ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 241 ขี่หลังเสือ
หลู่หลงกวงคุกเข่าลงไปที่พื้น จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่ผงสีขาวนั่นขึ้นมาดมก่อนที่จะแตะมันไปที่ลิ้นเพื่อชิมรสชาติ
“เฮ้ย!!! นี่มันโคเคนหนิ ผู้อำนวยการเจียงมีสารเสพติดอยู่ในสถานีตำรวจด้วยเหรอ ? รู้มั้ยว่าผมสามารถฟ้องคุณข้อหาค้ายาได้เลยนะเนี่ย” หลู่หลงกวงอุทานขึ้น
เจียงเจิ้งยี่เห็นการกระทำของทนายหลู่หลงกวงแล้วก็ถึงกับต้องตกตะลึง นี่มันใส่ความกันชัด ๆ ไม่ใช่เหรอ ? ตกลงเขาเป็นทนายจริง ๆ หรือว่าเป็นแค่พวกนักต้มตุ๋นกันแน่ ?
อันที่จริงแล้วสิ่งที่เจียงเจิ้งยี่คิดนั้นก็ไม่ผิดนัก เพราะขนาดในแวดวงของทนายด้วยกันเอง พวกเขายังสงสัยในการทำงานของหลู่หลงกวงคนนี้เลยว่าตกลงเขานั้นเป็นทนายที่ฉลาดปราดเปรื่องหรือว่าเป็นทนายที่มีเล่ห์เหลี่ยมกันแน่
“คุณอย่ามาพูดจาไร้สาระนะ! ก็เห็นกันอยู่ไม่ใช่เหรอว่าคนของคุณเองนั่นแหละที่เป็นคนเอามันเข้ามา” เจียงเจิ้งยี่พูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อ้าวคุณผู้อำนายการ! คุณจะมาพูดจาชุ่ย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ มีใครเห็นงั้นเหรอว่าคนของผมเป็นคนเอามันเข้ามาที่นี่น่ะ ? คุณจะมาปรักปรำกันสั่ว ๆ แบบนี้ไม่ได้” หลู่หลงกวงพูด
ย้อนไปก่อนหน้าที่ที่เย่เชียนถูกจับกุมตัวเข้ามาอยู่ในห้องสอบสวน โดยปกติแล้วทางสถานีตำรวจจะมีกล้องวงจรปิดติดไว้ในห้องเพื่อทำการบันทึกภาพเหตุการณ์ แต่เป็นเพราะเจียงเจิ้งยี่ต้องการที่จะเล่นไม่ซื่อและคิดที่จะทำร้ายร่างกายเพื่อกดดันเย่เชียน เขาจึงสั่งให้ลูกน้องปิดกล้องนั้นเสีย ซึ่งทางฝ่ายของทนายและเย่เชียนเองก็สังเกตุเห็นเช่นกันว่ากล้องนั้นไม่ได้ทำงานอยู่ พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนั้น
เจียงเจิ้งยี่เองก็รู้ดีเช่นกันว่าตัวเองได้ทำพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีกเพียงแต่ทำเสียงบางอย่างอยู่ในลำคอด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นว่าเจียงเจิ้งยี่นิ่งไป หลู่หลงกวงก็พูดต่อไปว่า “ผู้อำนายการเจียง… ตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าต่อให้คุณพบสารเสพติดที่สโมสรของลูกความผม มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณนั้นไม่มีหลักฐานมายืนยันแบบนี้ ดังนั้นถ้าคุณยังคิดที่จะอยากให้เขาเป็นคนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ คุณเองก็ต้องทำแบบเดียวกันด้วย… สำหรับเรื่องในวันนี้คุณไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะผงสีขาวนั่นน่ะ มันเป็นแค่แป้งเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่นะ… คุณอาจจะมีสารเสพติดของจริงซุกซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งในบ้านหรือออฟฟิศของคุณก็ได้ คุณว่าไงคุณผู้อำนวยการ ?”
เจียงเจิ้งยี่รู้สึเหมือนกับว่าตัวเองนั้นกำลังถูกทนายคนนี้คุกคามและข่มขู่เขาซึ่ง ๆ หน้า ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่พอใจมากก็ตาม แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยิ่งการที่หลู่หลงกวงนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วยแล้ว โอกาสที่เขาจะเอาชนะได้มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
“แต่ถึงยังไงทางเราก็ยังคงต้องสอบสวนประธานเย่ไปตามขั้นตอนอยู่ดี” น้ำเสียงของเจียงเจิ้งยี่ในตอนนี้นั้นแทบจะไม่เหลือความหยิ่งยะโสปนอยู่อีกต่อไปแล้ว
“สอบสวน ?” หลู่หลงกวงถาม “แค่พามาสอบสวนแล้วทำไมถึงต้องใส่กุญแจมือด้วยล่ะ ? อีกอย่างถ้าเป็นแค่การสอบสวน ลูกความของผมก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเข้ารับการสอบสวนตามกฎหมายปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตามมาตราที่ 6 ถึง 11 นะ”
“ทนายหลู่… ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องทำกับผมถึงขนาดนี้ด้วย ?” เย่เชียนแสร้งพูดเพื่อเติมเชื้อไปเข้าไปอีก “ตำรวจน่ะมีหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองประชาชนไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมเจ้าหน้าที่พวกนี้ถึงต้องการที่จะยัดเยียดข้อหาให้ผมล่ะ ?”
เมื่อหลู่หลงกวงมองไปที่เย่เชียน เขาก็เพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลอันน่ากลัวชัด ๆ
“ผู้อำนวยการเจียง! ไหนคุณบอกผมว่าคุณแค่ต้องการสอบปากคำลูกความผมไง ? แล้วทำไมคุณต้องถึงขั้นทำร้ายร่างกายของเขาด้วยล่ะ ? ลูกความของผมเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยนะ ไม่ใช่นักโทษฆ่าคนตาย! คุณน่าจะรู้ว่าดีหนิว่าการกระทำแบบนี้มันผิดต่อข้อกฎหมายและทนายอย่างผมก็จะไม่มีวันยอมให้ลูกความต้องเจ็บตัวฟรี ๆ แน่” หลู่หลงกวงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาชายที่มาด้วยกัน “เสี่ยวหลี่! ไปถ่ายรูปคุณเย่เอาไว้เป็นหลักฐานซะ เก็บให้หมดทุกมุมทุกรายละเอียดเลยนะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างแข็งขันแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาถ่ายรูปเย่เชียนตามคำสั่ง ขณะเดียวกันเจียงเจิ้งยี่ก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น
“เดี๋ยวก่อน! ทางเราไม่ได้เป็นคนทำร้ายเขาซักหน่อย!” ในที่สุดเจียงเจิ้งยี่ก็ร้องขึ้นหลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้ว
เจียงเจิ้งยี่ไม่ต้องการทำให้เรื่องมันอื้อฉาวไปมากกว่านี้ เพราะถ้าหากว่าทนายหลู่หลงกวงนำเรื่องขึ้นสู่ศาลกลางล่ะก็ มันจะทำให้เขานั้นเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ภายในพริบตา ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้ทำผิดจริง ๆ ก็ตาม อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาก็อาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไป
“ผู้อำนวยการเจียงพูดแบบนี้หมายความว่าไง ? ถ้าคุณไม่ได้ทำแล้วรอยแผลพวกนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ ? พวกคุณมีหลักฐานอะไรมาชี้แจงมั้ย ?” หลู่หลงกวงถามจากนั้นก็หันไปหาเย่เชียน “คุณเย่… ถ้าคุณต้องการที่จะฟ้องร้องเรื่องนี้ ผมสามารถจัดการให้ได้นะ”
“ผมจะไม่ยอมเจ็บตัวฟรี ๆ หรอกคุณทนาย! แน่นอนว่าผมต้องการฟ้องร้องเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เอาให้เขาไม่สามารถเป็นตำรวจต่อไปได้อีกเลย” เย่เชียนพูด
“ไม่มีปัญหาครับ!” หลู่หลงกวงตอบเย่เชียนแล้วหันไปหาชายที่มาด้วยกัน “เสี่ยวหลี่! คุณช่วยโทรไปหาสำนักงานทนายส่วนกลางให้ผมทีนะ แล้วบอกให้พวกเขาเริ่มดำเนินการเรื่องนี้ด่วนเลย”
“ครับผม!” ชายหนุ่มข้าง ๆ ตอบและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
“เอาล่ะผู้อำนวยการเจียง! ตอนนี้ผมสามารถประกันตัวลูกความของผมได้แล้วใช่มั้ย ?” หลู่หลงกวงถาม
“ไปทำตามขั้นตอนซะ!” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างหมดหนทางและไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขาคิดว่าวันพรุ่งนี้หัวข้อข่าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์หรือโลกอินเตอร์เน็ต จะต้องรายงานกันอย่างดุเดือดแน่ ๆ ว่าเขานั้นได้ใช้ความรุนแรงและทำร้ายร่างกายพลเมืองดีภายใต้อำนาจของเขา ซึ่งมันจะควบคู่ไปกับสถานะและตัวตนของเย่เชียนที่กำลังร้อนแรงและเป็นที่ชื่นชมของเมืองหนานจิง แล้วไหนจะตัวตนอันทรงพลังทางกฎหมายของหลู่หลงกวงอีกล่ะ แค่คิดมันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เพราะปัญหาในครั้งนี้ของเขามันจะต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน
ทว่าเย่เชียนกลับส่ายหัวไปมาและพูดว่า “ไม่ดีกว่าครับทนายหลู่… ผมยังไม่ต้องการถูกประกันตัวออกไปในตอนนี้ ผมจะยังไม่ออกไปจากที่นี่หรอก!”
หลู่หลงกวงได้ฟังก็ผงะไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา เพราะจริง ๆ แล้วหลู่หลงกวงนั้นเคยติดต่อกับเย่เชียนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว มันจึงทำให้เขารับรู้ได้ถึงอารมณ์และความคิดของเย่เชียนในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี และคนอย่างเย่เชียนนั้นจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะเล่นงานเจียงเจิ้งยี่ให้ถึงที่สุดจนตกนรกทั้งเป็น เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วหลู่หลงกวงก็พูดขึ้นมาว่า “ผู้อำนวยการเจียง… ผมขอคุยกับลูกความของผมเป็นการส่วนตัวสักครู่จะได้มั้ย ?”
“เหอะ!” เจียงเจิ้งยี่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็พูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ!”
พูดจบเจียงเจิ้งยี่ก็เดินออกจากห้องสอบสวนไปด้วยความโกรธเกรี้ยว…
“คุณเย่! พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี ?” หลู่หลงกวงถาม
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียน จากนั้นเขาก็โบกมือให้หลู่หลงกวงเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา ซึ่งเมื่อหลู่หลงกวงได้ฟังก็ได้แต่พยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับรอยยิ้มอย่างยินดีบนใบหน้า
เมื่อทั้งคู่คุยกันจบหลู่หลงกวงก็ออกไปจากห้อง เหลือไว้เพียงแต่เย่เชียนเพียงคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม แต่เขาก็ไม่วายที่จะยกขาขึ้นพาดโต๊ะสอบสวนอย่างสบายอารมณ์ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะเล่นงานเขาอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ เขาเองก็พร้อมจะโต้กลับให้หนักยิ่งกว่า
ทางฝ่ายของเจียงเจิ้งยี่นั้น หลังจากที่เขาออกจากห้องสอบสวนไปเขาก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องสังเกตการณ์อีก เวลานี้เขาแทบจะไม่อยากคิดถึงเรื่องของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องของเด็กคนนี้มันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่จนเขานั้นรู้สึกปวดหัวตึ๊บ เจียงเจิ้งยี่คาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะลงเอยเช่นนี้ เขาคงประเมินตัวเองสูงจนเกินไปจริง ๆ กระมัง
จู่ ๆ โทรศัพท์ของเย่เชียนก็ดังขึ้น แต่เย่เชียนนั้นไม่สามารถเอื้อมมือของเขาไปรับโทรศัพท์ได้เพราะมือทั้งสองข้างยังคงถูกใส่กุญแจมือเอาไว้อยู่ โชคดีที่ตำรวจคนที่พูดจาดีคนนั้นเดินกลับเข้ามาพอดี
“พี่ชาย… ช่วยหยิบโทรศัพท์ออกมาให้ผมหน่อยสิ” เย่เชียนยิ้มเจื่อน
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะไขกุญแจมือให้!” ตำรวจหนุ่มพูดพร้อมกับเดินไปข้าง ๆ เย่เชียนแล้วไขกุญแจมือออก
“ขอบคุณมากพี่!” เย่เชียนพูดแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมากดรับสาย
“อาจารย์อยู่ไหนเนี่ย ? ทำไมถึงรับโทรศัพท์ช้าจัง ? วันนี้อาจารย์มีภารกิจอะไรให้ผมทำรึเปล่า ?” น้ำเสียงคาดหวังของหวงฟู่เส้าเจี๋ยดังมาจากปลายสาย ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะติดใจในการออกปฏิบัติภารกิจกับเย่เชียนเสียแล้ว
“ภารกิจบ้าบออะไรเล่า ? ตอนนี้ฉันอยู่ที่สถานีตำรวจเนี่ย นายยังอยากมาหาฉันอยู่มั้ยล่ะ ?” เย่เชียนถาม
“อะไรนะ! อาจารย์ไปสถานีตำรวจทำไม ? กระเป๋าตังค์หายเหรอ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดติดตลก
“กระเป๋าตังค์หายบ้านนายสิ! ฉันถูกจับตัวมาสอบสวนต่างหาก นี่มันบ้าจริง ๆ ! ฉันทั้งเสียเวลา ทั้งเสียอารมณ์ ไหนจะโดนซ้อมอีก…” เย่เชียนแสร้งบ่นเสียงดัง ซึ่งมันก็ทำให้ตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาถึงกับตกตะลึง เพราะเขานั้นไม่เคยเจอใครที่เป็นเหมือนเย่เชียนมาก่อน
“อะไรนะ ?! พวกเขาซ้อมอาจารย์เหรอ ? อาจารย์อยู่ที่สถานีตำรวจไหนเนี่ย ? เดี๋ยวผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้เลย” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางคิดในใจว่าพวกตำรวจกล้าที่จะจับกุมอาจารย์เขาไปเชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังกล้าที่จะซ้อมและใช้ความรุนแรงอย่างทารุณกรรมเช่นนี้อีก ความโกรธเกรี้ยวและความเดือดดาลในใจของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็ปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้นในทันที
“ไม่ต้องกังวลฉันยังทนไหว… นายไม่ต้องพาใครมานะ” หลังจากที่เย่เชียนพูดแบบนี้จบ เขาก็บอกกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยว่าเขาอยู่ที่สถานีตำรวจเขตไหน
“อาจารย์รอก่อนนะ… ผมจะรีบไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดจบและวางสายโทรศัพท์ไปจากนั้นเขาก็เริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่กับบางสิ่ง
……
“ท่าน! ท่านผู้อำนวยการเจียง! แย่แล้ว ๆ ”
ในขณะที่เจียงเจิ้งยี่กำลังครุ่นคิดและนั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงานเพียงคนเดียวนั้น จู่ ๆ ผู้กำกับการสถานีตำรวจก็วิ่งเข้ามาและพูดด้วยความตื่นตระหนกและกระวนกระวายมาก
“อะไร? เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ ? ทำไมถึงต้องตื่นตกใจขนาดนั้น ?” เจียงเจิ้งยี่ถามอย่างหดหู่ เพราะตอนนี้เขาเองก็มีปัญหามากพอแล้ว และผู้กำกับการสถานีตำรวจคนนี้กลับอยู่ในความตื่นตระหนกอีก ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะต้องพิจารณาถอดถอนและเปลี่ยนผู้กำกับคนใหม่เสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น ? ไหนค่อย ๆ เล่ามาซิ” เจียงเจิ้งยี่ถามพลางพยายามสงบสติอารมณ์
“คือ… คือสถานีตำรวจถูกปิดล้อมแล้วครับท่าน!” ผู้กำกับการสถานีตำรวจพูดอย่างตื่นตระหนก
“อะไรนะ! ไอ้พวกนั้นมันจะบ้ากันเกินไปแล้ว พวกมันกล้าที่จะปิดล้อมสถานีตำรวจเลยเหรอ ? พวกนั้นมันเป็นลูกน้องของเย่เชียนใช่มั้ย ? ดี! งั้นคุณก็ไปประสานงานให้กองปราบปรามจลาจลหน่วย S.W.A.T. เข้ามาจับกุมพวกมันให้หมดเลย โธ่เอ๊ย…! ฉันก็นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ซะอีก ที่แท้ก็แค่ไอ้พวกนี้เข้ามาสร้างปัญหานี่เอง” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างโล่งอก
“ไม่! ไม่! ไม่ใช่ครับ… มันเป็นรถของทหารเขตกองบัญชาการพิเศษของกองทัพหนานจิง พวกเรากำลังถูกล้อมไปด้วยกองทหารครับท่าน!” ผู้กำกับการสถานีตำรวจยังคงพูดอย่างตื่นตระหนกและกระวนกระวายอย่างมาก
“ห๊ะ! อะไรนะ!” เจียงเจิ้งยี่ถึงกับผงะไป จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนและพูดว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทำไมพวกทหารของกองทัพหนานจิงถึงได้มาปิดล้อมสถานีตำรวจของพวกเราล่ะ ?”
“ผะ… ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับท่าน” ผู้กำกับการสถานีตำรวจพูดด้วยสีหน้าที่หดหู่อย่างมาก
“ไร้ประโยชน์จริง! คุณเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจมาตั้งหลายปีแล้วนะ” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างเดือดดาล “ออกไปข้างนอกกับฉันหน่อยซิ”
สถานการณ์ของเหล่าตำรวจนั้นวุ่นวายจนลุกเป็นไฟ ทว่าเย่เชียนนั้นกลับดูผ่อนคลายและยังคงนั่งอยู่ในห้องสอบสวนอย่างสบายใจเฉิบ ไม่เพียงเท่านั้นแต่เขายังนั่งรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดกับน้ำอัดลมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ซึ่งอันที่จริงแล้ว เย่เชียนนั้นไม่รู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็พอที่จะได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากข้างนอก มันเป็นเสียงเครื่องยนต์ของรถที่กระหึ่มอย่างมาก ซึ่งเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นจะต้องเป็นหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่มาหาเขาอย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพึมพำกับตัวเองว่า “ให้ตายสิ! บอกว่าอย่าพาใครมา ๆ นี่ไม่ฟังกันเลยสินะ”
เมื่อเจียงเจิ้งยี่เดินออกมาจากสถานีตำรวจ เขาก็ถึงกับผงะและตกตะลึงอย่างมาก เพราะเขาเห็นรถบรรทุกหุ้มเกราะและรถออฟโรดฮัมวี่ของกองทัพจำนวนหลายคันจอดอยู่ที่ประตูทางเข้าและรอบนอกของสถานีตำรวจ ขณะเดียวกันนั้นก็มีกลุ่มทหารที่มีอาวุธครบมือกำลังเดินเข้ามาที่หน้าสถานีตำรวจด้วย ซึ่งคนที่เดินอยู่แถวหน้าก็คือหวงฟู่เส้าเจี๋ยในเครื่องแบบของทหารยศร้อยตรีชุดปฏิบัติการพิเศษภาคสนามของกองทัพนั่นเอง ใบหน้าของเขานั้นดูเย็นยะเยือกและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนจากสนามรบ
เจียงเจิ้งยี่นั้นรู้ดีว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยคนนี้เป็นทหารในเขตทหารของเมืองหนานจิง แต่ถึงแม้ว่าตำรวจกับทหารนั้นมักจะเกื้อกูลกันและมันก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ตามมามากนักก็ตาม แต่ทว่าด้วยอิทธิพลของตระกูลหวงฟู่อันยิ่งใหญ่นั้น ก็ทำให้เจียงเจิ้งยี่ลืมตาได้เพียงข้างเดียวและหายใจไม่คล่องนัก และในขณะนี้ผู้บัญชาการทหารกองร้อยก็ได้ปิดล้อมสถานีตำรวจพร้อมกับกองกำลังทหารบางส่วนจำนวนมาก สิ่งนี้เองที่ทำให้เจียงเจิ้งยี่เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขานั้นไม่ควรที่จะทำให้คนเหล่านี้ขุ่นเคืองเลย