ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 238 โทสะของผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลาง
“นี่คุณตั้งใจเข้ามาสร้างความวุ่นวายในนี้อย่างงั้นใช่มั้ย ? ในเมื่อเป็นแบบนี้คุณอย่ามาหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน!” ผู้จัดการคนนั้นพูดพลางจ้องเขม็งไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยด้วยความโกรธ
สิ้นเสียงคำพูดของผู้จัดการบาร์ บอดี้การ์ดทั้งห้าคนก็พุ่งตัวเข้าโจมตีหวงฟู่เส้าเจี๋ยทันที ถึงแม้ว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจมากเท่าเย่เชียน แต่เขาก็ไม่ได้มีฝีมือด้อยไปกว่าใครเลย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ถูกพิจารณาการเลื่อนยศในกองทัพเหมือนอย่างทุกวันนี้
หวงฟู่เส้าเจี๋ยเห็นดังนั้นเขาก็ง้างหมัดขึ้นด้วยความมั่นใจ พร้อมกันนั้นก็พุ่งตัวสวนเข้าไปต่อยชายที่อยู่ข้างหน้าสุด
ขณะเดียวกันนั้นเองเย่เชียนและอู๋หวนเฟิงก็นั่งดูหวงฟู่เส้าเจี๋ยต่อสู้กับบอดี้การ์ดพวกนั้นอย่างสบายใจเฉิบ พวกเขายกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกันโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดใจที่ตัวเองนั้นเหมือนกับโดนทิ้งให้ต่อสู้อยู่คนเดียวทั้งที่ก่อนมาเย่เชียนเป็นคนบอกกับเขาเองแท้ ๆ ว่าจะมาลุยด้วยกัน
การเป็นลูกศิษย์ของเย่เชียนนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
ในที่สุดบอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ถูกหวงฟู่เส้าเจี๋ยจัดการจนร่วงลงไปนอนกองกับพื้นจนได้ เมื่อเห็นดังนั้นผู้จัดการบาร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าขึ้นมา ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เย่เชียนและอู๋หวนเฟิงจะออกตัวกับเขาว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องในวันนี้ก็ตาม แต่ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังเดาออกว่าทั้งสามคนนั้นเป็นพวกเดียวกัน นี่ขนาดมีแค่หวงฟู่เส้าเจี๋ยเพียงคนเดียวที่เป็นคนลงมือ ยังน่ากลัวขนาดนี้ ผู้จัดการคนนั้นไม่อยากจะจินตนาการเลยว่ามันจะดุเดือดเลือดพล่านขนาดไหนถ้าทั้งสามคนเลือกที่จะลงมือไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้จัดการบาร์ก็หมดความอดทน เขาไม่ลังเลอีกแล้วที่จะโทรไปรายงานให้หัวหน้าของเขา—ซูเจี้ยนจุน ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทว่าแทนที่มันจะเป็นผลดีกับตัวเอง เขากลับโดนซูเจี้ยนจุนตวาดเข้าให้ด้วยความไม่สบอารมณ์! เพราะซูเจี้ยนจุนนั้นต้องรับสายจากผู้จัดการบาร์หลายคนตลอดทั้งคืน ซึ่งผู้จัดการแต่ละคนก็โทรมารายงานปัญหาที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย นอกไปเสียจากเรื่องของสถานบันเทิงของเขานั้นกำลังถูกคุกคามอยู่ ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ลูกน้องของเขาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นคนที่มาหาเรื่อง! มันทำให้เขาหัวเสียมากและอยากที่จะลงไปจัดการลูกน้องแต่ละคนด้วยตัวเองเลยทีเดียว มีอย่างที่ไหนที่ร้านของตัวเองถูกโจมตีจนเละขนาดนี้แต่ตัวเองดันไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้ ซูเจี้ยนจุนก็เดาได้ไม่ยากว่าปัญหาวุ่นวายเหล่านั้นนั้นมันเป็นฝีมือของใคร เพราะตอนนี้ตัวเขามีจู้ซานเข้ามาเป็นพันธมิตรด้วยแล้ว เหลือก็เพียงแต่เย่เชียนที่ยังคงตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอยู่
“ไอ้เวรนี่…! หัวสมองแกมันมีแต่ขี้เลื่อยหรือยังไงวะ ถึงได้จัดการอะไรเองไม่เป็นเลยน่ะ ? เอะอะก็เอาแต่โทรมารายงาน ๆ ฉันไม่ได้ว่างมานั่งฟังปัญหาของแกนะโว้ย นี่ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าถ้าแกไม่สามารถจัดการปัญหาของแกเองได้แล้วล่ะก็ แกจะต้องเสียใจที่เรื่องมันต้องมาถึงมือฉัน!” ซูเจี้ยนจุนตะคอกก่อนที่จะวางใส่ไป
ผู้จัดการบาร์ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เจ้านายบอกให้เขาจัดการปัญหาด้วยตัวเองแลเวคนอย่างเขาจะไปทำอะไรได้ ? ในเมื่อเขาไม่ใช่นักเลงหรืออันธพาลที่เก่งมาจากไหนสักหน่อย จะให้เขาลุกขึ้นคว้ามีดทำครัวไปไล่แทงเด็กพวกนี้น่ะรึ ? นี่มันบ้าชัด ๆ
“นี่นายกำลังเล่นอะไรอยู่ ? กะอีแค่บอดี้การ์ดห้าคน นายต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้เชียวเรอะ ?!” เย่เชียนตะโกนถามหวงฟู่เส้าเจี๋ยเมื่อเห็นว่าผ่านไปก็หลายนาทีแล้ว แต่เขายังจัดการบอดี้การ์ดไปได้แค่คนเดียว
“ขอโทษครับอาจารย์… ผมจะเร่งให้เดี๋ยวนี้แหละ!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ
ทันทีที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดจบ เขาก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวและความรุนแรงในการต่อสู้ขึ้นอีกเท่าตัวทันที พริบตาเดียวเขาก็สามารถจัดการให้พวกบอดี้การ์ดที่เหลือลงไปนอนหมอบอยู่ที่พื้นได้สำเร็จ
เมื่อผู้จัดการบาร์เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า เขารีบวิ่งหนีออกไปทางประตูหลังอย่างไม่คิดชีวิตทันที ยังไงเสียการไปตายเอาดาบหน้าก็ยังดีกว่ายืนรอความตายเฉย ๆ อยู่ตรงนี้เป็นไหน ๆ
ทว่าเย่เชียนไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้จัดการบาร์มากนัก เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่ตู้เก็บไวน์ที่อยู่ไม่ไกล…
“เส้าเจี๋ย! นายเดินไปดูซิว่ามีไวน์อะไรดี ๆ บ้างมั้ย ? หยิบมาให้ฉันสักสองสามขวดซิ ส่วนที่เหลือ… นายทำลายมันทิ้งได้เลยอย่าให้เหลือ อ้อ! เกือบลืมไป… นายช่วยเอาไอ้นี่ไปวางไปข้าง ๆ บาร์ที เสร็จแล้วก็โทรแจ้งตำรวจซะ” เย่เชียนพูดขณะที่เขายื่นถุงบางอย่างให้หวงฟู่เส้าเจี๋ย
“มันคืออะไรเหรออาจารย์ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามขณะที่รับถุงมาจากเย่เชียน แต่หลังจากที่เขาแง้มดูสิ่งที่อยู่ข้างในถุงแล้ว เขาก็ต้องตกใจมาก จากนั้นเขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เฮ้ย! อาจารย์… ไปเอามันมาจากไหนเนี่ย ?”
“ก็จากพวกพ่อค้าน่ะสิ” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ “เอ้อ… นายอย่าลืมเปิดเอาเงินที่แคชเชียร์ออกมาด้วยนะ ลงมือทำธุรกิจทุกครั้ง เราต้องห้ามให้มันขาดทุนนะรู้มั้ย ? ฉันจะไม่ปล่อยให้เงินนั่นต้องตกไปเป็นของกลางโดยเปล่าประโยชน์หรอก”
“เข้าใจแล้วครับอาจารย์!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปซุกถุงโคเคนที่ข้างบาร์ตามคำสั่ง เสร็จแล้วก็ดึงผ้าปูโต๊ะออกมารองและโกยเงินทั้งจากแคชเชียร์และตู้เซฟไปจนหมด หลังจากนั้นเขาก็ผูกผ้าปูโต๊ะเข้าด้วยกันอย่างชำนาญ
เมื่อเย่เชียนเห็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วและคล่องแคล่วเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนคนนี้เป็นทหาร เพราะตอนนี้เขานั้นดูเหมือนโจรมืออาชีพมากกว่า
หลังจากที่เย่เชียนได้ไวน์สามขวดมาครอบครองจนสมใจอยากแล้ว เขาก็ให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยทำลายไวน์ส่วนที่เหลือจนหมด จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินออกมาจากบาร์ด้วยความสบายใจ เมื่อพวกเขาทั้งสามพากันเดินมาจนถึงด้านหน้าของบาร์แล้ว เย่เชียนก็พบว่าสาวสวยทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นั่น เย่เชียนจึงได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วจึงเดินเข้าไปนั่งในรถ
“อาจารย์มีอะไรให้ผมทำอีกมั้ยคืนนี้ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามด้วยความกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าเขานั้นยังไม่สาแก่ใจหลังจากที่จัดการกับบอดี้การ์ดทั้งห้าไปจนหมอบ
“ไม่มีละ… คืนนี้นายกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เย่เชียนพูดด้วยความพึงพอใจ
“โธ่… แค่นี้เองเหรออาจารย์ ? ผมกำลังสนุกอยู่เลย คืนนี้ผมต้องนอนไม่หลับแหง ๆ ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดด้วยความผิดหวัง
“ถ้านายนอนไม่หลับ… ทำไมนายไม่ลองไม่วิ่งรอบหนานจิงอีกสักรอบดูล่ะ ? ฉันรับรองเลยว่าคืนนี้นายจะหลับเป็นตายอย่างแน่นอน ฮ่า ๆ ๆ ” เย่เชียนพูดพลางหัวเราะ
หวงฟู่เส้าเจี๋ยทำหน้าหงอด้วยความสลด สุดท้ายเขาก็ได้แต่ตัดพ้อออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า “โธ่… อาจารย์!”
ทว่าวินาทีนั้นเองที่สายตาของเขาเหลือบไปมองที่ห่อผ้าปูโต๊ะผืนนั้นด้วยความคาดหวัง
“อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียวนะเส้าเจี๋ย… นั่นมันเงินฉัน!” เย่เชียนพูดแล้วโยนไวน์ให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยขวดหนึ่ง “ไวน์ขวดนี้น่าจะราคาไม่เบาเลย ให้ฉันเดาเล่น ๆ มันอาจจะราคาสูงถึงสองหมื่นหยวนเลยนะ อ่ะ… ฉันให้นายเป็นของรางวัล”
“โห… อาจารย์นี่ขี้งกเป็นบ้าเลย” หวงฟู่เส้าเจี๋ยมองขวดไวน์แล้วบ่นพึมพำ
เย่เชียนได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่เขาสตาร์ทพร้อมพร้อมออกเดินทาง
“อาจารย์… แล้วพรุ่งนี้ผมต้องไปพบกับอาจารย์ที่ไหนล่ะ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยตะโกนถามไล่หลัง
“พรุ่งนี้นายหยุดพักผ่อนไปก่อน… ไว้เดี๋ยวฉันโทรหาทีหลัง” เย่เชียนตอบก่อนที่จะเริ่มขับรถออกไป
“บอส… ผมว่าหมอนี่มันใช้ได้เลย” อู๋หวนเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้มที่หาชมได้ยากยิ่ง
“ไว้ฉันจะให้เขาไปเจอกับชิงเฟิงดีกว่า ฮ่า ๆ ๆ ” เย่เชียนพูดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข
……
โทรศัพท์ของซูเจี้ยนจุนนั้นดังไม่หยุดเลยตลอดทั้งคืนทำให้เขานอนไม่หลับ เพราะเกือบทุกสายล้วนเป็นสายที่โทรเข้ามาเพื่อรายงานว่าสถานบันเทิงหลายแห่งของเขานั้นกำลังถูกใครบางคนโจมตีอยู่ มีเพียงแค่สองสามสายเท่านั้นที่โทรมาแจ้งเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขาได้เข้าร่วมลงทุนกับจู้ซาน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของเย่เชียนอย่างแน่นอน!
ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมีปัญหานั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการขั้นต่อไปล้วน ๆ ซึ่งหากเขาไม่สามารถเดินหน้าตามแผนต่อไปได้ เขาก็จะไม่สามารถรับเงินมัดจำจากลูกค้าของเขาได้เช่นกัน ซึ่งต่อไปมันก็จะเป็นผลกระทบในเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนที่จะต้องแบ่งเอาเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร ซึ่งมันก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย ทั้งที่ตอนแรกซูเจี้ยนจุนคิดว่าเขานั้นมีแผนสำรองโดยการนำกำไรที่หาได้จากตลาดหุ้นมาหมุนก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้พ่ายแพ้ให้กับซ่งหลันไปแล้ว แผนนั้นมันจึงพังยับเบินไปด้วย
แต่กว่าที่ซูเจี้ยนจุนมาเป็นใหญ่ได้อย่างในทุกวันนี้ เขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ที่จริงแล้วเขาเองก็มีพันธมิตรที่ทรงอิทธิพลอยู่บ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลาง เขาคนนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่า เจียงเจิ้งยี่ ซึ่งตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาชายชราที่ชื่อเจียงเจิ้งยี่คนนี้ก็ได้ผลประโยชน์และกำไรจากซูเจี้ยนจุนไปแล้วตั้งมากโข และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่ชายชราจะต้องตอบแทนเขาคืนบ้าง
เมื่อซูเจี้ยนจุนคิดได้ดังนั้น เขาก็ไม่รอช้ารีบกดโทรศัพท์ออกไปหาเจียงเจิ้งยี่โดยทันที หลังจากที่อธิบายเรื่องทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ซึ่งแน่นอนว่าต้องใส่สีตีไข่เพิ่มอีกนิดหน่อย) มันก็ทำให้เจียงเจิ้งยี่รู้สึกโอนเอียงไปทางฝ่ายของซูเจี้ยนจุนทันที แม้ว่าชื่อของเย่เชียนจะกำลังเป็นที่เลื่องลือกันอย่างหนาหูในเมืองหนานจิงแห่งนี้ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของเฉินฟู่เฉิงก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ช่วยไม่ได้ที่คนอย่างเจียงเจิ้งยี่จะรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเขาเข้ามาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเขาจะยอมรับได้
เอาเข้าจริงเจียงเจิ้งยี่เองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเย่เชียนอยู่นิดหน่อย เขาคิดว่าเด็กคนนี้นี่ช่างไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย ทั้งที่เขาเป็นเพียงแค่เด็กจากที่อื่นที่เพิ่งจะเข้ามายิ่งใหญ่ในเมืองหนานจิงแห่งนี้แท้ ๆ แต่กลับไม่เคยแม้แต่จะเจียดเวลาเพื่อเข้ามาพบเขาเลยสักครั้ง ซึ่งเดิมทีเจียงเจิ้งยี่ก็ไม่ได้ชอบเฉินฟู่เฉิงเช่นกัน เพราะเฉินฟู่เฉิงเองก็ไม่เคยเห็นหัวเขาเมื่อครั้งที่เขายังคงมีชีวิตอยู่ แล้วมาตอนนี้ไอ้เด็กที่ชื่อเย่เชียนก็ดันมาทำแบบเดียวกันอีก มันช่างเป็นการหยามเกียรติกันยิ่งนัก
ในเมื่อเย่เชียนไม่เข้ามาพบเจียงเจิ้งยี่ เจียงเจิ้งยี่ก็ต้องเป็นคบไปหาเขาด้วยตัวเองอย่างช่วยไม่ได้สินะ หลังจากพูดกับซูเจี้ยนจุนต่ออีกนิดหน่อย เจียงเจิ้งยี่ก็วางสายโทรศัพท์ไปอย่างไม่สบอารมณ์
เจียงเจิ้งยี่นั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลอย่างมากในเมืองหนานจิงในฐานะอำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลาง ผู้คนในเมืองหนานจิงแห่งนี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้จักเขา และก็ไม่มีใครเลยที่จะกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เมื่อนึกถึงเย่เชียนแล้ว เจียงเจิ้งยี่ก็รู้สึกเดือดดาลอย่างมาก จากนั้นเขาก็โทรศัพท์สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาลงพื้นที่โดยด่วน ทำให้กรมตำรวจเทศบาลเมืองกลางและกรมตำรวจตามเขตต่าง ๆ ของเมืองหนานจิงนั้นวุ่นวายกันมากเลยทีเดียว
……
เมื่อคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เย่เชียนถูกซ่งหลันยั่วยวนอย่างเร่าร้อนจนเขาแทบจะไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว โชคยังดีที่เขานั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากพอ จึงไม่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์
เช้าวันรุ่งขึ้น…
ทั้งที่เมื่อคืนเย่เชียนนั้นแทบจะไม่ได้นอน แต่เขาก็ยังคงตื่นแต่เช้าเหมือนปกติแม้ว่าเช้านี้เขาจะรู้สึกงัวเงียอยู่นิดหน่อยก็ตามแต่หลังจากที่ออกไปวิ่งออกกำลังกายจนกลับมาแล้ว เขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าวันนี้เป็นวันดี แม้ว่าสงครามทางธุรกิจมันจะยังไม่จบ แต่เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วมันจะจบลงอย่างสวยงามแน่นอน
ทว่าวันนี้บนท้องถนนของเมืองหนานจิงกลับไม่ได้มีแค่เสียงแตรรถดังจอแจเหมือนปกติ มันกลับมีเสียงไซเรนของรถตำรวจหลายสิบคันดังกึกก้องไปทั่ว ซึ่งรถตำรวจเหล่านั้นกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังสโมสรของเย่เชียนเพื่อล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ขณะนั้นเองที่เย่เชียนเดินออกมาที่ริมระเบียงบนชั้นสองและกำลังจะจุดบุหรี่เพื่อสูบมันรับวันใหม่ ทว่าเขายังไม่ทันได้จุดก็เห็นรถตำรวจมากมายมาจอดอยู่ข้างล่าง มันทำให้คิ้วของเย่เชียนขมวดกันแน่นทันที
ตั้งแต่ที่เย่เชียนเข้ารับตำแหน่งต่อจากเฉินฟู่เฉิง เขาก็ได้รับรายงานจากเลขาเฉิงเหวินแล้วว่าใครที่เป็นมิตรและใครที่เป็นศัตรูกับเขา รวมไปถึงใครที่เป็นมิตรกับใครหรือใครที่เป็นศัตรูกับใครด้วย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเย่เชียนจึงไม่เคยเข้าไปหาเจียงเจิ้งยี่เลยสักครั้ง เพราะเย่เชียนรู้ว่าคนคนนี้เป็นพันธมิตรกันกับซูเจี้ยนจุนนั่นเอง
เมื่อเจียงเจิ้งยี่จอดรถแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในสโมสรอย่างมั่นใจพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังเขาอยู่
“ประธานมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ? ทำไมพวกตำรวจถึงพากันมาที่สโมสรของเราล่ะ ?” หยูซิงรีบเข้ามาหาเย่เชียนและถามอย่างร้อนรน
“คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก พวกเราไม่ได้ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย… เพราะงั้นเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปกลัวพวกตำรวจ” เย่เชียนพูดอย่างใจเย็น “มันก็เป็นแค่การตรวจสอบตามปกติเท่านั้นแหละ!”