ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 306 เยือนแดนอาทิตย์อุทัย
ตอนที่ 306 เยือนแดนอาทิตย์อุทัย
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจอดรถจากนั้นก็มองไปที่เด็กผู้หญิงคนนี้ที่กำลังร้องไห้อยู่บนไหล่ของเขาอย่างท่วมท้น
เย่เชียนก็ค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ ว่า “เสี่ยวเซ่ว..” แต่เมื่อคำพูดนั้นๆ กำลังจะออกมาจากปากของเขาเย่เชียนก็ต้องกลืนมันลงไปเพราะเขาไม่รู้วิธีที่จะปลอบใจเธอจริงๆ ดังนั้นเขาจึงลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ
หลังจากนั้นไม่นานฮันเซ่วก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเย่เชียนและพูดอย่างหนักแน่นและแน่วแน่ว่า “ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งฉันจะต้องทำให้พี่ตกหลุมรักฉันให้ได้!” หลังจากพูดจบแล้วเธอก็เช็ดน้ำตาออกและดวงตาของเธอก็แน่วแน่และมั่นคงอย่างมากเป็นพิเศษ
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเพราะเขาจะพูดอะไรได้ล่ะในตอนนี้? บางทีเมื่อเธอเติบโตขึ้นและพบกับผู้ชายที่เธอรักจริงๆ แล้วล่ะก็เธอก็จะรู้เองว่าเธอต้องทำอย่างไร…
ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็ถึงบ้าน และเมื่อทั้งสองเปิดประตูเข้ามาหลินโรวโร่วก็จ้องมองไปที่ฮันเซ่วและเธอก็ตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นดวงตาของฮันเซ่วเป็นสีแดงก่ำอยู่ภายในดวงตาของเธอ เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินโรวโร่วก็จ้องเขม็งไปที่เย่เชียนอย่างดุร้าย นั่นก็เพราะว่าผู้หญิงนั้นมักจะอ่อนไหวได้ง่ายและหลินโรวโร่วเองก็เดาได้โดยธรรมชาติเลยว่ามันคืออะไร
“พ่อคะ!” เย่หลินก็วิ่งไปหาเย่เชียนและหยิบเสื้อของเขาไปแขวนให้บนไม้แขวนเสื้ออย่างกระตือรือร้น จากนั้นเย่หลินก็หันหน้าไปมองฮันเซ่วและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “อ๊ะ! ..พี่สาวเซ่วร้องไห้หรอคะ”
“เด็กน้อยอย่างหนูไม่ต้องไปยุ่งกับพี่ๆ เขาหรอกน่า” เย่เชียนมองไปที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ และพูด
เย่หลินก็แลบลิ้นใส่เย่เชียนและจูงมือฮันเซ่วไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วพูดว่า “ดูนี่สิ..พี่สาวโรวโร่วทำเองหมดเลย..หนูแอบกินไปคำนึงมันอร่อยมาก!
ฮันเซ่วเหลือบมองไปที่หลินโรวโร่วจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินโรวโร่วก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและคีบเนื้อหมักชิ้นหนึ่งลงไปในชามของฮันเซ่วและพูดว่า “ลองชิมดูสิ..เธอชอบมันมั้ย”
“ขอบคุณค่ะ!” ฮันเซ่วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“เอ่อว่าแต่..เสี่ยวเอ๋อ..เอ็งกลับมาพร้อมกับเสี่ยวเซ่วได้ยังไง?” ชายชราถามด้วยความประหลาดใจ
“อ๋อๆ ..ผมผ่านหน้าโรงเรียนของเสี่ยวเซ่วพอดีน่ะ..เพราะงั้นหลังจากเสร็จธุระแล้วผมก็เลยรับเธอกลับมาด้วย” เย่เชียนยิ้มเบาๆ และเดินผ่านไป ชายชราก็มองไปที่ฮันเซ่วจากนั้นก็หันไปมองที่เย่เชียนอีกครั้งและเขาก็พยักหน้าด้วยความประหลาดใจและงุนงง
หลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้วฮันเซ่วและพ่อก็ไปที่ห้องครัวเพื่อล้างจาน ส่วนเย่เชียนและหลินโรวโร่วก็กำลังเล่นหยอกล้อกับเย่หลินอยู่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งพ่อกับฮันเซ่วที่อยู่ในห้องครัวนั้นก็ยังสามารถได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่นได้อย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตามหลินโรวโร่วก็ยังคงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติบางอย่างกับเย่เชียนและฮันเซ่ว และเมื่อหลินโรวโร่วจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยเย่เชียนก็แลบลิ้นใส่เธออย่างซุกซน
จวบจนถึงหัวค่ำเย่เชียนกับหลินโรวโร่วก็ออกมาจากบ้าน และถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ ของวันนี้มันจะดูสั้นและผ่านพ้นเร็วไปหน่อย ก็ตามถึงยังไงมันก็มีความสุขมาก เช้าวันรุ่งขึ้นหลินโรวโร่วได้เตรียมเอกสารการสมัครงานและดูเหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะเข้าไปทำงานที่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปอย่างจริงจัง ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้คัดค้านเธอเพราะสถานการณ์ต่างๆ โดยรวมในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นก็เริ่มคงที่แล้วแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ส่วนทางด้านของมณฑลเหอหนานนั้นก็มีหลี่จื้อเทียนคอยดูแลและจัดการสิ่งต่างๆ อยู่ซึ่งเย่เชียนก็เชื่อว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรใดๆ
หลินโรวโร่วก็โทรไปหาหลินไห่กับซูเหม่ยผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอโดยบอกว่าเธอยังมีอะไรที่ต้องทำอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้และเธอก็จะอยู่ที่นี่ก่อนและจะกลับไปพบพวกเขาทีหลัง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกันเพราะพวกเขาก็ยินดีที่จะให้หลินโรวโร่วกับเย่เชียนได้อยู่ด้วยกันแล้วเพราะเมื่อพวกเขารู้ว่าเย่เชียนนั้นสามารถดูแลลูกสาวของพวกเขาได้ในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังคงคิดถึงเธออย่างมากเพราะท้ายที่สุดแล้วหลินโรวโร่วนั้นเป็นลูกสาวของพวกเขาเอง
ถึงแม้ว่าหลินโรวโร่วนั้นจะกำชับเย่เชียนว่าเขาไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในเรื่องการสมัครงานของเธอก็ตามแต่ทว่าเย่เชียนก็ยังแอบโทรไปหาซ่งหลันอยู่ดี นั่นก็เพราะว่าในยุคนี้นั้นความสามารถมันก็เป็นเพียงแค่สิ่งหนึ่งและโอกาสก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งบางทีความสามารถนั้นมันก็ไม่จำเป็นเพราะสิ่งที่จำเป็นกว่าก็อาจจะเป็นโอกาสหรือโชคชะตานั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านั้นก็ได้รับการจัดการโดยซ่งหลันมาโดยตลอดและท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลดีในด้านสวัสดิการและค่าตอบแทน ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่เชื่อในตัวบุคคลภายนอกมากนักและซ่งหลันเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน เพราะการดูแลและการบริหารจัดการเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นทำให้ซ่งหลันเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอดและก็จะยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเย่เชียนเองก็มีทั้งความรู้สึกที่เสียใจและความรู้สึกที่ขอบคุณกับผู้หญิงคนนี้มากอย่างท่วมท้น และเนื่องจากหลินโรวโร่งเองที่ต้องการและปรารถนาในการทำงานในเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแห่งนี้เย่เชียนจึงให้การสนับสนุนเธอเป็นอย่างดีเพราะในอนาคตภายภาคหน้านั้นหลินโรวโร่วคนนี้จะสามารถช่วยซ่งหลันแบ่งเบาภาระและสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมายแน่นอน
หลังจากปรับตัวและจัดการสิ่งต่างๆ อีกหลายวันต่อมาเย่เชียนนั้นก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเรื่องของตงเซียงกรุ๊ปนั้นได้รับการแก้ไขแล้วแต่ถึงยังไงก็ยังมีองค์กรนักฆ่าดาร์คลิลลี่ผู้เป็นดั่งเจ้ากรรมนายเวรที่ท้าทายความรุ่งโรจน์ของเขี้ยวหมาป่ามาโดยตลอดนั้น ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะถึงเวลาแล้วที่ต้องสะสางสิ่งต่างๆ กับพวกเธอและ นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มยากูซ่ายามากุจิที่ดูเหมือนว่าจะยังคงเคียดแค้นจากการที่หัวหน้าแก๊งของพวกเขาถูกเหล่าเขี้ยวหมาป่าตัดหัวไป
ความสามารถของม่อหลงนั้นก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพราะในช่วงที่เย่เชียนออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเพื่อกลับไปยังสำนักงานใหญ่เขี้ยวหมาป่าก่อนหน้านี้นั้นม่อหลงก็ได้รวบรวมเหล่าสมาชิกและกองกำลังที่เหลือของหงเหมินกรุ๊ปและแก๊งชิงเข้าด้วยกัน ส่วนหวังหูกับหลี่ตงนั้นก็ได้รับมอบหมายงานจากเย่เชียนด้วยเช่นกันเพราะท้ายที่สุดแล้วเย่เชียนก็ต้องการที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมนรกใต้ดินเหล่านี้ให้ถูกกฎหมายเขาจึงวางแผนที่จะส่งมอบธุรกิจใต้ดินเหล่านี้ให้หวังหูและหลี่ตงจัดการ
ในการเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้นั้นม่อหลงก็มาพร้อมกับชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยส่วนอู๋หวนเฟิงนั้นก็ยังคงพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บของอยู่และเขาก็ยังต้องฝึกฝนสักอีกระยะและรอให้ร่างกายฟื้นตัวได้เต็มที่เท่านั้น
ส่วนเหล่าบอดี้การ์ดของหงเหมินกรุ๊ปและมาเฟียของแก๊งชิงนั้นเย่เชียนก็ส่งมอบให้หวังหูและหลี่ตงจัดการเพราะถึงยังไงแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เชี่ยวชาญในเรื่องของท้องถนนและเรื่องโลกใต้ดินของเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้วิธีการที่เหมาะสมและจะสามารถควบคุมคนเหล่านี้ให้เคารพและเชื่อฟังพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ประเทศญี่ปุ่นนั้นอาจจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่รับรองและสนับสนุนโลกใต้ดินอย่างถูกกฎหมาย นั่นก็เพราะว่าประชากรในประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้เกือบ 1 ใน 3 นั้นมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ผัวพันกับโลกและธุรกิจใต้ดินเสมอ ซึ่งที่แห่งนี้คือประเทศที่มีจิตสำนึกในชาติของตนที่แข็งแกร่งและต่อต้านชนชาติอื่นๆ อย่างสมบูรณ์ดั่งคำว่า ‘ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก’ แต่ถ้าหากกล่าวอีกนัยหนึ่งนี่อาจจะเป็นความมั่นใจในตนเองในทางที่ผิดที่พวกเขาสร้างขึ้นมาภายใต้ปมด้อยของตนเอง
ในประเทศญี่ปุ่นนั้นชาวชีนเองก็ได้สร้างโลกของตัวเองเอาไว้เช่นกันโดยมีชื่อว่าฝูชิง ซึ่งด้วยความทะเยอทะยานและความอุตสาหะนั้นจึงก่อให้เกิดแก๊งเจ้าพ่อมาเฟียชาวจีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เขี้ยวหมาป่ามาเยือนที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อทำภารกิจลอบสังหารหัวหน้าแก๊งยากูซ่ายามากุจินั้นเหล่าเขี้ยวหมาป่าก็ได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากแก๊งฝูชิงนั่นเอง ซึ่งในครั้งนี้เย่เชียนก็ได้ติดต่อกับพวกเขาอย่างเป็นทางการด้วยตนเอง
…..
ณ สนามบินนานาชาติฮาเนดะโตเกียวใจกลางเมืองหลวงประเทศญี่ปุ่นเย่เชียน,ม่อหลง,ชิงเฟิง,หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เดินออกมาจากบอร์ดเวย์ของทางเชื่อมเครื่องบินมายังเทอร์มินอลทีละคนๆ และเมื่อยื่นหนังสือเดินทางพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยของสนามบินแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแล้วบ่นพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่น
“อาจารย์! ..เขาพูดว่าอะไรอ่ะ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัดและถามด้วยความงุนงง
“เฮ้ย..เขาด่าแม่นายอ่ะ!” เย่เชียนแกล้งพูดโกหกอย่างชั่วร้าย
“แม่งเอ้ย!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ขมวดคิ้วแน่นจ้องเขม็งไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพูดว่า “แม่แกสิ! ..ฉันมาที่นี่เพื่อมาท่องเที่ยวแต่แกกลับต้อนรับกันแบบนี้เนี่ยนะ!”
เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยนั้นไม่เข้าใจภาษาจีนเขาเพียงจ้องมองไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยด้วยความประหลาดใจ “อ้อ..เขาพูดว่าเขามาที่นี่เพื่อมาท่องเที่ยว..และเขาก็มีความสุขมากที่พวกคุณต้อนรับและบริการอย่างดี..และเขาก็ฝากทักทายแม่ของคุณด้วย” ชิงเฟิงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นจากด้านข้างของหวงฟู่เส้าเจี๋ย
“ขอบคุณ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดด้วยภาษาจีนที่ไม่ชัดเจนมากนัก จากนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็หยิบพาสปอร์ตจากมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นกลับมาและเดินออกมาและถามด้วยความประหลาดใจว่า “อาจารย์บอกผมเองไม่ใช่หรอว่าพวกชาวญี่ปุ่นน่ะเป็นพวกเย่อหยิ่งในศักด์ศรี..แล้วที่ผมพาดพิงถึงแม่ของเขาไปแบบนั้นแต่ทำไมเขาถึงยังพูดขอบคุณล่ะ
“เขาหลงเสน่ห์ของนายเข้าให้แล้วยังไงล่ะ!” เย่เชียนพูดพร้อมกับกลั้นหัวเราะเอาไว้
ม่อหลงเองก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้างๆ ส่วนชิงเฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง ซึ่งทำให้หวงฟู่เส้าเจี๋ยประหลาดใจและงุนงงอย่างมาก
เมื่อพวกเขาเดินออกจากสนามบินแล้วพวกเขาก็เห็นชายวัยกลางคนเข้ามาทักทายและพูดอย่างสุภาพว่า “คุณเย่ใช่มั้ยครับ”
“ใช่..แล้วคุณคือ…” เย่เชียนยิ้มและพูด
“สวัสดีฉันชื่อโย่วซวน..ฉันเป็นหัวหน้าของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิง..ฉันมารอต้อนรับพวกคุณ..ลำบากกันหน่อยนะครับ” โย่วซวนพูดอย่างสุภาพซึ่ง โย่วซวนนั้นดูเป็นสุภาพบุรุษมากเขาสวมแว่นตาสีทองและแต่งตัวเรียบร้อยมาก ถ้าหากเขาไม่ได้บอกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วล่ะก็เย่เชียนคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นถึงหัวหน้าของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงที่มีชื่อเสียงเช่นนี้
“สวัสดีครับ..ผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณมานานแล้ว..แต่ผมโชคไม่ดีเลย..เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมมาเยือนญี่ปุ่นผมไม่ได้มาพบคุณเลย..ผมขอโทษจริงๆ ครับ” เย่เชียนยื่นมือออกมาและพูดด้วยรอยยิ้ม ชื่อของโย่วซวนนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นและที่แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงสามารถมีสถานะในปัจจุบันได้นั้นหากปราศจากโย่วซวนคนนี้แล้วก็มิอาจยิ่งใหญ่ได้เลย
“โอ้..ไม่เป็นอะไรครับคุณเย่..ฉันเองก็ได้ยินชื่อเสียงและตำนานของคุณเย่มาตั้งนานแล้ว..ล่าสุดที่คุณเย่ได้ตัดหัวของหัวหน้าแก๊งยากูซ่ายามากุจิในตอนนั้นน่ะ..การกระทำนี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วประเทศญี่ปุ่นเลย..และตอนนี้ชื่อของเขี้ยวหมาป่านั้นก็เป็นที่ประจักษ์และเป็นที่หวาดกลัวของเหล่าองค์กรใหญ่ๆ ในประเทศกันทั้งนั้น..” โย่วซวนยื่นมือออกมาและจับมือกับเย่เชียนและพูด
“เหอะๆ ..เราไม่ควรยกย่องกันมากไปกว่านี้แล้วล่ะ..เดี๋ยวหิมะมันจะถล่มใส่พวกเราน่ะ..ฮ่าฮ่า” เย่เชียนพูดและหัวเราะอย่างเป็นกันเอง
“คุณเย่เป็นคนอารมณ์ขันมาก..ฮ่าฮ่า” โย่วซวนยิ้มและพูดว่า “ทุกคนเชิญขึ้นรถได้เลยครับ..ท่านผู้นำของพวกเรารออยู่ที่สโมสรแล้ว”
“ขอบคุณครับ!” เย่เชียนพูดและเดินตามโย่วซวนเข้าไปในรถ ในขณะที่ม่อหลง,ชิงเฟิงและ,หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นขึ้นรถอีกคันไป ประเทศญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนว่ามันจะหนาวกว่าประเทศจีนในฤดูหนาวเสียอีก แต่เครื่องปรับอากาศในรถก็ทำให้สะดวกสบายและอบอุ่นมากขึ้น ระหว่างทางเย่เชียนเย่เชียนก็เห็นเหล่าหญิงสาวหลายคนบนท้องถนนที่สวมกระโปรงสั้นๆ และกางเกงเลกกิ้งและเสื้อแจ็คเก็ตบางๆ บนร่างกายของพวกเธอและสิ่งนี้ก็ทำให้เย่เชียนถึงกับตัวสั่นเล็กน้อย
เมื่อเห็นดวงตาของเย่เชียนที่เป็นประกายแล้วโย่วซวนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คุณเย่สนใจพวกเธอหรือ..ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นน่ะอ่อนไหวง่าย..แค่เราอ่อนโยนกับพวกเธอแค่นั้นพวกเธอก็ไม่ต่อต้านเราแล้ว..อย่างคุณเย่น่ะฉันเชื่อเลยว่าพวกเธอจะไม่ขัดขืนเลยแหละ”
เย่เชียนยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “อ๋อไม่ใช่แบบนั้นครับ..ผมก็แค่สงสัยว่าพวกเธอไม่กลัวความหนาวเลยหรอ?”
“ความงดงามคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจของพวกเธอน่ะฮ่าฮ่า..อันที่จริงแล้วผู้หญิงชาวญี่ปุ่นน่ะน่าสงสารที่สุดเลยและเทียบไม่ได้กับเหล่ากุลสตรีของประเทศเราเลย..อันที่จริงบางครั้งฉันเองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ..ว่าการได้แต่งงานกับผู้หญิงชาวญี่ปุ่นและมีพวกเธอเป็นภรรยาน่ะคงจะดีมากไม่น้อยเลย” โย่วซวนพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและอาจจะเป็นเพราะว่าเขามักจะชอบดูหนังและสื่อลามกอนาจารของประเทศญี่ปุ่นมากเกินไปหน่อยเพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงกลัวเหล่าหญิงสาวชาวญี่ปุ่นอยู่เล็กน้อย “ผมคิดว่าบางทีมันเกินไปหน่อยน่ะ..จากหนังที่ผมดูมา”
โย่วซวนเม้มริมฝีปากและยิ้มเบาๆ ซึ่งเขาที่มักจะสุภาพและสุขุมอยู่เสมอจะไม่หัวเราะเหมือนกับเย่เชียนที่ดูอารมณ์ดีอยู่เมอ “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมดหรอก..ชีวิตของผู้หญิงบางคนน่ะต้องการแค่มีชื่อเสียงและความมั่งคั่งเพียงเท่านั้น..และแน่นอนว่าฉันน่ะกำลังมองหาภรรยาที่เป็นผู้หญิงที่ดีที่ไม่ใช่แบบในหนังที่คุณเย่ดูมา” โย่วซวนพูดและยิ้ม
.
.
.
.
.
.
.