ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 302 ผู้ชายคือโลกแห่งรอยยิ้ม
ตอนที่ 302 ผู้ชายคือโลกแห่งรอยยิ้ม
หากครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นเธอมันก็คงจะดีไม่น้อยเพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด!
ในขณะที่เย่เชียนยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นจินตนาการทั้งหมดในใจของเขาในตอนนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และพลังทลายลงอย่างย่อยยับ เย่เชียนยืนแข็งทื่ออยู่ที่นั่นและเท้าของเขาก็หนักมากราวกับว่ามันเต็มไปด้วยตะกั่วจนไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่หลินโรวโร่วเห็นหน้าเย่เชียนรอยยิ้มและดวงตาของหลินโรวโร่วก็เบิกกว้างขึ้นและสายตาของเธอก็จดจ่ออยู่กับเย่เชียน เวลาผ่านพ้นไปนานมากแต่ทั้งสองก็ไม่ขยับกันเลยเพราะเมื่อทั้งสองได้พบหน้ากันแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะก้าวเดินได้เพราะความตื่นเต้นและทำอะไรไม่ถูก แต่ทว่าสิ่งที่เกินความคาดหมายของเย่เชียนก็คือชายคนหนึ่งที่มาปรากฏตัวอยู่ๆ ข้างๆ ของหลินโรวโร่วเช่นนี้จึงทำให้เย่เชียนนั้นอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและความรู้สึกต่างๆ นาๆ ทั้งความเสียใจและความสูญเสียจากเบื้องลึกของจิตใจก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างถาโถม กลับกันเพราะหลินโรวโร่วนั้นกำลังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นหน้าคนที่เธอเฝ้าคิดถึงเสมอมา
ในที่สุดรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินโรวโร่วและน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาโดยไม่คาดคิดและเธอก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วเธอจึงรีบปล่อยกระเป๋าเดินทางของเธอและรีบวิ่งเข้าไปหาเย่เชียนอย่างเร่งรีบ
เย่เชียนถึงกับผงะไปชั่วขณะและในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาและแล้วเขาก็เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นผู้หญิงเหมือนที่เขาเจอเป็นครั้งแรกและผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งเธอนั้นยังคงงดงามและเคลื่อนไหวได้ราวกับนางฟ้าที่ลงมาเยือนโลกใบนี้ และเธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีและน่ารักและก็มีหัวใจที่แข็งแกร่ง
เย่เชียนอ้าแขนและสวมกอดหลินโรวโร่วเอาไว้อย่างแน่นและโอบหัวของเธอเอาไว้บนไหล่ของเขา ซึ่งทำให้เย่เชียนนั้นตัวสั่นไปหมดและสะอึกสะอื้นเล็กน้อย ซึ่งมันเป็นเสียงและอาการแห่งความสุขและความอบอุ่นของความรักและหลินโรวโร่วนั้นก็คิดว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ก็ยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย
“คิดถึงฉันมั้ย” หลังจากนั้นไม่นานหลินโรวโร่วก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เย่เชียนและถาม
“อืม!” เย่เชียนก็พยักหน้าและจูบหน้าผากของหลินโรวโร่วอย่างอ่อนโยน เพราะนี่คือคำตอบที่ดีที่สุดเพราะไม่มีวิธีใดที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ได้ดีไปกว่านี้แล้ว
หลินโรวโร่วตอบสนองอย่างเขินอาย หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็ปล่อยมือออกจากตัวเธอและใบหน้าของหลินโรวโร่วก็เริ่มแดงระเรื่อและพูดว่า “ฉันคิดว่าคุณจะตื่นเต้นซะอีก..ทำไมคุณถึงนิ่งแบบนี้ล่ะ?” หลินโรวโร่วถามอย่างซุกซน
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และยืนเกาหัวอย่างเชื่องช้าจากนั้นเขาก็ยื่นดอกไม้ในมือออกมาและพูดว่า “สำหรับคุณ!”
หลินโรวโร่วก็สบตากับเย่เชียนและรอยยิ้มที่มีความสุขก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นบนใบหน้าของเธอ และเธอก็คิดในใจว่าอาจจะเป็นเพราะเย่เชียนนั้นเห็นเธอเดินออกมาพร้อมกับหลินยี่เมื่อครู่นี้เขาก็เลยคิดไปต่างๆ นาๆ
ในขณะนี้หลินยี่ก็ลากกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบมาและเดินไปเหลือบมองเย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและหันไปหาหลินโรวโร่วแล้วพูดว่า “พี่สาว..นี่แฟนของพี่งั้นเหรอ”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อยแต่ใบหน้าของเขานั้นดูตกตะลึง และเมื่อเห็นเช่นนั้นหลินโรวโร่วก็เหลือบมองไปที่หลินยี่และพูดกับเย่เชียนว่า “เขาคือลูกพี่ลูกน้องของฉัน..หลินยี่” จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับหลินยี่ว่า “เขาคือพี่เขยของนาย..เย่เชียน!”
พี่เขย! เย่เชียนโปรดปรานและชื่นชอบคำๆ นี้อย่างมากและเขาก็หัวเราะจากนั้นก็พูดว่า “อ้อ..ไงน้องชายสวัสดี!” เย่เชียนยิ้มและยื่นมือออกไป
หลินโรวโร่วก็จ้องมองเย่เชียนและพูดว่า “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะ”
เย่เชียนก็ยักไหล่ ซึ่งแน่นอนว่าหลินโรวโร่วนั้นต้องจัดการเรื่องที่ครุมเครือเช่นนี้ว่าทำไมเขาถึงได้เข้าใจผิดและแน่นิ่งไป
หลินยี่นั้นไม่ได้แยแสหรือจ้องมองไปที่เย่เชียนเลยแม้แต่น้อย ในมุมมองของเย่เชียนแล้วชายหนุ่มคนนี้หัวดื้อยิ่งกว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยเสียอีก เมื่อหลินยี่ชำเลืองมองไปที่เย่เชียนเล็กน้อยเขาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สาว..ถ้างั้นพี่กับแฟนของพี่ก็รีบไปทำอย่างว่ากันเถอะ..ฉันต้องรีบกลับไปที่เมืองหางโจวแล้ว”
“หยาบคาย!” หลินโรวโร่วจ้องเขม็งไปที่หลินยี่ด้วยความโกรธเล็กน้อย อย่างไรก็ตามถึงยังไงเธอก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรลูกพี่ลูกน้องของเธอ เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเธอและพ่อของเธอเองก็ฝากฝังเขาและคอยดูแลเขาเหมือนครอบครัวมาเสมอ ซึ่งตัวตนของหลินยี่และด้วยอำนาจและอิทธิพลของหลินไห่พ่อของเธอนั้นอาจพูดได้ว่าหลินยี่นั้นเป็นเหมือนหายนะของเมืองหางโจวอย่างแท้จริงได้ เพราะเด็กคนนี้มักจะสร้างปัญหาที่น่าปวดหัวให้กับครอบครัวเสมอ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ เลยเพราะเขาแค่มักจะรวมตัวกับเพื่อนฝูงเพื่อดื่มกินและสนุกสนานไปวันๆ เพียงเท่านั้น
เย่เชียนก็ยิ้มเยาะและยื่นมือออกไปตบไหล่ของหลินยี่เบาๆ และพูดว่า “น้องชาย..นายนี่ไม่เบาเลยนะ..ฉันล่ะชอบนายจริงๆ”
คำพูดที่ดูไม่ชัดเจนและคลุมเครือเช่นนี้ทำให้หลินยี่รู้สึกงุนงงเล็กน้อยและก็รู้สึกเจ็บที่ไหล่ของเขาอย่างบอกไม่ถูก แต่เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้จริงจังอะไรเลยเขาจึงปล่อยมือของเขาออกด้วยการลูบเบาๆ หลินยี่ก็หันหน้าไปมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ยังคงเม้มริมฝีปากของเขาด้วยความเย้ยหยัน ซึ่งในความคิดของหลินยี่นั้นศักดิ์ศรีของผู้ชายนั้นสำคัญที่สุดและต่อให้อีกฝ่ายจะทุบตีเขาจนตายก็ตามถึงยังไงแล้วเขาก็จะยิงอีกฝ่ายกลับเช่นกัน
เมื่อเห็นหลินยี่เดินจากไปแล้วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดกับหลินโรวโร่วเบาๆ ว่า “ป่ะ..กลับบ้านกันเถอะ!” หลินโรวโร่วก็พยักหน้าเบาๆ และปล่อยให้เย่เชียนควงแขนเธอเดินออกไปจากสนามบิน เห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นไม่ได้คาดหวังว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ ซึ่งหลินโรวโร่วนั้นก็รีบวิ่งไปท่ามกลางฝนหิมะที่โปรยปรายเหมือนกับเด็กๆ อย่างมีความสุขและอ้าแขนรับหิมะอย่างซุกซน
เย่เชียนก็เดินเข้าไปหาหลินโรวโร่วและถอดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วคลุมตัวของหลินโรวโร่วเอาไว้แล้วพูดว่า “ระวังเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
หลินโรวโร่วพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “นานแล้วนะที่ฉันได้เห็นหิมะมากมายขนาดนี้..ฉันยังไม่อยากกลับบ้านเลย..เย่เชียนเราไปเดินเล่นกันเถอะ..ฉันอยากไปดูแม่น้ำหวงผู่น่ะ”
“เอาสิ!” เย่เชียนควงแขนหลินโรวโร่วไปขึ้นรถและขับตรงไปที่แม่น้ำหวงผู่
“คุณเหนื่อยมั้ย..การเดินทางไปแอฟริกาใต้ในครั้งนี้คุณได้อะไรบ้าง?” เย่เชียนถามขณะที่เขาขับรถ
“ถ้าฉันไม่ได้เห็นมันด้วยตาตัวเองแล้วฉันก็คงไม่เชื่อหรอกว่ามันยังมีคนยากจนอย่างแท้จริงในโลกใบนี้..พวกเขายังไม่มีแม้แต่อาหารและเสื้อผ้าเลย..แล้วนับประสาอะไรกับการไปหาหมอ” หลินโรวโร่วพูดต่อ “เห้อ..ถ้าโลกใบนี้ไม่มีสงครามมันก็คงจะดีเนอะ”
“ยัยโง่..” เย่เชียนลูบหัวของหลินโรวโร่วเบาๆ และพูดว่า “ที่ใดมีผู้คนที่นั่นก็จะมีสงคราม..และไม่ว่าจะเป็นสงครามที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือสงครามภายในมันก็มีกันทุกที่ทุกหนทุกแห่งทั้งนั้นแหละ..มันคือสิ่งที่มนุษย์เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ก็ใช่..แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งๆ ที่มีกองทุนบรรเทาความยากไร้และกองทุนนักเรียนและกองทุนการแพทย์มากมายในโลก..แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถเข้าถึงคนยากจนเหล่านั้นได้เลยล่ะ..หรือโครงการและนโยบายเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่เบื้องหน้าเพื่อหน้าตาจากสังคมเท่านั้นน่ะหรอ” หลินโรวโร่วถอนหายใจและพูด
“ในความเป็นจริงคนเหล่านั้นใช้เงินจำนวนมากเพื่อสั่งสมความมั่งคั่งหรืออาจจะจัดสรรเงินทุนให้โครงการต่างๆ ก็จริง..แต่สุดท้ายมันก็อยู่ในกำมือของผู้มีอำนาจอยู่ดี..และการทำสิ่งต่างๆ น่ะมันก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและการยินยอมส่วนบุคคลจำนวนมากอยู่เสมอ..แต่ถึงยังไงพวกเขาก็ต้องการแก้ไขปัญหาทั้งหมดอยู่แล้ว..และตอนนี้คนยากจนเหล่านั้นน่ะก็อยู่ในสายตาของรัฐบาลต่างๆ แล้ว..เพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลย..ตราบใดที่เราทำในสิ่งที่เราควรทำและสิ่งที่เราทำได้มันก็เพียงพอแล้ว” เย่เชียนพูด
“อ่าห๊ะ!” หลินโรวโร่วพยักหน้าและพูดต่อ “นี่ๆ ..คุณรู้มั้ยว่าอะไรที่ฉันได้ยินบ่อยที่สุดในแอฟริกาใต้น่ะ”
“อะไรหรอ” เย่เชียนถามอย่างสงสัย
“ก็เขี้ยวหมาป่าไง! ..และที่ฉันได้ยินบ่อยที่สุดก็คือฉายาของคุณ..คนเหล่านั้นน่ะดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคารพคุณมากเลยนะ” หลินโรวโร่วพูด
เย่เชียนก็หัวเราะและพูดว่า “นั่นก็เพราะว่าแฟนของคุณได้ทำสิ่งดีๆ เอาไว้มากมายยังไงล่ะ”
“เห้อ..ฉันล่ะอายแทนคุณจริงๆ!” หลินโรวโร่วจ้องมองเย่เชียนอย่างซุกซน ซึ่งใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายคนนี้น่าหลงใหลเพราะถึงแม้ว่าเขาจะดูโหดร้ายและไร้ความปรานีแต่ทว่าจริงๆ แล้วเขานั้นเป็นคนดีที่มีจิตใจประเสริฐยิ่ง
ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่รถก็ได้แล่นมาถึงริมฝั่งแม่น้ำหวงผู่แล้ว ขณะนี้น้ำในแม่น้ำที่ไหลนิ่งก็ดูสงบพร้อมกับมีลมหนาวๆ พัดผ่านมาเป็นครั้งคราว
ทั้งสองก็ลงจากรถและขึ้นไปบนหอชมวิวและจ้องมองออกไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองซึ่งราวว่าเมืองถูกหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วทุกแห่ง หลินโรวโร่วก็สวมกอดเย่เชียนและมองออกไปไกลๆ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามอย่างช้าๆ ว่า “เย่เชียน..ทำไมคุณถึงพูดว่าคนเรามักจะเดินทางไปแสวงหาสิ่งต่างๆ รอบโลกล่ะ?”
เย่เชียนก็ผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ทำไมถึงถามคำถามที่ลึกซึ้งแบบนี้ล่ะ..นี่โรวโร่วของผมเป็นคนโรแมนติกเมื่อไหร่กันเนี่ย?”
หลินโรวโร่วก็จ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างมีความสุขและพูดว่า “คุณตอบฉันก่อนสิ”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คนที่ออกเดินทางไปยังโลกกว้างนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสวงหาคนที่เขารักมากที่สุดเพื่อปกป้องคนคนนั้นไปตลอดชีวิตโดยไม่เสียใจในชีวิตนี้..และจะไม่มีวันเสียใจ”
“แล้วคุณล่ะ?” หลินโรวโร่วถาม
“ผมหรอ” เย่เชียนเงยหน้าออกไปมองท้องฟ้าและเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “โลกของผมนั้นเรียบง่ายมาก..ผมคิดว่าโลกของผู้ชายน่ะไม่ใช่การแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่ตนปรารถนาหรอก..พวกนั้นมันมีแต่กลอุบายเท่านั้น..เพราะสำหรับผมน่ะคือการผจญภัยและการสร้างรอยยิ้มให้ตัวเอง..เพราะงั้นใครหลายๆ คนจึงยอมทิ้งคนรักของตนเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตนปรารถนา..แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นความสำนึกผิดที่โง่เขลาเพียงเท่านั้น”
“ทอดทิ้งคนรักงั้นหรอ..ถ้าเป็นในสมัยโบราณล่ะก็เขาคนนั้นจะต้องเป็นคนที่โง่เขลาอย่างมาก” หลินโรวโร่วยิ้มอย่างมีความสุขและพูดติดตลก
“ถ้าหากว่าเราพบรักแท้แล้วเราก็จะไม่มีความเสียใจอีกในชีวิตนี้” เย่เชียนพูดต่อ “ต่อให้เราจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนก็ตามการยืนอยู่บนจุดสูงสุดน่ะ..มันก็มีแค่ความเจริญรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์และถึงจะมีความสุขก็ตามถึงยังไงเดี๋ยวมันก็จางหายไป..สุดท้ายก็จะเหลือเอาไว้เพียงแค่กระดูก..และท้ายที่สุดแล้วก็จะเหลือเพียงถ้วยที่ว่างเปล่า.. แล้วความรุ่งโรจน์ที่แท้จริงหรือรักแท้ที่แท้จริงสำคัญกว่ากันนะ”
หลินโรวโร่วยิ้มอย่างมีความสุขและเธอนั้นก็ไม่ต้องการให้ผู้ชายของเธอเป็นดั่งวีรชนของโลกใบนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหลินโรวโร่วก็เข้าใจดีว่าการมีความสุขต่อหน้าเขานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะไร้ค่าหรือนั่งอยู่ในโลกที่รุ่งโรจน์ก็ตามแต่ตราบใดที่คนสองคนสามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้และพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันมันก็เพียงพอแล้ว
ระหว่างสวรรค์และโลกนั้นทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่งลง ในขณะนี้ทั้งสองกอดกันบนหอชมวิวและจ้องมองออกไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้จากระยะไกลท่ามกลางสายลมและหิมะเช่นนี้มันได้กลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในชีวิตของพวกเขา
ในขณะนี้ภาพเหล่านี้มันจะกลายเป็นความนิรันดร์และกลายเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดของคนสองคน
“ฉันหนาวแล้ว..เรากลับกันเถอะ!” หลินโรวโร่วเงยหน้าขึ้นมองไปที่เย่เชียนและพูด
“อ่าห๊ะ!” เย่เชียนก็พยักหน้าและกอดเธอแน่นขึ้นเพื่อหวังว่าจะใช้อุณหภูมิในร่างกายของเขาเพื่อหลอมละลายหญิงสาวที่เจ็บปวดและน่าสงสารคนนี้
.
.
.
.
.
.
.