ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 218 ยักษ์ใหญ่แห่งกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ
เมื่อชายชราลึกลับบอกให้ทุกคนในห้องนั่งลงเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ทุกคนก็นั่งลงกันจนหมด เหลือก็แต่ชายหัวโล้นที่บาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติอยู่ที่พื้น กู๋หมิงเซียงที่บ้านหน้ามีรอยฟกช้ำและบวมฉึ่งกับเฝิงซื่อเหลียงที่ยังคงยืนสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ทางด้านหลังของเฝิงเฝิงเท่านั้น
ชายชราลึกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วหันไปพูดกับเฝิงเฝิงว่า “ หึ ๆ ๆ คุณคือเฝิงเฝิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งมลฑลเจียงซูใช่มั้ย ? ที่เขาเรียกกันว่าราชาภูเขาน่ะ ?” พูดจบชายชราก็หันไปพูดกับซูเจี้ยนจุนและจู้ซานต่อ “ส่วนพวกคุณสองคนคงเป็นซูเจี้ยนจุนกับจู้ซาน หนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหนานจิง โอ้… นี่มันสามเสือใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินฟู่เฉิงนี่”
มีเพียงเย่เชียนคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของชายชราลึกลับผู้นี้ ส่วนอีกสามคนที่เหลือที่กำลังถูกชายชราพูดถึงอยู่นั้นก็ได้แต่นั่งงงเป็นไก่ตาแตก เพราะดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้จะรู้จักพวกเขาทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
ชายชรายังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้า เขาพูดต่อไปอย่างเรียบง่ายว่า “เฝิงเฝิง… ที่จริงแล้วฉันก็ไม่ได้อยากมายุ่งอะไรด้วยหรอกนะ แต่ว่าคุณน่ะเป็นคนนอก คุณไม่ควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในเมืองหนานจิงนี่ ส่วนพวกคุณ! ซูเจี้ยนจุน จู้ซาน พวกคุณเป็นลูกผู้ชายแท้ ๆ ทำไมถึงต้องไปยืมมือคนนอกมาใช้ด้วย ? ถ้าอยากได้ความยิ่งใหญ่พวกคุณก็ต้องลงมือทำมันด้วยตัวเองสิ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าพวกคุณคิดจะฆ่าเด็กคนนี้แล้วยึดครองเมืองหนานจิงไป เพราะมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดากับการแย่งชิงอำนาจแบบนี้ แต่ไอ้การที่คุณเอาพาคนนอกมายุ่งด้วยนี่ ถึงต่อไปพวกคุณจะได้ในสิ่งที่พวกคุณอยากได้ แล้วยังไงล่ะ ? พวกคุณคิดว่าผู้คนในเมืองหนานจิงแห่งนี้จะไม่ดูถูกพวกคุณงั้นรึว่าจริง ๆ แล้วพวกคุณก็แค่เป็นคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีน่ะ ?”
“นี่… ไอ้หนู” ชายชราหันไปพูดกับเย่เชียน “เอ็งคิดว่าพวกเขาเหมาะสมแล้วเหรอที่จะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในเมืองหนานจิงนี่น่ะ ? แบบนี้มันไม่ถูกนา… ฉันว่าพวกเขาคงรับมือกับเอ็งไม่ไหวหรอกถ้าเอ็งคิดจะมาเปลี่ยนแปลงและทำการใหญ่ที่นี่จริง ๆ น่ะ”
เย่เชียนไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยเท่านั้น
ชายชราไม่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางของเย่เชียน เห็นกันอยู่ชัด ๆ แล้วว่าเขาคนนี้นั้นไม่ใช่คนแก่ธรรมดา ๆ ที่เดินอยู่ตามท้องถนนทั่วไป ถ้าฟังผ่าน ๆ จากคำพูดของเขา ใคร ๆ ก็คงจะอดคิดไม่ได้ว่าชายชราผู้นี้กำลังพูดจาปกป้องเย่เชียนอยู่ อย่างน้อยก็มีสามคนในห้องที่คิดเช่นนั้น
“โอ้… ให้ตายสิ! ฉันลืมแนะนำตัวเองไปเลย ฮ่า ๆ ๆ ฉันชื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยน” ชายชราแนะนำตัวกลั้วเสียงหัวเราะ
ทั้งเฝิงเฝิง ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานต่างก็มองหน้ากันและกันอย่างงงงวย เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขานั้นไม่เคยได้ยินชื่อของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมาก่อน มันทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกสงสัยในตัวของชายชราผู้นี้มากขึ้นกว่าเดิมไปอีก
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ เขาจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ฉันน่ะไม่ได้อยู่วงการเดียวกับพวกคุณ มันก็ไม่แปลกหรอกที่พวกคุณจะไม่เคยได้ยินชื่อของฉันมาก่อน ที่ฉันมาในวันนี้น่ะ ฉันแค่อยากจะมาพูดอะไรสักหน่อย แต่ถ้าพวกคุณไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร…”
“เชิญพูดเลยครับ!” เฝิงเฝิงพูดอย่างสุภาพเนื่องจากเขานั้นยังคงไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน
“สิ่งที่พวกคุณกำลังทำกันอยู่ในตอนนี้นั้น มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามหาความมั่งคั่งและมั่นคงให้กับชีวิตของตัวพวกคุณเองไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมจะต้องมาสู้กันแบบลับ ๆ ด้วยล่ะ ? ในเมื่อพวกเราก็มีการสนับสนุนให้มีการแข่งขันทางธุรกิจอย่างถูกกฎหมายกันอยู่แล้วนี่” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
เมื่อเฝิงเฝิง ซูเจี้ยนจุนและจู้ซานได้ยินคำพูดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน พวกเขาก็รู้สึกเห็นด้วยอยู่เล็กน้อย และแอบคาดเดากันว่าชายชราผู้นี้เป็นคนของทางการหรือเปล่า ? แต่พวกเขารู้จักพวกเจ้าหน้าที่ในเมืองหนานจิงทั้งระดับใหญ่และเล็กเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีคนเช่นนี้อยู่อย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ยิ่งทำให้ความสงสัยในใจของพวกเขายิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนหันมองไปที่เย่เชียนอีกครั้งแล้วพูดว่า “ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาหาเย่เชียนเขาสักหน่อย เพราะฉันกับเขาน่ะพอมีมิตรภาพดี ๆ ระหว่างกันอยู่บ้าง ฉันก็เลยมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะมาขอร้องเขา ถึงเขาจะหัวรั้นไปหน่อย แต่จริง ๆ แล้วเขาก็นิสัยดีและเข้ากับคนง่าย ฉันเชื่อว่าพวกคุณสามารถเป็นพันธมิตรกับเขาได้ จะได้มาร่วมมือกันสร้างความยิ่งใหญ่และพัฒนาเมืองหนานจิงแห่งนี้ไปด้วยกัน มันจะไม่เป็นการดีกว่าเหรอถ้าคนเก่ง ๆ ทั้งหลายมาร่วมมือกันน่ะ ? เพราะถ้าเมืองหนานจิงมีความปั่นป่วนไม่สงบเกิดขึ้น มันก็รังจะมีแต่ผลเสียสำหรับทุกคน… ไม่รู้ว่าที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี่ พวกคุณจะเข้าใจกันบ้างหรือเปล่า ?”
“แล้วคุณเป็นใคร ? คุณยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนถึงได้มาพูดอะไรแบบนี้กับพวกเรา ?” เฝิงซื่อเหลียงพูดขึ้นอย่างโอหัง เพราะตั้งแต่ที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนโผล่มา เขาก็ไม่ได้โอกาสได้ล้างแค้นเย่เชียนอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระและวางมาดต่อหน้าเขาอยู่ได้ ในสายตาของเฝิงซื่อเหลียงนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเป็นเพียงแค่ชายแก่คนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นก็เท่านั้น
แม้ว่าเฝิงเฝิงต้องการที่จะห้ามลูกชายของตัวเองไม่ให้พูดอะไรพล่อย ๆ ออกไป แต่มันก็สายไปเสียแล้ว! เพราะตอนนี้เซียวหวันนั้นได้พุ่งตัวไปกระชากคอเสื้อของเฝิงซื่อเหลียงอย่างแรงและตะโกนว่า “หยาบคาย!” ไม่เพียงเท่านั้นแต่เซียวหวันยังตบเฝิงซื่อเหลียงไปอีกสามทีจนทำให้ฟันของเขาหลุดออกมาจากปากพร้อมกับเลือดสด ๆ
“นี่แก! แกกล้าตบฉันเหรอ ? พ่อ!” เฝิงซื่อเหลียงเอามือกุมใบหน้าของตัวเองพร้อมกับอ้าปากฟ้องพ่อ
“หุบปาก!” เฝิงเฝิงตะโกนใส่เฝิงซื่อเหลียงอย่างเดือดดาล จากนั้นเขาก็หันไปมองหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วพูดว่า “ลูกของผมทำตัวไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ผมหวังว่าคุณคงจะไม่ถือสา”
ไม่มีคำขอโทษหลุดออกมาจากปากของเฝิงเฝิงแต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดแล้วเฝิงเฝิงนั้นก็ยังคงคิดว่าตัวเองก็เป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลเช่นกัน เขาจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อคำพูดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนสักเท่าไหร่
ทางด้านของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็ไม่ได้แยแสเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ เขายังคงพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมว่า “ไม่เป็นไร ๆ เขายังเด็กอยู่… แต่น่าเสียดายนะ ฉันเกรงว่าเขาจะไม่สามารถเติบใหญ่ได้ดั่งเสือเหมือนกับพ่อของเขาน่ะ”
เฝิงเฝิงคิดว่าถึงเฝิงซื่อเหลียงจะเติบโตมาเป็นยังไง แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าเฝิงซื่อเหลียงนั้นก็ยังคงเป็นลูกชายของเขาอยู่ดี แม้ว่าความหวังที่เขานั้นอยากจะให้ลูกชายมีความยิ่งใหญ่ได้อย่างตัวเองมันจะดูริบหรี่ก็ตาม
“คุณหวงฟู่… ผมว่าลูกน้องของคุณน่ะออกจะทำเกินไปหน่อยนะ คุณโอเคกับการกระทำแบบนี้ของเขางั้นเหรอ ?” เฝิงเฝิงพูดด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา…
“หรือคุณอยากลองด้วยมั้ยล่ะ ?” เซียวหวันถามอย่างเกรี้ยวกราด “ราชาแห่งขุนเขาอะไรกัน นี่มันแค่ตัวตลกใส่สูทก็แค่นั้น”
“เซียวหวัน…” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดปรามเธอเรียบ ๆ ทว่าไม่มีน้ำเสียงของการตำหนิใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เฝิงเฝิงรู้สึกว่าวันนี้มันเป็นวันที่เขาต้องถูกหยามหน้าถึงสองครั้งด้วยกัน ตอนแรกก็เย่เชียน แล้วมาตอนนี้ก็สาวน้อยที่ชื่อเซียวหวันคนนี้อีก หากเฝิงเฝิงปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดไปมากกว่านี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ในฐานะราชาแห่งขุนเขาแล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้หน้าของตัวเองกลับมา ซึ่งแน่นอนว่าเข้าจะไม่ไปแยแสกับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ นี่หรอก เขาจึงมุ่งเป้าไปที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเจ้านายของเธอแทน
“คุณหวงฟู่… คุณต้องจัดการกับคนของคุณนะ ไม่เช่นนั้นคุณก็อย่ามาหาว่าผมคนนี้ไม่ไว้หน้าคุณก็แล้วกัน!”
ทว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนกลับไม่ได้โกรธหรือถือสาอะไรเฝิงเฝิง เขายังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีอยู่เช่นเดิม จากนั้นก็พูดว่า “คุณเฝิง… คุณต้องการที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันอย่างงั้นเหรอ ? อะไรกัน ? ฉันเพิ่งจะบอกไปเมื่อกี๊นี้เองหนิว่าพวกเราควรจะร่วมมือกันตามกฎหมายเพื่อทำให้เมืองหนานจิงแห่งนี้ยิ่งใหญ่และก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก”
“นี่คุณยังจะมาพูดจาไร้สาระอะไรอยู่อีก ? จู่ ๆ คนของคุณก็เข้ามาทำร้ายลูกชายผมจนเลือดกบปากแบบนี้ ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย แล้วคุณจะให้ผมเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?!” เฝิงเฝิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “อีกอย่าง… พวกเราเองก็ไม่รู้จักว่าคุณเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ? บางทีคุณอาจจะแต่กำลังตบตาพวกเราแล้วเพิ่งความสามารถของเด็ก ๆ พวกนี้ก็แค่นั้น คุณน่ะอายุปูนนี้แล้ว คุณคิดว่าฉันจะต้องกลัวคุณจนหัวหดเลยรึไง ?”
“จองหอง! นี่คุณกำลังท้าทายอำนาจกฎหมายของประเทศอย่างโจ่งแจ้งอย่างงั้นเหรอ ? หึ ๆ ๆ อย่าบอกนะว่าคุณน่ะคิดว่าฉันเป็นแค่คนแก่ธรรมดา ๆ คนนึงที่แกล้งมาตบตาพวกคุณน่ะ ?” ใบหน้าของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมืดมนลง
ปึง!
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนทุบโต๊ะอย่างแรงและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “จื่อจุน เซียวหวัน… พาเขามาคุกเข่าต่อหน้าฉัน! ดูซิว่าเขาจะเป็นราชาแห่งขุนเขาหรือเป็นแค่กบฏแห่งชาติกันแน่”
“ครับ! ค่ะ!” จื่อจุนและเซียวหวันตอบพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปหาเฝิงเฝิงและล็อคตัวเขาเอาไว้
เย่เชียนฉีกยิ้มและพูดว่า “ปู่… ผมไม่เคยเห็นปู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้มาก่อนเลย ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะ เพลา ๆ ความโกรธของปู่ลงก่อน”
แต่จริง ๆ แล้วในสายตาของเย่เชียน มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะอย่างยิ่ง เพราะเฝิงเฝิงนั้นมองตัวเองสูงส่งและยิ่งใหญ่เกินไป และแม้แต่คนอย่างเย่เชียนเองก็ยังไม่กล้าที่จะพูดแบบนี้กับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างเกรี้ยวกราดเช่นนี้เลย
ทันทีที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดเช่นนั้น เฝิงเฝิงก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปเมื่องครู่นี้ทันที เพราะแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะเป็นคนที่หยิ่งผยองแค่ไหนก็ตาม แต่ถึงยังไงแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนผู้นี้ก็เป็นถึงคนใหญ่คนโตของรัฐบาลอยู่ดี ซึ่งไม่ว่าเฝิงเฝิงนั้นจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนหรือเป็นผู้ที่ทุกคนนั้นสรรเสริญและรู้จักกันดีในมณฑลเจียงซูก็ตาม แต่ถึงยังไงแล้วเขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับบุคคลที่ทรงอำนาจระดับประเทศได้อยู่ดี แน่นอนว่าเขานั้นกำลังมองหาความตายของตัวเองเมื่อต้องต่อสู้กับคนระดับประเทศอย่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยน
เฝิงเฝิงยังคงฉลาดและมีไหวพริบดีอยู่ เขาจึงไม่ต่อต้านใด ๆ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเขาขัดขืนและยังคงหยิ่งผยองอยู่ล่ะก็ ชีวิตของเขาก็จะต้องจบลงอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน จากสิ่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดเมื่อครู่นี้ทั้งหมด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ต้องการที่จะกำจัดพวกเขาไปให้พ้นทางแต่อย่างใด แต่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเพียงแค่ต้องการให้เมืองหนานจิงแห่งนี้สงบและมั่นคงเพียงเท่านั้น เพราะงั้นเฝิงเฝิงก็ได้แต่เฝ้าหวังว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคนนี้จะปล่อยเขาไปหากเขาไม่ขัดขืนและต่อต้านใด ๆ อีก
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนลุกขึ้นยืนช้า ๆ และกวาดสายตามองไปที่ทุกคนในห้องรวมไปถึงเย่เชียนด้วย จากนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่พวกคุณทำอยู่และกำลังจะทำ! ฉันไม่ต้องการให้มันเกิดความวุ่นวาย แล้วถ้าพวกคุณยังคิดจะก่อปัญหากันขึ้นมาล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน!”
เย่เชียนยักไหล่อย่างเฉยเมย ในขณะที่เฝิงเฝิง ซูเจี้ยนจุน จู้ซานและคนอื่น ๆ นั้นต่างก็ตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“โอ้… ฉันลืมบอกพวกคุณไป ฉันดูแลสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติอยู่ แล้วถ้าหากพวกคุณเป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยและคุกคามความมั่นคงของชาติล่ะก็ พวกคุณทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้เขตอำนาจของฉัน พวกคุณคงจะรู้นะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยต้องการที่จะเข้ามาแทรกแซงสิ่งเหล่านี้เลย… แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ฉันจะไม่ว่าอะไรพวกคุณเลยถ้าพวกคุณอยากที่จะมาท้าทายฉัน แต่ถ้าพวกคุณกล้าที่จะดูหมิ่นท้าทายกฎหมายและสร้างความวุ่นวายแล้วล่ะก็ ฉันเตือนดี ๆ แล้วนะ! แล้วอย่ามาหาว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคนนี้โหดเหี้ยมทีหลังก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินว่าชายชราตรงหน้าของพวกเขาเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติแล้ว เฝิงเฝิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก ขาของจู้ซานสั่นระริกจนแทบจะทรุดเข่าลงไปอย่างสิ้นหวัง พวกเขารู้ตัวอย่างชัดเจนว่าต่อหน้าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนผู้นี้แล้ว พวกเขาไม่มีค่าแม้แต่จะเทียบได้กับขยะข้างถนน แล้วนับประสาอะไรกับการไปท้าทายเขา เพราะนั่นคือการรนหาที่ตายชัด ๆ
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนมองไปที่ซูเจี้ยนจุนและพูดว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณ! คุณกล้าที่จะลักพาตัวนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้ยังไง! คุณรู้หรือไม่ว่านักศึกษาเหล่านั้นเป็นเสาหลักและอนาคตของชาติ! คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่!”
ซูเจี้ยนจุนสั่นไปทั้งตัวและพูดอย่างร้อนรนว่า “ผู้อำนวยการหวงฟู่ครับ… คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณน่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเฉินฟู่เฉิงนั้นถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเลย ผมแค่เชิญหลานสาวจ้าวหยามาเยี่ยมก็แค่นั้นเอง”
“เอาเถอะ… เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความดูแลของฉัน เพราะงั้นฉันจะไม่สนใจและไม่ไปก้าวก่ายก็แล้วกัน คุณคงรู้ตัวแหละว่ากำลังทำอะไรอยู่! พวกคุณทุกคนคงจำสิ่งที่ฉันพูดไปได้ใช่มั้ยว่า ฉันยินดีต้อนรับและสนับสนุนส่งเสริมการแข่งขันกันทางธุรกิจกันตามกฎหมาย แต่ถ้าพวกคุณกล้าที่จะทำสิ่งที่ผิดกฎหมายใด ๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองล่ะก็… ฉันเตือนไปแล้วนะ จำไว้ให้ดี!”
จากนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เหลือบมองไปที่เฝิงเฝิง แล้วพูดกับจื่อจุนและเซียวหวันว่า “ปล่อยเขาไป”
“คุณกลับไปที่มณฑลเจียงซูซะ กลับไปทำธุระของคุณเถอะ เมืองหนานจิงนี่ไม่ใช่ที่ของคุณ ฉันจะจดชื่อของคุณลงบัญชีดำเอาไว้ แล้วถ้าคุณยังกล้าที่จะยั่วยุและท้าทายกฎหมายของประเทศอย่างเปิดเผยในอนาคตอีกล่ะก็… ฉันจะหาที่ดี ๆ ในคุกให้คุณไปพักร้อนให้หนำใจเลยคอยดู!”