ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 242 กองทัพทหารปิดล้อมสถานีตำรวจ
“ผู้กองหวงฟู่… นี่มันอะไรกัน ? ทำไมคุณถึงพาทหารมาล้อมสถานีตำรวจของเราไว้แบบนี้ล่ะ ? จริง ๆ แล้วทหารไม่น่าเข้ามาก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนะ” เจียงเจิ้งยี่ถามทันทีที่เดินไปประชิดตัวหวงฟู่เส้าเจี๋ย
“จะเป็นทหารหรือว่าเป็นตำรวจแล้วมันยังไง ? คุณเป็นใคร ? คุณเป็นคนดูแลที่นี่รึเปล่า ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยเลิกคิ้วถาม
“ใช่! ฉันดูแลที่นี่อยู่ด้วย ชื่อของฉันคือเจียงเจิ้งยี่ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจเทศบาลเมืองกลาง” เจียงเจิ้งยี่แนะนำตัวเองอย่างภาคภูมิ
“เป็นผู้อำนวยการงั้นเหรอ…? งั้นคุณก็บอกผมได้ใช่มั้ยว่าอาจารย์ของผมอยู่ที่ไหน ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามต่อโดยไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางวางมาดของเจียงเจิ้งยี่มากนัก
“อาจารย์…? ใครกัน ?” เจียงเจิ้งยี่ถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับท่าทีที่ไม่แยแสของหวงฟู่เส้าเจี๋ยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยชื่อเสียงและอิทธิพลของตระกูลหวงฟู่แล้ว มันก็ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
“ก็คนที่ชื่อเย่เชียนไง… คุณรู้ใช่มั้ยว่าเขาอยู่ที่ไหน ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
มีคนมาช่วยเย่เชียนอีกคนแล้ว! เมื่อกี๊ก็ทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พอมาตอนนี้ก็มีทหารยศร้อยเอกจากสังกัดกรมยุทโธปกรณ์ภาคสนามแห่งกองทัพจีนเขตเมืองหนานจิงที่เคลมว่าตัวเองเป็นศิษย์ของเย่เชียนมาด้วยอีกคน เจียงเจิ้งยี่แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียตรงนี้ เขาไม่น่าเอาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเชียว แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ถอยหลังกลับมันก็คงจะสายเกินไป จะมาขอให้เย่เชียนลืมเรื่องทั้งหมดไปซะและยกโทษให้เขามันก็จะยิ่งทำให้เขานั้นต้องเสื่อมเสียเกียรติยศและชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สั่งสมมา เพราะกว่าที่เจียงเจิ้งยี่จะมาถึงจุดที่เขายืนอยู่ในทุกวันนี้ได้นั้น เขาเองก็ต้องผ่านอะไรมาตั้งมากเช่นกัน
“เย่เชียน… อาจารย์ของคุณน่ะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด! ทางเราตรวจพบสารเสพติดซุกซ่อนอยู่ในสโมสรของเขาก็เลยจับกุมตัวเขามาเพื่อบทำการสอบปากคำ ร้อยเอกหวงฟู่… ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจและให้เกียรติให้การปฏิบัติหน้าที่ของทางเรา และการที่คุณพาลูกน้องของคุณมาปิดล้อมสถานีตำรวจเอาไว้แบบนี้เนี่ย มันดูจะไม่ค่อยเข้าท่าซักเท่าไหร่นา… แต่เอาเถอะ ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะก็ได้ เพราะฉันเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องเล็กต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยไม่จำเป็นหรอก! ฉันเข้าใจว่าการต้องไปเผชิญหน้ากับเบื้องบนมันเป็นเรื่องยุ่งยากขนาดไหน” เจียงเจิ้งยี่ยังคงพูดจาวางท่า
“นี่คุณกำลังขู่ผมอยู่งั้นเหรอ ? แล้วพวกคุณมีหลักฐานอะไรที่ชี้ว่าเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมค้ายานรกมั้ยล่ะ ? พวกคุณมีหลักฐานยืนยันรึเปล่า ? ถ้าคุณตอบผมไม่ได้ก็รีบพาผมไปหาอาจารย์ของผมเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไปฟังจากปากเขาเอง!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเกรี้ยวกราดและไม่ไว้หน้าเจียงเจิ้งยี่ เพราะสำหรับเขาแล้วความไม่ยุติธรรมและความไม่โปร่งใสในระบบการพิทักษ์ราษฎร์นั้นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ในฐานะทหารอย่างมาก
เจียงเจิ้งยี่ได้แต่ยืนกำหมัดและกัดฟันแน่น เขาตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองและทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยเข้าไปพบกับเย่เชียนตามต้องการ เพราะต่อให้เขากีดกัน หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็จะบุกเข้าไปอยู่ดีและมันก็จะยิ่งทำให้เรื่องนี้บานปลายมากยิ่งขึ้นไปอีก อีกอย่างเมื่อเทียบกันระหว่างลูกน้องของเขาจำนวนหยิบมือเดียวกับทหารที่ยกกันมาเกือบทั้งกองร้อยแบบนี้แล้ว มันก็เทียบกันไม่ติด
“เอาล่ะ ๆ ฉันจะเป็นคนนำคุณเข้าไปเอง แต่คุณต้องให้ลูกน้องของคุณรออยู่ข้างนอกนะ” เจียงเจิ้งยี่พูด
“เอาล่ะทุกคน! แสตนด์บายรอกันอยู่ข้างนอกนี่ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไรจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากผม!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยตะโกนสั่งเสียงดังให้ลูกน้องในบริเวณนั้นได้ยิน
เจียงเจิ้งยี่เหลือบมองไปที่ลูกน้องของหวงฟู่เส้าเจี๋ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในเมื่อหัวหน้าของพวกเขาออกคำสั่งขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำอะไรแน่นอน
จากนั้นเจียงเจิ้งยี่ก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยเดินตามเขาเข้าไปด้านใน…
อันที่จริงแล้วทหารยศแค่ร้อยเอกมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่จนน่ากลัวอะไรขนาดนั้น แต่หวงฟู่เส้าเจี๋ยดันมีพ่อเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพ แล้วไหนจะลุงที่เป็นถึงผู้อำนวยการกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอีก ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เจียงเจิ้งยี่ต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างยิ่งยวด
ไม่นานเจียงเจิ้งยี่ก็พาหวงฟู่เส้าเจี๋ยเดินมาถึงที่หน้าห้องสอบสวน ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งสองก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เพราะเย่เชียนนั้นกำลังนั่งกินอาหารฟาสฟู้ดอยู่อย่างสบายอกสบายใจ
“เอ่อ… อาจารย์โอเคใช่มั้ย ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถาม
“ฉันโอเค… แค่หิวนิดหน่อย จะว่าไปไอ้ของทอดพวกนี้นี่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ฉันว่าพวกเขาคงใช้น้ำมันเก่ามาทอดแหง ๆ มันถึงมีกลิ่นเหม็นหืนแบบนี้” เย่เชียนบ่นแต่ก็ยังคงยัดมันฝรั่งทอดสองสามชิ้นเข้าปาก
“เฮ้ย! อาจารย์! หน้าของอาจารย์มัน…” หวงฟู่เส้าเจี๋ยร้อง เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเย่เชียนก็ตอนนี้เอง รอยพวกนั้นทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที นี่มันอะไรกัน ? ไหนบอกว่าพาอาจารย์ของเขามาสอบสวนไง ? แล้วสอบสวนอีท่าไหนถึงได้มีรอยฟกช้ำถึงขึ้นเลือดตกยางออกแบบนี้ ?
จู่ ๆ หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ชักปืนพกที่เอวของเขาขึ้นมาจ่อไปที่หน้าผากของเจียงเจิ้งยี่แล้วตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลว่า “เฮ้ย! ไหนว่าพามาสอบสวนไง ? นี่มันเกินไปแล้วนะ ทำกันขนาดนี้ผมว่าผมควรที่จะเป่าสมองคุณให้ไหลออกมาซะตอนนี้เลยดีมั้ย ?”
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนหน้าผากของเจียงเจิ้งยี่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเลยแม้แต่น้อยเมื่อมีปืนจ่อกบาลเขาอยู่เช่นนี้ เจียงเจิ้งยี่รู้ดีว่าคนอย่างหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นคงไม่ลังเลที่จะยิ่งเขาอย่างแน่นอน เพราะคนระดับเขา ต่อให้ฆ่าใครตายซักคนมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกทั้งชื่อเสียงในเรื่องของความกล้าบ้าบิ่นของเขาก็โด่งดังไปจนทั่วเมืองหนานจิง
“อะ… เอ่อ… ผู้กอง! ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะ นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ?” เจียงเจิ้งยี่ถามด้วยความหวาดกลัว
“เกินไป ? แล้วสิ่งที่พวกคุณทำมันไม่เกินไปหรือยังไง ? ห๊ะ ?! คุณคิดว่าการที่ตัวเองมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วมันจะทำให้คุณทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจอย่างงั้นเรอะ ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเดือดดาล
“แต่ว่า… พวกเราไม่ได้เป็นคนทำเขาซักหน่อย! เขาต่างหากที่ทำร้ายตัวเองน่ะ” เจียงเจิ้งยี่พยายามอธิบาย สำหรับเขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเกียรติยศ เงินทอง อำนาจหรืออะไรก็ตาม มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วนอกจากชีวิตของตัวเอง ปืนกระบอกนี้ที่กำลังจ่ออยู่ตรงกลางหน้าผาก มันเป็นเครื่องมือชี้เป็นชี้ตายของเขาเลยก็ว่าได้
“นี่คุณกำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ ? คุณหาว่าอาจารย์ของผมโง่ถึงขนาดที่จะทำร้ายตัวเองเลยอย่างงั้นเรอะ ?!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อเย่เชียนได้ยินคำพูดนั้นของหวงฟู่เส้าเจี๋ย เขาก็ไอจนแทบจะสำลักออกมา ทำไมยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าลูกศิษย์ของเขาคนนี้กำลังด่าเขาอยู่ยังไงยังงั้น
“เอาล่ะ ๆ เส้าเจี๋ย! นายเก็บปืนไปก่อน ให้เกียรติเขาในฐานะผู้อำนวยการหน่อย” เย่เชียนพูดขึ้น
ถึงแม้ว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็ทำตามคำสั่งของเย่เชียนแต่โดยดี เพราะอันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะลงมือฆ่าเจียงเจิ้งยี่จริง ๆ หรอก เขาเพียงแค่ต้องการข่มขู่ให้หวาดกลัวก็เท่านั้น อีกอย่างต่อไปในอนาคตเขาเองก็จะต้องเป็นเสาหลักให้กับตระกูลหวงฟู่ ดังนั้นทุกอย่างที่เขาตัดสินใจทำในตอนนี้มันก็ควรที่จะต้องผ่านกระบวนการคิดและวางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ เพื่อที่คนในตระกูลจะได้เชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเขามากขึ้น
เมื่อหวงฟู่เส้าเจี๋ยเก็บปืนพกกลับไปที่เองดังเดิมแล้ว เจียงเจิ้งยี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ว่าเขานั้นจะแอบรู้สึกขอบคุณเย่เชียนอยู่ในใจ แต่ทว่าเขาก็รู้ดีว่าเย่เชียนคงจะมีกลอุบายอื่นซ่อนไว้อีกแน่นอน
“อาจารย์โอเคแน่นา ? ไหนบอกผมมาซิว่าใครเป็นคนทำให้อาจารย์ต้องเจ็บขนาดนี้ ? เดี๋ยวลูกศิษย์คนนี้จะไปตัดนิ้วของมันมาให้เอง!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างหนักแน่น
ทว่าเย่เชียนนั้นได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ไม่เป็นไรหน่า… มันแค่แผลเล็ก ๆ เอง” เย่เชียนพูด “ข้างนอกมีอะไรกันเหรอ ? เสียงดังเข้ามาถึงข้างในนี้เลย”
“อ๋อ… ผมพาพวกลูกน้องในกองร้อยมาด้วย เผื่อไว้น่ะ” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดพลางเหลือบตามองไปที่เจียงเจิ้งยี่
“เอ่อ… ประธานเย่! ทางเราได้ทำการตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผลออกมาว่าทุกอย่างมันเป็นแค่การเข้าใจผิดกันเฉย ๆ น่ะ ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ คุณกลับได้เลยตามสบายนะ” เจียงเจิ้งยี่พูดออกมาด้วยความประหม่าพร้อมกันนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างสุภาพ เพราะความปรารถนาเดียวที่เจียงเจิ้งยี่ต้องการในตอนนี้ก็คือทำยังไงก็ได้ให้เย่เชียนและพรรคพวกออกไปจากที่นี่ซะ!
“นี่ผู้อำนวยการเจียงกำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่มั้ย ?” เย่เชียนถามพลางยิ้มเยาะ “คุณลืมสิ่งที่คุณทำกับผมเอาไว้แล้วอย่างงั้นเหรอ ? ผมบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คุณก็ยังจะจับตัวผมมา! คุณจำไม่ได้หรือยังไงว่าพวกนักข่าวน่ะถ่ายรูปผมตอนที่ถูกคุณใส่กุญแจมือเดินออกมาจากสโมสรไปเป็นร้อย ๆ รูป แล้วมาตอนนี้คุณกลับมาพูดง่าย ๆ ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด คุณจะให้ผมเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ป่านนี้ผู้คนเขาไม่คิดว่าผมมันเป็นคนค้ายากันไปทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วหรือไง ? ไหนจะธุรกิจของผมอีกล่ะ ? นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาจบกันง่าย ๆ แล้วแยกย้ายแบบนี้นะ คุณต้องรับผิดชอบเซ่!!!”
เจียงเจิ้งยี่ได้แต่ยืนตะลึงงันอยู่อย่างนั้น เขาคิดว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดมาทั้งหมดมันช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ที่จริงเย่เชียนก็แค่ต้องการแก้แค้นคืนอย่างงั้นสินะ เขาต้องการทำให้ผู้คนรู้ว่าตัวเขานั้นเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายและสามารถเดินเข้าออกสถานีตำรวจเมื่อใดก็ได้ตามที่ใจต้องการอย่างงั้นใช่มั้ย ?
“แล้วประธานเย่จะให้ฉันทำอะไรล่ะ ?” เจียงเจิ้งยี่ถาม
“ที่จริงแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับผม มันก็เป็นเพราะคุณน่ะต้องการที่จะช่วยเหนือพันธมิตรของคุณ… ซูเจี้ยนจุนกับจู้ซานใช่มั้ยล่ะ ? นี่คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าสองคนนั้นจะสามารถเอาชนะผมได้ ? คุณคิดมาดีแล้วใช่มั้ยก่อนที่จะตัดสินใจทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้กับผมน่ะ ?” เย่เชียนถามเย้ย
ทว่าเจียงเจิ้งยี่ไม่มีคำตอบให้กับเขา มีเพียงแค่รอยยิ้มอย่างโง่เขลาที่ปรากฎให้เห็นบนใบหน้าเท่านั้น
ในเมื่อเจียงเจิ้งยี่ไม่ตอบ เย่เชียนจึงสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดก่อนที่จะพูดต่อไปว่า “คนทุกคนเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วก็ควรที่จะยอมรับผลของการกระทำของตัวเอง คุณว่าไหม ? สำหรับคนอย่างคุณน่ะนะผู้อำนวยการเจียง… คุณมันเป็นพวกบ้าอำนาจที่ชอบใช้อำนาจของตัวเองไปข่มเหงคนอื่น ผมจะไม่คิดให้คุณหรอกว่าคุณควรที่จะทำอะไรเพื่อชดใช้ แต่ผมจะให้คุณคิดเองแล้วยื่นข้อเสนอของคุณมา! ถ้าข้อเสนอของคุณน่าสนใจ เราก็คุยกันต่อได้ แต่ถ้าไม่… ผมก็จะไม่ยอมออกไปจากที่นี่ง่าย ๆ หรอก!”
นี่มันอะไรกันเนี่ย ? เจียงเจิ้งยี่ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มอย่างเย่เชียนจะรับมือได้ยากขนาดนี้ นี่ขนาดเขายอมปล่อยตัวให้ออกไปได้อย่างเป็นอิสระแล้วนะ ยังจะไม่พอใจอีก ? แล้วข้อเสนออะไรล่ะที่มันจะถูกใจคนแบบเขา ?
“นี่มันอะไรกัน! ทำไมสถานีตำรวจแห่งนี้ถึงได้มีทหารเป็นกองทัพมาล้อมไว้แบบนี้ ? แล้วทำไมผู้ต้องสงสัยถูกปล่อยตัวแล้วถึงไม่ยอมออกจากที่นี่ไป ?”
จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ฟังดูดุดันและทรงพลังดังขึ้น เสียงนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องต้องหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย มันเป็นเสียงของชายวัยห้าสิบ และด้านหลังของเขาก็มีชายอีกคนหนึ่งที่เดินตามมาด้วยติด ๆ ชายคนนั้นน่าจะอายุราว ๆ สี่สิบปี ซึ่งที่ด้านหลังของเขาก็มีชายกลุ่มหนึ่งเดินตามมาอย่างเว้นระยะห่างด้วย