ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 210 ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของโจวรุหลานจนจบแล้ว เย่เชียนก็รู้สึกโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตในการเปลี่ยนแปลง เรื่องระหว่างเฉินฟู่เฉิงและโจวรุหลานนั้น ถ้าหากพวกเขาทั้งคู่ไม่พยายามฝืนกันขนาดนั้นและพูดคุยกันมากกว่านี้อีกสักหน่อย บางทีตอนจบของพวกเขาก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนรู้ดีว่าพวกเขาทั้งคู่คงจะคิดถึงกันเรื่อยมา เพราะจากที่เขาฟังแต่ละคำพูดของแต่ละคนแล้วนั้น มันล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกผูกพันและความรักซ่อนอยู่ เย่เชียนรู้สึกว่าโจวรุหลานคนนี้ช่างเป็นผู้หญิงแสนดีและควรค่าแก่ความรักที่จริงใจของเฉินฟู่เฉิง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ ก็มีเขาคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
“แล้วหยะ… หยาเอ๋อร์ล่ะครับ ?” เย่เชียนถามขึ้นด้วยความประหม่า
“หยาเอ๋อร์น่ะเป็นลูกของฉันกับฟู่เฉิง… หลังจากที่ฉันจากฟู่เฉิงไป ฉันก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านของฉันหรอก ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็พาหยาเอ๋อร์ไปกับฉันด้วย เราสองคนใช้ชีวิตกันตามลำพังในต่างแดน มันไม่ได้ยากลำบากอะไรหรอกนะ แต่มันแค่เหนื่อยมากเท่านั้น
จนวันนึงฉันได้มาเจอกับจ้าวเทียนห่าว เขาเข้ามาในชีวิตของฉันตอนที่เขาไปทำธุรกิจของเขาในต่างประเทศ พอเขาเห็นฉันเขาคงจะรู้สึกสงสารล่ะมั้ง เขาก็เลยคอยดูแลเอาใจใส่ฉันกับลูกเสมอมา แต่หัวใจของฉันน่ะมันไม่อยากที่จะเปิดรับผู้ชายคนไหนเข้ามาแทนที่ฟู่เฉิง ฉันไม่มีความรู้สึกรัก ๆ ใคร่ ๆ ให้กับใครอีกต่อไป รสชาติความรักอันแสนหวานพวกนั้น… ฉันลืมมันไปหมดแล้วและฉันก็ไม่โหยหามันอีกต่อไปด้วย แม้ว่าวันเวลาจะผ่านเลยไปนานแสนนาน แต่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเทียนห่าวก็ไม่เคยพัฒนาจากความรู้สึกขอบคุณในความเมตตาเลย ฉันเคยบอกเขาไปว่า หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันคนนี้ มันไม่มีที่ว่างเหลือไว้ให้ชายใดอีกแล้ว แต่เทียนห่าวกลับพูดกับฉันว่า มันไม่สำคัญเลยว่าฉันจะรักเขาหรือไม่ เพราะเขาแค่ต้องการที่จะดูแลทั้งฉันและลูกให้มีความสุขไปตลอดชีวิตก็เท่านั้น เขาจะไม่ขออะไรจากฉันไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เอาเข้าจริงตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันกับเทียนห่าวน่ะ เราไม่เคยทำอะไรที่คู่รักควรจะทำกันเลยสักครั้ง จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขามันน่าจะเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันซะมากกว่า อีกอย่างเขาเองก็ไม่เคยทำให้ฉันต้องรู้สึกลำบากใจเลยสักครั้ง ไม่เคยบังคับให้ฉันต้องแต่งงานอยู่กินกับเขา พูดก็พูดเถอะ… ฉันมันไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะสมกับคนดี ๆ อย่างเทียนห่าวหรอก ฉันรู้สึกผิดเสมอมาและในหัวของฉันก็มีแต่คำขอโทษสำหรับเขาเต็มไปหมด” โจวรุหลานพูดด้วยรอยยิ้มที่รู้สึกผิด
เย่เชียนถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะเขาไม่คาดคิดว่าโจวรุหลานและจ้าวเทียนห่าวที่อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ทว่าทั้งคู่กลับยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันที่ถูกต้องตามกฎหมายเลย
“คุณป้าอย่าโทษตัวเองเลยครับ คุณป้าเป็นผู้หญิงที่ดี ลุงจ้าวและท่านประธานเฉินเองก็เป็นผู้ชายที่ดีเช่นกัน” เย่เชียนพูดได้แต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้เขาคิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกเลย
“คุณป้าครับ… ผมตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าหากผมได้พบกับคุณป้าแล้ว ผมจะส่งคืนทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดของท่านประธานเฉินให้กับคุณป้า ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ท่านประธานเฉินต้องการครับ” เย่เชียนพูด
โจวรุหลานส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ในเมื่อฟู่เฉิงได้เลือกเธอให้เป็นผู้สืบทอดของเขาแล้ว เธอก็ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังนะ เธอต้องทำตามคำขอสุดท้ายของเขาให้สำเร็จ เขาจะได้จากไปอย่างสงบสุข ฉันเองก็เช่นกัน… ทรัพย์สินพวกนั้นฉันคงต้องฝากให้เธอดูแลด้วย”
เย่เชียนได้แต่พยักหน้าตอบรับเบา ๆ เพราะการแสดงออกทั้งหมดของโจวรุหลานนั้นเห็นได้ชัดเลยว่ามันคือความจริงใจที่แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นหากเธอต้องการทรัพย์สินและสมบัติเหล่านี้ล่ะก็ เธอคงจะมาหาเฉินฟู่เฉิงตั้งนานแล้ว
“หลุมศพของฟู่เฉิงอยู่ที่ไหนเหรอ ? พรุ่งนี้เธอช่วยพาฉันไปหน่อยจะได้มั้ย ?” โจวรุหลานถาม
“ได้ครับ.. ไว้ผมจะพาคุณป้าไปพรุ่งนี้เช้านะครับ” เย่เชียนพูด “แล้วหยาเอ๋อร์ล่ะครับ คุณป้าจะให้เธอไปกับเราด้วยมั้ย ?”
“ฟู่เฉิงเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอ เพราะงั้นหยาเอ๋อร์ก็ควรไปกราบไหว้เขาด้วย” โจวรุหลานพูด “เย่เชียน… เธอสัญญากับฉันได้มั้ยว่าเธอจะช่วยฉันเก็บเรื่องนี้ความลับระหว่างเราสองคน ฉันไม่อยากให้หยาเอ๋อร์ต้องมารับรู้เรื่องราวเลวร้ายแบบนี้”
เย่เชียนพยักหน้ารับเบา ๆ เขาเองก็คิดว่ามันคงจะดีสำหรับจ้าวหยามากกว่าถ้าเธอจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะต่อให้เธอรู้เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด มันก็จะมีแต่ทำให้เธอต้องโศกเศร้าเสียใจ ในเมื่อเฉินฟู่เฉิงได้จากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ควรปล่อยให้ความจริงนั้นถูกฝังอยู่ในดินไปกับร่างของเขาด้วย
“แม่!!! สิ่งที่แม่เล่ามาทั้งหมดมันเป็นความจริงงั้นเหรอ ?!”
วินาทีนั้นเองที่จ้าวหยาเปิดประตูห้องนอนออกมาตะโกนถาม แก้มทั้งสองอาบไปด้วยน้ำตาที่ยังคงรินไหลออกมาอย่างไม่จบไม่สิ้น ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในจิตใจของเธอ และเธอก็เฝ้ารอคำตอบจากปากของแม่ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ เด็กผู้หญิงคนนี้แอบฟังอยู่ที่ประตูตั้งแต่เธอเดินเข้าไปในห้องแล้ว เพราะเธอต้องการรู้ว่าแม่ของเธอจะคุยอะไรกับเย่เชียนตามลำพังบ้าง ซึ่งเธอนั้นไม่เคยคาดฝันเลยว่าจะได้ยินเรื่องราวที่มันใหญ่โตขนาดนี้
โจวรุหลานตกตะลึงจนตัวแข็งและหน้าชาไปเลยทีเดียว เมื่อเห็นจ้าวยาโพล่งออกมาจากห้องนอนและตั้งคำถามกับเธออย่างตรงไปตรงมา ในเมื่อจ้าวหยาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะปกปิดมันอีกต่อไป เธอจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “แม่ว่าลูกคงจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว… เฉินฟู่เฉิงน่ะ เขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของลูก”
“ทำไม !? ทำไมแม่ถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหนู! ทำไมแม่ต้องโกหกหนูด้วย แม่โกหกหนูมานานขนาดนี้แล้วทำไมแม่ถึงไม่โกหกหนูต่อไปล่ะ ?! หนูเกลียดแม่! หนูไม่อยากเจอแม่อีกแล้วในชีวิตนี้!” จ้าวหยารู้สึกสับสนไปหมด เธอรู้สึกทั้งโกรธและเสียใจ เธอจึงได้แต่ตะโกนออกมาเพื่อระบายความรู้สึกแย่ ๆ ที่มันอัดอั้นอยู่ในใจพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้ม คนที่เธอเรียกเขาว่าพ่อมาตลอด 20 ปีนั้น แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่พ่อของเธอ แต่คนที่เธอไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้งต่างหาก ที่เป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอ แต่กว่าที่เธอจะรู้ความจริง พ่อที่แท้จริงของเธอก็จากโลกนี้ไปเสียแล้ว!
หลังจากตะโกนจนเสียงแหบ จ้าวหยาก็รีบวิ่งออกไปอย่างสิ้นหวัง…
“จ้าว…” เมื่อเย่เชียนเห็นจ้าวหยาผลุนผลันออกไปจากห้องแบบนั้น เขาก็รีบลุกขึ้นและกำลังจะวิ่งตามเธอไป แต่โจวรุหลานกลับห้ามเขาเอาไว้และพูดว่า
“ปล่อยเธอไปก่อน… นิสัยของเธอบางทีก็คล้ายกับฉันมากเกินไปหน่อย ตอนเด็ก ๆ ฉันก็ดื้อรั้นและอ่อนไหวง่ายเหมือนกับเธอนี่แหละ ฉันว่าตอนนี้เราปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไปก่อนดีกว่า”
“คุณป้า… คุณป้าไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ ผมคิดว่าหยาเอ๋อร์แค่ยังยอมรับมันไม่ได้ มันกะทันหันเกินไป! ผมเชื่อว่าถ้าเราให้เวลากับเธอสักพัก เธอคงจะรู้สึกดีขึ้น ผมเชื่อว่าเธอจะต้องเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งเหมือนกับคุณป้า” เย่เชียนมองไปที่ใบหน้าอันโศกเศร้าของโจวรุหลานและปลอบโยนเธอ
โจวรุหลานยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หยาเอ๋อร์คงจะเกลียดฉันมาก ฉันปล่อยให้พ่อและลูกสาวแยกจากกันเป็นเวลานานหลายปีโดยที่พวกเขาทั้งสองไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้ากันเลยด้วยซ้ำ”
เย่เชียนได้แต่เหลือบมองเธออย่างเห็นใจ เขาไม่มีคำพูดใดที่จะเอามาพูดปลอบเธอได้อีกในช่วงเวลานี้…
“เย่เชียน… ฉันคิดว่าหยาเอ๋อร์น่ะชอบเธอมากเลย ฉันหวังว่าเธอคงจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอย่างฉันและฟู่เฉิงนะ หากเธอคิดจะทำอะไรต่อไปในอนาคต จงจำคำของฉันไว้ว่าให้ความรักนำทาง แล้วทุกอย่างมันจะดีเอง เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเหมือนอย่างฉันแบบนี้” โจวรุหลานพูด
เย่เชียนรู้ดีว่าถึงแม้จ้าวหยาจะชอบทำตัวเอาแต่ใจและโหวกเหวกโวยวายเวลาที่เธออยู่ต่อหน้าเขา แต่พอเขาได้รู้จักกับเธอมากขึ้น มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าอันที่จริงแล้ว จ้าวหยานั้นแอบมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับอยู่ไม่มากก็น้อย ทว่าเย่เชียนกลับไม่รู้ว่าตัวเองจะยอมรับความรับอันแสนบริสุทธิ์ของเธอได้อย่างไรกันในเมื่อเขาเองก็มีหลินโรโร่วอยู่แล้วทั้งคน เย่เชียนจึงได้แต่ส่งยิ้มอย่างคลุมเครือให้กับโจวรุหลานเป็นคำตอบ
เมื่อโจวรุหลานเห็นรอยยิ้มอันคลุมเครือนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากเงียบกันไปชั่วอึดใจหนึ่ง โจวรุหลานก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียว่า “เย่เชียน ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันขอตัวไปพักสมองสักหน่อยนะ”
“ถ้างั้นคุณป้าก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมขอตัวก่อน ไว้ผมจะเข้ามากินมื้อค่ำกับคุณป้าและจ้าวหยานะครับ” เย่เชียนพูดพลางลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องหรอก… ฉันคงกินอะไรไม่ลงหรอกคืนนี้ เธอไปกับหยาเอ๋อร์สองคนเถอะ” โจวรุหลานพูด “แต่พรุ่งนี้เช้าเธออย่าลืมมารับฉันไปที่สุสานของฟู่เฉิงด้วยล่ะ”
“งั้นก็ตามนั้นครับ!” เย่เชียตอบอย่างแข็งขันแล้วหันหลังกำลังจะเดินออกจากห้องไป แต่ทว่าเมื่อเขากำลังจะหันไปปิดประตู เย่เชียนก็รู้สึกว่าจู่ ๆ โจวรุหลานนั้นกลับดูแก่ขึ้นเพราะความเหนื่อยล้าอย่างมาก หรือบางทีสิ่งที่เป็นแรงใจให้กับเธอมาโดยตลอดก็คือความรักที่เธอมีต่อเฉินฟู่เฉิง แต่ตอนนี้คนที่เธอรักนั้นได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับแล้ว มันจึงทำให้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจก็เป็นได้