ทว่าเย่เชียนเข้าใจดีว่าอู๋หวนเฟิงนั้นไม่ได้เพียงแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้น แต่เขากำลังเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในเมืองหนานจิงแห่งนี้อีกด้วย จะว่าไปมันเหมือนกันการออกไปลาดตระเวนสอดแนมความเป็นไปเสียมากกว่า
เรียกได้ว่าอู๋หวนเฟิงนั้นเป็นคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มเขี้ยวหมาป่าในด้านของการวางตัว การปรับสภาพจิตใจและอารมณ์ต่าง ๆ เพราะไม่ว่าเขาจะไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน อู๋หวนเฟิงก็สามารถที่จะปรับสภาพตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้พร้อมในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานทุกงานที่เขาได้มีโอกาสมีส่วนร่วมนั้น เขาตั้งใจที่จะอุทิศตนอย่างเต็มที่เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งสำเร็จลุล่วง สิ่งที่น่าทึ่งคืออู๋หวนเฟิงนั้นมักจะนอนเพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ทว่ามันเป็นสี่ชั่วโมงคุณภาพซึ่งเพียงพอที่จะรักษาจิตวิญญาณของเขาได้แล้ว
เย่เชียนเล่าให้อู๋หวนเฟิงฟังคร่าว ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่จ้าวหยามาที่เมืองหนานจิงแห่งนี้แล้ว เขาขอให้อู๋หวนเฟิงช่วยไปรับเธอที่สนามบินและช่วยจัดเตรียมสถานที่ให้พวกเธอพักอยู่ในโรงแรมในเครือของบริษัทตัวเอง หลังจากนั้นก็บอกให้เขารีบกลับมาทันทีที่เสร็จธุระแล้ว อู๋หวนเฟิงตอบตกลงโดยไม่ลังเล เมื่อเขาวางสายจากเย่เชียนไปแล้ว เขาก็เรียกรถแท็กซี่ตรงไปที่สนามบินหนานจิงทันที
หลังจากที่เย่เชียนออกจากโรงแรมแล้วเขาก็ขับรถไปที่สโมสร เมื่อเขาไปถึงที่สโมสร พนักงานรักษาความปลอดภัยก็รีบมาเปิดประตูให้เย่เชียนด้วยความเคารพ เย่เชียนพยักหน้าให้เขาเป็นการแสดงความขอบคุณแล้วถามว่า “ตอนนี้ผู้จัดการหยูอยู่ที่ไหน ?”
“อยู่ในห้องทำงานครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยตอบ “เฝิงเฝิงส่งชายหนุ่มคนหนึ่งมา แต่ตัวเขาเองไม่ได้มาด้วย”
เย่เชียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผมเข้าใจแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในสโมสร
เมื่อเขามาถึงออฟฟิศของหยูซิง เขาก็เห็นหยูซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่หลังประตูในห้อง เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปชั่วขณะ และสงสัยอย่างมากว่าคนคนนี้จะใช่คนคนนั้นหรือไม่ ? เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำตามคำสั่งของใครเพราะเท่าที่เย่เชียนจำได้เขาไม่ใช่คนแบบนั้นนี่นา ?
เมื่อเย่เชียนเห็นแผ่นหลังของเขาแล้ว ภาพแห่งความทรงจำที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจของเขาก็สว่างวาบขึ้นมา ภาพนั้นเป็นภาพของพี่ชายคนหนึ่งผู้ซึ่งเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และเคยร่วมฝ่าฟันความตายกับเขามามากมาย แต่ทว่าในตอนนี้เขาคนนี้กลับตกอยู่ในความมืดมิดและกลายเป็นศัตรูของกลุ่มเขี้ยวหมาป่าอย่างแท้จริง มันทำให้เย่เชียนรู้สึกเศร้าเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามา หยูซิงก็รีบลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ท่านประธานเย่!”
สิ้นเสียงคำพูดของหยูซิง ชายหนุ่มคนนั้นก็หันหน้ามาช้า ๆ เมื่อเย่เชียนเห็นหน้าชัด ๆ ของชายคนนี้ เขาก็ต้องตกตะลึงอย่างมากเพราะชายคนนี้คือคนที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรก! เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่คาดคิดว่าประธานของที่นี่จะเป็นเย่เชียนนั่นเอง เพราะเขานั้นมีร่องรอยของความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่ทว่าเขาก็กลับมาเป็นปกติและเยือกเย็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว สายตาของเขานั้นช่างดูเย็นยะเยือกและเลือดเย็นมาก
“ประธาน! นี่คือตัวแทนที่เฝิงเฝิงส่งมา… เขาชื่อ ไป๋ฮวย” หยูซิงพูด
“ผมรู้อยู่แล้ว” เย่เชียนพูดโดยยังคงจ้องมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น
หยูซิงผงะไปครู่หนึ่งและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็หันไปมองที่ไป๋ฮวย เขาไม่เข้าใจเลยว่าเย่เชียนนั้นจะไปรู้จักกับไป๋ฮวยได้อย่างไร
“คุณผู้จัดการหยูออกไปก่อน… ผมอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวสักหน่อย” เย่เชียนพูด
หยูซิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงเดินออกไปจากออฟฟิศพร้อมกับปิดประตูตามหลังเบา ๆ ส่วนเย่เชียนนั้นเดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของไป๋ฮวยและนั่งลงพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขผสมกับความขมขื่นบางอย่าง จากนั้นเขาก็พูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”