ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 234 การบริหารของซ่งหลัน
“ในเมื่อพี่หลัวจ้านตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว ผมก็จะไม่ขัด” เย่เชียนพูด
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเคยพบกับหลัวจ้านเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็รู้ดีว่าคนอย่างหลัวจ้านนั้นถ้าได้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้ว มันก็ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง
“ขอบคุณมากประธานเย่… อันที่จริงแล้วฉันเองก็รู้สึกละอายใจต่อท่านประธานเฉินมาก ทั้งที่เขานั้นเพิ่งจะจากพวกเราไปเองแท้ ๆ แต่ฉันกลับเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็นั่นแหละ งานเลี้ยงย่อมมีวันต้องเลิกราจริงมั้ย ? แต่อย่างที่บอกถ้าประธานเย่ต้องการความช่วยเหลือก็เรียกผมได้ทุกเมื่อเลย” หลัวจ้านพูดด้วยความรู้สึกผิดและจริงใจ
“เรื่องนั้นไว้เราค่อว่ากันก็ได้” เย่เชียนพูดพลางตบไหล่ของหลัวจ้านเบา ๆ “ไว้พี่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ อย่าลืมแวะมาดื่มชากับผมนะครับ”
“ได้เลย!” หลัวจ้านพูด “งั้นฉันไปล่ะ”
เย่เชียนพยักหน้า ในขณะที่หลัวจ้านนั้นหันไปมองที่ผู้บริหารแต่ละคนอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดส่งท้ายว่า “ฉันไปก่อนล่ะทุกคน หวังว่าเจอกันคราวหน้าพวกเราจะยังเป็นเพื่อนกินเพื่อนดื่มกันได้เหมือนเดิมนะ!”
คำพูดของหลัวจ้านนั้นออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจของเขา ทว่าขณะเดียวกันมันก็เป็นเสมือนคำเตือนอีกด้วย ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็พยายามยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ เว้นก็แต่เฉิงเหวิน หม่าชานเหอและหยูซิงเท่านั้นที่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
เย่เชียนเดินออกไปส่งหลัวจ้านเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขา
“ผมเชื่อว่าทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานนั้นกำลังสร้างพันธมิตรขึ้นมาใหม่ และเมื่อวานนี้พวกเขาก็เริ่มเข้ามาโจมตีพวกเราผ่านทางตลาดหุ้น มันทำให้หุ้นหลายตัวของบริษัทเราราคาร่วงลงไปหลายเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว พวกคุณมีความเห็นกันว่ายังไงกับเรื่องนี้ ?”
“ประธานเย่… ผมคิดว่าซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานน่ะกำลังพยายามกอบโกยผลกำไรจากการปั่นราคาหุ้นของเรา การกระทำเช่นนี้มันจะช่วยให้พวกเขาสามารถซื้อหุ้นราคาถูกเพื่อครอบครองหุ้นได้ในจำนวนที่มากขึ้น ตอนนี้พวกเขามีทั้งหุ้นเดิมของตัวเอง หุ้นใหม่ของกู๋หมิงเซียงและกำลังทยอยซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายเล็กที่กระจัดกระจายหมุนเวียนอยู่ภายนอกด้วย ถ้าเราต้องการที่จะรักษาเสถียรภาพของหุ้นเอาไว้ พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเลยทีเดียว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ผมคิดว่าแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เราคงยังไม่สามารถดึงราคาหุ้นให้ขึ้นมาสูงเท่าเดิมได้หรอกครับ แล้วถ้ารอบนี้เราตัดสินใจใช้เงินจำนวนมหาศาล ผมเกรงว่าถ้าฝ่ายนั้นโต้เรากลับอีกระลอก เราจะไม่มีเงินทุนมากพอในการจัดการนะครับ แต่ในทางกลับกันฝ่ายนั้นพวกเขาเองก็มีเงินทุนที่จำกัดและน้อยกว่าพวกเราอย่างมากเช่นกัน และมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาลงทุนในสงครามตลาดหุ้นแข่งกับเรา พวกเขาอาจจะจำเป็นต้องยอมกู้เงินมาจำนวนมหาศาลจากธนาคารและเสียดอกเบี้ยสุดแพง จนท้ายที่สุดพวกเขาอาจจะถึงขั้นต้องล้มละลายครับ” หยูซิงอธิบายช้า ๆ เขานั้นเป็นถึงนักศึกษาเกียรตินิยมแห่งปีด้านตลาดหุ้นโดยตรง ทำให้เขารู้เรื่องเหล่านี้มากกว่าผู้บริหารคนอื่น ๆ อย่างมาก
“อืม…” เย่เชียนพูดพลางใช้ความคิด “แล้วคุณว่าเราควรจะใช้วิธีไหนในการโต้กลับดี ?”
“การกู้เงินกับธนาคารนั้นมันเป็นสินทรัพย์ถาวรติดตัว ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่กดดันอย่างมากเรื่องภาษีและดอกเบี้ย เท่าที่ผมรู้มาซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานนั้นไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่ต้น พวกเขามีแค่เงินทุนและกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งจะเปิดโครงการล่าสุดเพียงเท่านั้น และด้วยวิธีการบางอย่างเราอาจจะสามารถทำให้ลูกค้าของพวกเขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบอสังหาริมทรัพย์ของพวกเขาหรือปัญหาด้านสาธารณูปโภค… จากนั้นห่วงโซ่เงินทุนของพวกเขาก็จะถูกตรวจสอบและถูกควบคุมจากธนาคารอย่างเคร่งครัด ส่วนด้านอื่น ๆ รวมไปถึงเงินทุนสำหรับค่าบำรุงของอุตสาหกรรมการบันเทิงของพวกเขามันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะมันมีอยู่หลายวิธีที่จะโจมตีพวกเขาและสร้างความวุ่นวายให้พวกเขาจนทำให้พวกเขาไม่สามารถจดจ่อกับตลาดหุ้นได้เลย” หยูซิงพูด “ตราบใดที่ผมยังอยู่… ผมเอาหัวเป็นประกันเลยว่าแค่ดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารที่พวกเขากู้เพียงอย่างเดียวนั้น มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาแทบอยากจะลืมหายใจกันไปเลย”
เย่เชียนได้ฟังก็ค่อนข้างที่จะตกตะลึงกับเรื่องนี้ แต่เขาก็พอเข้าใจว่าสิ่งที่หยูซิงพูดมานั้นมันสมเหตุสมผลมาก เพราะตราบใดที่ซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานนั้นไม่สามารถทำเงินทุนของพวกเขาให้กลับมาหมุนเวียนได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะไม่สามารถสร้างความวุ่นวายในตลาดหุ้นได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็จะได้ไม่ต้องกังวลไปกับคำพูดของปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติด้วย เพราะซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานคงจะไม่ใช้วิธีที่ผิดกฎหมายเหล่านั้นอย่างแน่นอน ทว่านั่นมันก็เป็นแค่การคาดเดาของเย่เชียนเอง เพราะไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าพวกนั้นจะกล้าทำหรือไม่
“สิ่งที่ผู้จัดการหยูพูดมามันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี… แต่นั่นมันก็เป็นเพียงขั้นตอนของการรับมือเท่านั้น” จู่ ๆ ซ่งหลันก็พูดขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของคนในห้อง
ซ่งหลันยิ้มอย่างมีเสน่ห์ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “วิธีการของผู้จัดการหยูน่ะไม่เลวเลย… แต่กุญแจสำคัญของวิธีการนี้ก็คือการรอดูว่าระหว่างพวกเราและพวกเขาใครจะสามารถยืนหยัดได้นานมากกว่ากันอย่างนั้นใช่มั้ย ? แต่ฉันเกรงว่าถ้าพวกเขารู้ตัวว่ามันมีบางอย่างผิดปกติในระหว่างการดำเนินการล่ะก็ พวกเขาอาจจะไหวตัวทันและฮุบเงินจำนวนมากเก็บกันเอาไว้ก่อน ซึ่งข้อดีของเรื่องนี้ก็คือพวกเขาก็จะถอนตัวออกไปจากตลาดหุ้นอย่างสมบูรณ์และเราจะชนะในที่สุด แต่ฉันว่ามันก็ยังมีอีกทางคือ การแสร้งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเราไม่สามารถโต้กลับใด ๆ ได้เลย แล้วปล่อยให้พวกเขาอัดฉีดเงินเข้าไปในหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเราค่อยโถมทุกอย่างใส่พวกเขา ซึ่งวิธีการนี้มันจะไม่มีที่ว่างและโอกาสสำหรับพวกเขาในการพลิกแพลงหรือแก้ไขได้เลย ส่วนแผนการและรายละเอียดทั้งหมดนั้น ฉันได้เตรียมเอาไว้หมดแล้ว”
คำพูดและท่าทีอันมั่นอกมั่นใจของซ่งหลันทำให้เย่เชียนที่นั่งฟังอยู่นั้นยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะเขานั้นเชื่อมั่นในฝีมือของซ่งหลันมาโดยตลอด
“ทุกคน… ผมขอแนะนำให้รู้จักกับคุณซ่ง ชื่อเต็ม ๆ ของเธอคือ ซ่งหลัน ผมเป็นคนเชิญเธอมาเพื่อจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น พวกคุณอาจจะไม่รู้จักเธอ แต่ผมพูดได้เลยว่าเธอคนนี้นี่แหละที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตการเงินของอเมริกาใต้ในครั้งนั้น ซึ่งผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งเลยว่าคุณซ่งคนนี้จะสามารถสยบพายุลูกนี้ได้ และบริษัทของเราก็จะสามารถลดการสูญเสียได้น้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเราอาจจะสามารถทำกำไรจากมันได้มากขึ้นอีกด้วย” เย่เชียนพูดช้า ๆ
เหล่าผู้บริหารต่างก็ตกตะลึงกันอย่างมาก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมและสรรเสริญบุคคลที่สามารถมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของอเมริกาใต้ได้ ซึ่งคนที่สามารถทำให้เกิดวิกฤตการเงินในอเมริกาใต้นั้นจะต้องไม่ใช่คนที่ธรรมดา ๆ เช่นพวกเขาอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาคิดเช่นนั้น พวกเขาต่างก็พากันรู้สึกว่าเย่เชียนนั้นเหมือนมีพลังวิเศษบางอย่าง เพราะพวกเขานั้นรู้เรื่องที่เย่เชียนไปพบกับซูเจี้ยนจุนและจู้ซานในวันนั้น ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้จักกับผู้อำนวยการกระกรวงความมั่นคงแห่งชาติ แล้วมาตอนนี้เย่เชียนก็ยังรู้จักกับบุคคลที่สุดยอดของวงการนักธุรกิจอีก
ซ่งหลันเหลือบมองเหล่าผู้บริหารพวกนั้นด้วยความพึงพอใจแล้วพูดว่า “ฉันอยากจะเล่าเรื่องอะไรให้พวกคุณฟังสักเรื่องหนึ่ง… ระหว่างการซ้อมรบทางทหาร มีเจ้าหน้าที่บางส่วนได้รับคำสั่งให้รอเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดที่สถานที่ที่ถูกกำหนดเอาไว้ แต่ทว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นกลับไม่มาสักที เมื่อหัวหน้าทีมชุดปฏิบัติการเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังปลูกผักอยู่ในทุ่งนา หัวหน้าทีมคนนั้นจึงเดินเข้าไปหาและถามหญิงชราคนนั้นว่า ‘คุณป้า… คุณเห็นนกเหล็กบินผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า ?’ หญิงชราก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบเขาไปว่า ‘ฉันไม่เห็นนกเหล็กเลยสักตัว..ฉันเห็นแต่เฮลิคอปเตอร์น่ะ’”
ทุกคนในห้องประชุมกำลังสูญเสียอาการและตกตะลึงอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นไม่เข้าใจความหมายของเรื่องที่ซ่งหลันเล่าเลย พวกเขาต่างก็รู้สึกงุนงงไปตาม ๆ กันว่าทำไมเธอถึงได้เล่าเรื่องอะไรที่ในน่าขันเช่นนี้ออกมา
ซ่งหลันเหลือบมองคนในห้องอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดต่อไปว่า “ฉันจะเล่าอีกเรื่องให้ฟัง… มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งไปเที่ยวที่สวนสัตว์เพื่อดูลิงอุรังอุตัง เมื่อเขาเห็นลิงตัวนั้นเขาก็ทักทายมัน ซึ่งลิงตัวนั้นก็เลียนแบบท่าทางการทักทายของเขา เขาจึงแลบลิ้นใส่ลิงตัวนั้น ซึ่งลิงตัวนั้นก็ยังคงเลียนแบบการกระทำของเขาเหมือนเดิม หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวคนนั้นก็เอามือปิดตาตัวเองเพื่อให้ลิงตัวนั้นเลียนแบบเขา แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ทำตามเขา ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับตบเขาอย่างไม่คาดคิด ในสายพันธุ์ของลิงนั้นการปิดตาหมายถึงการดุอีกฝ่ายว่าโง่ เพราะฉะนั้นลิงตัวนั้นก็เลยตบเขา และเมื่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีคนไปสวนสัตว์นั้นเพื่อแกล้งลิงตัวนั้น ซึ่งในตอนแรกเขาทักทายลิงตัวนั้นเหมือนที่ได้ยินมาซึ่งลิงตัวนั้นก็ทำท่าทางตามอย่างที่ได้ยินมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็หยิบไม้ขึ้นมาและตีเข้าไปที่หัวตัวเอง แล้วยื่นไม้นั้นให้ลิงตัวนั้น แต่ทว่าลิงตัวนั้นกลับไม่ได้เลียนแบบ แต่มันกลับปิดตาตัวเองเพื่อด่านักท่องเที่ยวคนนั้นว่าโง่แทน”
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องประชุมก็ยิ่งสับสนและงงงวยกันไปหมด พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องตลกเหล่านี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ซ่งหลันยิ้มอย่างมีเสน่ห์ จากนั้นเธอก็พูดว่า “เรื่องราวเหล่านี้มันบ่งบอกเราว่าคนเรานั้นไม่ควรเห็นแก่ตัวและโลภมากจนเกินไป เราไม่ควรปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโง่เขลาและไร้เกียรติ ซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานนั้นไม่เหมือนฉันกับเย่เชียน เพราะงั้นพวกคุณต้องทำตามแผนของฉันในครั้งนี้ และอย่ามาโทษว่าฉันเป็นคนหยาบคายหรืออะไร เพราะในพจนานุกรมของฉันนั้นมันไม่มีคำว่าลับหลัง! ฉันหวังว่าพวกเราทุกคนจะสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้ามารับผิดชอบแผนธุรกิจของบริษัทนี้อย่างเต็มที่ และจะช่วยพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างในธุรกิจของพวกคุณ พวกคุณต้องรายงานให้ฉันทราบทุกครั้งและรอการตัดสินใจของฉันเพียงเท่านั้น จงอย่าคิดว่านี่มันเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของพวกคุณ เพราะฉันเชื่อว่าพวกคุณคงไม่ต้องการให้ทรัพย์สินของตัวเองตกไปอยู่ในกำมือของคนอื่นและกลายเป็นการสูญเปล่าใช่มั้ย ?”
คำพูดของซ่งหลันนั้นนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่นไปในคราวเดียวกัน มันเผยให้เห็นถึงความเคร่งครัดและเฉียบขาด ซึ่งทำให้ผู้บริหารเหล่านี้ตกใจกลัวในทันที ในขณะที่เย่เชียนเองก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเดิมทีเขานั้นวางแผนที่จะใช้ท่าทีที่ดูกดดันเพื่อสยบผู้บริหารเหล่านี้เช่นกัน แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป… คำพูดของคุณซ่งจะเป็นดั่งคำขาดของเย่เชียนคนนี้ ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งของเธอเหมือนอย่างที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผม ผมจะฝากแผนธุรกิจต่าง ๆ ให้คุณซ่งดูแล พวกคุณมีความคิดเห็นหรืออะไรมั้ย ?” เย่เชียนพูดอย่างสง่าผ่าเผย
“ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของประธานเย่… ถ้าคุณซ่งมีคำสั่งใด ๆ ในอนาคตล่ะก็ หม่าชานเหอคนนี้จะทำให้ดีที่สุด” หม่าชานเหอประกาศจุดยืนของเขาก่อนคนแรก จากนั้นเฉิงเหวินและหยูซิงก็เห็นด้วย และเมื่อเห็นเช่นนี้เหล่าผู้บริหารคนอื่น ๆ ต่างก็ยกมือเห็นด้วยเช่นกัน
……
หลังจากการประชุมแล้วเย่เชียนก็แยกตัวออกจากอู๋หวนเฟิงและซ่งหลันและปล่อยให้เธอเตรียมการตามแผนของเธอไป ซึ่งเย่เชียนก็ดูเชื่อมั่นอย่างมากว่าจู้ซานและซูเจี้ยนจุนได้พ่ายแพ้ให้กับซ่งหลันไปแล้ว
สถานการณ์เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างมาก แต่ซ่งหลันก็สามารถจัดลำดับความสำคัญได้อย่างดี เธอไม่ได้รบกวนอะไรเย่เชียนเลย แต่ทว่าเย่เชียนก็เชื่ออย่างยิ่งว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปได้แล้วซ่งหลันก็จะลากตัวเขาไปทรมานกายและใจอีกครั้งอย่างแน่นอน
หลังจากออกจากสโมสรแล้ว จู่ ๆ เย่เชียนก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนอีกครั้ง เขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าปู่คนนี้จะต้องมาให้ตัวเองช่วยอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งภารกิจครั้งล่าสุดก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าและไม่ได้นำพระบรทสารีริกธาตุกลับคืนมาอีกด้วย แถมตอนนี้หมาป่าผีไป๋ฮวยก็อาจจะเดินทางออกจากประเทศจีนไปแล้ว แต่ทว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งชาติกำลังเผชิญกับผลกระทบที่ร้ายแรงจากซีไอเออยู่