ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 219 ความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเข้ากันได้
บางครั้งการแก้ไขปัญหาบางอย่างมันก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการด้วย นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนยังคงไม่ตัดสินใจจัดการกับราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงในตอนนี้ เขาต้องการที่จะคอยดูพฤติกรรมของเฝิงเฝิงต่อไปอีกสักพักก่อน อีกอย่างหากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจัดการกับเฝิงเฝิงไปในทันที มันก็อาจจะทำให้มลฑลเจียงซูวุ่นวายได้
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นยังคงนึกถึงสิ่งที่ประเทศชาติต้องการมากที่สุด นั่นก็คือ ความมั่นของและเสถียรภาพ! และการกำจัดเฝิงเฝิงไปในตอนนี้นั้นมันก็ไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมเท่าใดนัก
ก่อนที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะเดินออกจากห้องประชุมไป เขากวาดสายตามองไปที่ทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคนสุดท้ายที่เขาเหลือบมองคือเย่เชียน จากนั้นเข้าก็พูดว่า “มากับฉันซิ ฉันมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย” เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดจบแล้ว เขาก็เดินออกไป ทิ้งไว้เพียงแต่บรรยากาศอันแสนอึดอัดอยู่เบื้องหลัง
เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเดินออกจากห้องไปแล้ว ซูเชี้ยนจุนและจู้ซานก็เหลือบสายตามองไปที่เฝิงเฝิง พวกเขาเห็นใบหน้าของเฝิงเฝิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหดหู่ ความหยิ่งผยองและรังสีออร่าของความยิ่งใหญ่ที่เขามีก่อนหน้านี้นั้นได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งซูเจี้ยนจุนและจู้ซานเองต่างก็คาดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเย่เชียนจะมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ มันทำให้พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่า นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปพวกเขานั้นอาจจะไม่มีที่ยืนในหนานจิงอีกแล้ว พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เชียนเลยแม้แต่นิด ไม่ต้องไปพูดถึงการสร้างปัญหาใด ๆ ในอนาคตเลย
เย่เชียนส่งยิ้มซุกซนทว่ากวนประสาทไปให้เฝิงเฝิงและคนอื่น ๆ ในห้องก่อนที่จะเดินตามหวงฟู่ชิงเตี๋ยนออกไป ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะไม่รู้สึกชอบใจหรืออะไร แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ ? ในเมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นคอยสนับสนุนเย่เชียนอยู่ ? หรืออย่างน้อย ๆ พวกเขาก็คิดเช่นนั้น
ขณะที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนกำลังจะเดินออกไปจากสโมสรหมิงยู่อยู่นั้น เขาก็หันกลับไปมองเย่เชียนและพูดขึ้นว่า “ไอ้หนู… มาดื่มชาด้วยกันสักหน่อยสิ”
“โธ่… ปู่! ผมไม่มีเวลาแล้ววันนี้น่ะ ผมมีธุระที่ต้องไปทำ” เย่เชียนปฏิเสธอย่างเป็นกังวล
“เอ็งไม่ต้องห่วงแฟนของเอ็งหรอกหน่า… ฉันส่งคนไปรับเธอให้แล้ว ป่านนี้เธอคงถึงที่โรงแรมแล้วมั้ง เอาไง ? ที่นี้เอ็งจะไปกับฉันได้รึยัง ?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดอย่างสบายอารมณ์
เย่เชียนพยักหน้าน้อย ๆ ด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็ตอบหวงฟู่ชิงเตี๋ยนไปว่า “ก็ได้ ๆ งั้นผมไปด้วยก็ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในฐานะราชาหมาป่าเย่เชียนนะ ผมพักร้อนอยู่…”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนหัวเราะออกมาด้วยความยินดี จากนั้นก็พูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ มันก็แค่การดื่มชาด้วยกันระหว่างหลานกับปู่เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากหรอก อีกอย่าง… เอ็งก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปกปิดกับฉันนี่ เพราะตั้งแต่เอ็งเดินทางเข้ามาเหยียบแผ่นดินจีน ฉันก็รู้หมดแล้วว่าพวกเอ็งวางแผนที่จะทำอะไรกันอยู่”
“นี่ปู่อย่าบอกนะ… ว่าปู่ส่งคนมาคอยตามดูผมไปนอนกับสาว ๆ น่ะ ?” เย่เชียนพูดหยอกล้อ
“ดูพูดเข้า! เอ็งนี่มันเหลือร้ายจริง ๆ ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด “เอาล่ะ ๆ เลิกพูดเล่นกันได้แล้ว เราไปกันเถอะ! เอ็งไม่รู้หรอกว่ากว่าที่ฉันจะหาโอกาสมาที่เมืองหนานจิงนี่ได้มันยากขนาดไหน เพราะงั้น… ไปดื่มกันดีกว่า”
“เอ้า… ปู่! นี่มันไม่ใช่แค่ดื่มชาแล้วมั้ง” เย่เชียนพูด
“ฮ่า ๆ ๆ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนหัวเราะพลางเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเย่เชียนราวกับว่าเขานั้นเป็นหลานแท้ ๆ คนหนึ่ง แล้วทั้งคู่ก็เดินไปขึ้นรถด้วยกัน
เมื่อจื่อจุนและเซียวหวันที่เดินตามมาอยู่ข้างหลังเห็นทั้งสองคนสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เพราะถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะใจดีอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยที่จะเอ็นดูพวกเขาเหมือนที่ทำกับเย่เชียนเลย ความสัมพันธ์ของพวกเขากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้น มันเหมือนกับความสัมพันธ์แบบเจ้านายและลูกน้องมากกว่า พวกเขานั้นให้ความเคารพต่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนในฐานะผู้อำนวยการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติที่ทั้งมีเกียรติและทรงอำนาจเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศจีน
……
เมืองหนานจิงแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของหกราชวงศ์ ซึ่งโรงน้ำชาหลายแห่งนั้นเป็นธุรกิจที่ถูกสืบทอดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันจึงทำให้การตกแต่งภายในมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมอันเก่าแก่ทว่าสง่างามไปในคราวเดียวกัน
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนกับเย่เชียนนั้นนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ส่วนจื่อจุนและเซียวหวันยังคงยืนอยู่ข้างหลังหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างเคารพเหมือนเช่นเคย
แต่เมื่อหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเห็นทั้งสองคนยังคงยืนอยู่นั้น เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “พวกเธอก็นั่งลงด้วยสิ… ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่หรอก”
เย่เชียนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนกำลังทำเหมือนกับว่าตัวเขานั้นเป็นหนึ่งในพวกพ้องของพวกเขายังไงยังงั้นแหละ
สิ้นเสียงคำพูดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน จื่อจุนและเซียวหวันก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ซึ่งเซียวหวันนั้นนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามของเย่เชียน และทุกครั้งที่เย่เชียนมองไปที่เธอ เขาก็พบว่าเซียวหวันนั้นมักจะชำเลืองมองมาที่เขาอยู่ทุกครั้งไป เมื่อเย่เชียนได้เห็นหน้าของเซียวหวันในระยะใกล้ เขาก็คิดว่าเธอนั้นทั้งสวยและสง่างามมาก ใบหน้าของเธอมันดูช่างลงตัวกันกับบุคลิกแบบทหารที่แอบแฝงอยู่ข้างในได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน
“นี่คุณ! หน้าผมมันมีอะไรแปลกเหรอ ? ทำไมคุณถึงจ้องหน้าผมแบบนั้นล่ะ ? หรือว่า… คุณจะไม่ชอบขี้หน้าผมกันห๊ะ ?” เย่เชียนถามขึ้นด้วยความสงสัย
เซียวหวันถึงกับผงะไปครู่หนึ่งกับคำถามที่เย่เชียนถามเธออย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อเธอเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอก็ตอบเขาไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เอ้า… แล้วคนอย่างนายมันมีอะไรให้น่าชอบบ้างมั้ยล่ะ ?”
“หึ ๆ ๆ สุดสวย! นี่คุณยังจะกล้าถามผมอีกเหรอว่าคนอย่างผมมันมีอะไรให้น่าชอบ ? คุณก็เห็นอยู่แล้วนี้ว่าผมน่ะมันหล่อขนาดไหน คารมผมก็ดี หน้าที่การงานของผมก็ดี แถมยังมีทั้งบ้านมีทั้งรถ ขาดก็แต่ผู้หญิงสวย ๆ อย่างคุณมาให้ผมดูแลนี่แหละ ถ้าผมมีโอกาสได้ทำหน้าที่นั้นล่ะก็นะ ผมจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถผมไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย คุณไม่ชอบเหรอ ?” เย่เชียนพูดจายียวน
“เหอะ! นายมันไอ้พวกคนกะล่อน” เซียวหวันพึมพำเบา ๆ เพราะเธอไม่อยากที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ต่อหน้าของหวงฟู่ชิงเตี๋ยน หากเธอโต้ตอบอะไรกลับไป มีหวังจะได้สู้กันกับเย่เชียนสักตั้ง ซึ่งนั่นมันอาจจะทำให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนต้องขุ่นเคือง
จะว่าไปแล้วหน่วยงานอย่างกระทรวงความมั่นคงแห่งชาตินั้นมีกฎเข้มงวดพอ ๆ กันกับข้อกำหนดและกฎเหล็กของหทารเลยก็ว่าได้ ซึ่งในมุมมองของเย่เชียน เซียวหวันนั้นเป็นแค่หญิงสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง และเขาก็มีวิธีที่จะรับมือกับเธอได้อย่างไม่ยาก ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ เพื่อที่เธอจะได้ไม่สนใจและปล่อยผ่านมันไป
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และพูดต่อไปว่า “ฮ่า ๆ ๆ ที่คุณพูดมาเมื่อกี๊มันก็ไม่ผิดนักหรอก ผมน่ะมันเป็นคนกะล่อนจริง ๆ อย่างที่คุณว่านั่นแหละ แต่อย่างน้อยผมก็เป็นคนกะล่อนที่ดีสำหรับประเทศและผู้คน… ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองไปถามปู่หวงฟู่ดูสิว่าเขาคิดอย่างงั้นหรือเปล่า ?”
แน่นอนว่าเซียวหวันจะไม่ถามหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอย่างแน่นอน เธอเพียงจ้อมเขม็งเย่เชียนและหันหน้าหนีไปอย่างหมดหนทาง
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ พวกเธอทั้งหมดก็เป็นเหมือนกับลูกหลานของฉันนั่นแหละ… ฉันเองก็แก่มากแล้ว พวกเธออย่ามาทะเลาะหรือโกรธเคืองอะไรกันต่อหน้าฉันเลย ถือว่าเห็นแก่คนเฒ่าคนชราเถิด”
เย่เชียนฉีกยิ้มและพูดว่า “เราไม่ได้มาที่นี่กันเพื่อที่คุยเรื่องความสัมพันธ์อะไรกันใช่มั้ยปู่ ?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนมองไปที่เย่เชียนอย่างหมดหนทางและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ในเมืองเอ็งพูดมาอย่างงั้น งั้นเราก็มาเข้าเรื่องกันเลย… ที่ฉันมาเมืองหนานจิงในครั้งนี้ก็เพื่อมาหาเอ็งโดยเฉพาะเนี่ยแหละ ฉันหวังว่าเอ็งจะช่วยฉันได้…”
“อีกแล้วเหรอปู่ !?” ก่อนที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะพูดจบ เย่เชียนก็ขัดจังหวะขึ้นมา “ครั้งล่าสุดที่ผมไปโคลัมเบียเพื่อช่วยปู่… ผมก็เกือบจะตายไปแล้วนะ นี่ปู่อยากให้ผมตายมากขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนยิ้มและส่ายหัวเบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “เย่เชียนเอ๋ย… เอ็งอย่าพูดแบบนี้เลย เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน ส่วนเรื่องค่าตอบแทนเอ็งอยากเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามาได้เลย”
“หนึ่งร้อยล้านหยวน!” เย่เชียนพูดอย่างซุกซนแต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ไอ้หนู! เอ็งนี่มันบ้าจริง ๆ ” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ส่วนจื่อจุนและเซียวหวันที่กำลังฟังอยู่ก็ถึงกับผงะและมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนรีบไอออกมาแก้เขินถึงสองครั้งและยืดตัวของเขาให้ตรง จากนั้นก็พูดว่า “หลานเย่ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าสำนักงานของฉันก็มีงบประมาณที่จำกัดเหมือนกันน่ะ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเบิกเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาได้”
“แล้วปู่จะให้เท่าไหร่ล่ะ ?” เย่เชียนพูด
“หนึ่งแสนดอลล่าร์!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“โธ่! ปู่… ทำไมขี้เหนียวจัง ? ต่อรองตั้งขนาดนี้หน่วยงานของปู่ไม่ใจป้ำเอาซะเลย เงินไม่มี… งานไม่เดินนะ!” เย่เชียนพูดพร้อมทำหน้ามุ่ย
“ไอ้หนู… นี่เอ็งจะเอาแบบนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย ? ได้… ถ้าอย่างงั้น… จื่อจุน! เซียวหวัน! จัดการเขาซะ!” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดน้ำเสียงจริงจัง ส่วนจื่อจุนและเซียวหวันก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ
เย่เชียนจึงยื่นมือออกไปและพูดว่า “เข้ามาสิ! เข้ามาเลย!”
ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นรู้ถึงคุณธรรมและความดีของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนคนนี้เป็นอย่างดี ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมักจะใช้กลอุบายนี้กับเขาทุกครั้งเพื่อแกล้งลูกน้องของเขาเอง และเย่เชียนก็เคยชินกับวิธีการนี้มาตั้งนานแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็หัวเราะและพูดว่า “ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่นหน่า… ฉันแค่ล้อเล่นเฉย ๆ แหม่! เราสองคนสนิทกันขนาดนี้แล้วฉันจะไปทำอย่างงั้นได้ยังไงเล่า อีกอย่างเอ็งก็น่าจะรู้ดีหนิว่าถ้าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเอ็งจริง ๆ ล่ะก็ ฉันคงไม่ถ่อสังขารมาหาเอ็งด้วยตัวเองถึงที่ขนาดนี้ ในเมื่อคนของสำนักงานกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติเขาไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ให้ฉันได้นี่นา”
เย่เชียนขมวดคิ้วเล้ฏน้อย ก่อนที่จะถามออกไปว่า “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะปู่ ?”
“เอ็งจำได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนเครื่องบินไฟลต์ที่เอ็งบินมาที่ประเทศจีนนี่น่ะ ?” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตอบด้วยคำถาม
เย่เชียนพยักหน้าเป็นคำตอบ ในใจเขาเริ่มครุ่นคิดว่าหากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาทุกย่างก้าวตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาเข้ามาเหยียบแผ่นดินจีนขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่าตัวเขาเองนั้นอาจจะประมาทเสียจนมองข้ามหลาย ๆ อย่างไปเสียหน่อย
“เอ็งจำเหตุการณ์ปล้นเครื่องบินบนไฟล์ตนั้นได้มั้ย ? ถึงแม้ว่าคำอธิบายของบุคลากรจากสนามบินจะรายงานว่าเหตุการณ์คลี่คลายเพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนเครื่องบินที่วิสามัญผู้ก่อการร้ายก็ตาม… แต่ฉันรู้ดีว่าคนที่จัดการเรื่องยุ่งยากนั่นต้องเป็นเอ็งแน่ ๆ เอาจริง ๆ จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกผู้ก่อการร้ายพวกนั้นมันไม่ง่ายเหมือนการปล้นทรัพย์สินที่มีค่าหรือเรียกค่าไถ่จากพวกเศรษฐีหรอก เอ็งลองคิดดูสิว่าใครมันจะบ้าถึงขนาดไปปล้นเครื่องบินอย่างโง่ ๆ แบบนั้น ? พวกมันน่ะมีจุดประสงค์อื่น!”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เย่เชียนเองก็แอบสงสัยมานานเช่นกัน ก็อย่างที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดนั่นแหละว่าใครมันจะโง่ถึงขนาดไปปล้นเครื่องบินเพื่อทรัพย์สินและของมีค่าจากเศรษฐีพวกนั้นอย่างโจ้งแจ้งขนาดนั้น ? เพราะโทษสถานหนักของการกระทำนี้มันถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว ที่สำคัญพวกผู้ก่อการร้ายจะพกอาวุธหนักครบมือเหล่านั้นขึ้นเครื่องบินได้อย่างไร ? การตรวจสอบ มาตรฐานความปลอดภัยและเครื่องตรวจจับของสนามบินมันเป็นเพียงเบื้องหน้าที่จัดแสดงตกแต่งไว้โง่ ๆ อย่างงั้นหรือ ? เห็นได้ชัดเลยว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน แต่ทว่าเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะสงสัยเล็กน้อยในเวลานั้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เจาะลึกถึงเรื่องนี้ แล้วพอมาตอนนี้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนกลับมาพูดย้ำเรื่องเก่า ๆ เย่เชียนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงถามไปว่า “แล้วจุดประสงค์จริง ๆ ของพวกมันคืออะไรกันล่ะ ?”
“มันมีสิ่งที่เป็นตำนานอยู่บนเครื่องบินลำนั้นด้วย… มีรายงานว่ามันคือพระบรมสารีริกธาตุที่พระศากยมุนีทิ้งไว้เมื่อสิ้นพระชนม์ สิ่งนี้แหละที่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
เย่เชียนขมวดคิ้วและนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น เขาจำได้ลาง ๆ ว่ามีพระภิกษุท่านหนึ่งนั่งอยู่บนเครื่องบินด้วย ซึ่งท่านนั่งอยู่เบาะด้านหลังของเขาและถือกล่องบางอย่างอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะคือสิ่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนบอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดต่อไปว่า “ของสิ่งนี้ถือเป็นสมบัติที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดของประเทศจีนเรา ซึ่งอ้างอิงจากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจากงานวิจัยในบันทึกของราชวงศ์ชิงนั้น พระบรมสารีริกธาตุนี้ถูกยึดครองไปโดยกองกำลังพันธมิตรจากแปดชนชาติ! จนกระทั่งในที่สุดเราก็พบที่อยู่ของพระบรมสารีริกธาตุนี้ ซึ่งหลังจากการเจรจาหลายต่อหลายครั้งจากหลายฝ่ายหลายประเทศ ในที่สุดชาติเราก็มีโอกาสที่จะได้ของล้ำค่าของชาติกลับคืนมาสู่บ้านเกิดของเราเสียที”