ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 314 เกลียดแต่ก็รัก
ตอนที่ 314 เกลียดแต่ก็รัก
ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเกินไปสำหรับเย่เชียน ซึ่งพูดได้ว่ามารุยาม่ามิซูกินั้นดีกับเย่เชียนมาตั้งแต่เขายังเด็กแล้วเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะฆ่าผู้มีพระคุณลงได้ยังไง? และยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดทั้งมวลและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่สามารถกล่าวโทษมารุยาม่ามิซูกิได้เลยเพราะมันไม่ใช่ความผิดของเธอ มันเป็นเพียงแค่โชคชะตาฟ้ากลั่นแกล้งเพียงเท่านั้น
เย่เชียนก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็พูดว่า “ครูฝึก..ไม่สิ..พี่มิซูกิ..ถึงบางทีกัปตันอาจทำอะไรผิดพลาดไปแต่ยังไงเขาก็ถูกลงโทษและได้รับผลกรรมนั้นๆ แล้ว..เพราะตั้งแต่พี่ออกจากเขี้ยวหมาป่าไปกัปตันก็ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนก่อนเลย..และบางครั้งเขาก็มักจะจ้องมองนาฬิกาอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว”
มารุยาม่ามิซูกิก็ถึงกับสั่นสะท้านและเธอก็สัมผัสที่นาฬิกาที่ข้อมือของเธอโดยไม่รู้ตัวเพราะนาฬิกาเรือนนี้เป็นของคู่กับของนาฬิกาของเทียนเฟิง ซึ่งหลังจากที่พวกเขาทำภารกิจแรกสำเร็จกันแล้วมารุยาม่ามิซูกิก็ซื้อนาฬิกาเรือนนั้นให้เทียนเฟิงซึ่งนาฬิกาของเทียนเฟิงนั้นมีเพียงเข็มชั่วโมงในขณะที่นาฬิกาของมารุยาม่ามิซูกินั้นมีเพียงเข็มนาที ซึ่งมันหมายความว่าคนสองคนจะต้องอยู่ด้วยกันเพื่อให้รู้เวลาที่แท้จริง ซึ่งนาฬิกาคู่นี้มีรสนิยมและความหมายที่ยอดเยี่ยมแอบแฝงเอาไว้อย่างดี
“ผมน่ะ..ผมเองก็คิดมาเสมอว่าคงจะเป็นเพราะกัปตันคิดถึงพี่มาโดนตลอดและตอนนั้นเขาคงจะเสียสมาธิไปเพราะนึกถึงพี่จนพลาดไปถูกกระสุนของศัตรูในภารกิจหนึ่ง..และเมื่อกัปตันกำลังจะสิ้นใจเขาบอกกับผมว่าเขาขอให้ผมไปตามหาพี่..แต่ตอนนั้นผมก็ยังเด็กผมมีความสามารถไม่พอ..ผมขอโทษ..แต่กัปตันน่ะเขารู้ดีว่าพี่จะไม่มีวันให้อภัยเขาในชีวิตนี้และเขาก็บอกว่าเขาทำได้แค่รอชาติหน้าเพื่อชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็นหนี้พี่” เย่เชียนค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ “พี่มิซูกิ..ตั้งแต่ต้นจนจบจวบจนวาระสุดท้ายของเขา..กัปตันก็ยังคงรักพี่เสมอ..ผมคิดว่านี่เป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของกัปตัน..และตอนนี้กัปตันก็ตายไปแล้วและจู้จือเองก็ตายไปแล้ว..และทำไมพี่ถึงปลดปล่อยความเกลียดชังของพี่ไปไม่ได้ล่ะ? ..พี่มิซูกิ..”
ในขณะนี้เวลานี้มารุยาม่ามิซูกิก็ได้หลั่งน้ำตาออกมาแล้วซึ่งถ้าไม่มีความรักแล้วมันจะมีความเกลียดชังได้อย่างไร? เป็นเพียงเพราะความรักที่ทำให้เธอเกลียดชังอย่างรุนแรงเพียงเท่านั้น ลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงรักเทียนเฟิงและไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่เย่เชียนพูดออกมานั้นมารุยาม่ามิซูกิก็จับนาฬิกาที่ข้อมือของเธอด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอและเธอก็พึมพำว่า “คงถึงเวลาแล้วสินะ..เวลาที่ฉันต้องไปหาเขา..เขาคงจะเหงามากเลยเนอะ..ฉันหวังว่าในอีกโลกหนึ่งเขาจะไม่ทิ้งฉันและจะไม่ปล่อยฉันให้คนอื่นอีก”
ในใจของมารุยาม่ามิซูกินั้นเธอไม่เคยเกลียดเทียนเฟิงเลยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นเพราะความรักและไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนและไม่ว่าเธอจะน่ากลัวสักแค่ไหนถึงยังไงเธอก็จะเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังเฝ้าปรารถนาให้ผู้ชายที่รักของเธอมาโอบกอดเธอและทำให้เธออบอุ่น ซึ่งในใจของเธอนั้นมีเพียงปมเดียวที่หลงเหลืออยู่นั่นก็คือเทียนเฟิงเคยรักตัวเองบ้างหรือเปล่า? แต่ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วเธอก็รู้ว่าเทียนเฟิงนั้นรักเธอมากแค่ไหนและไม่น้อยไปกว่าที่เธอรักเขาเลย เพียงแค่ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไปและยึดมั่นในความเป็นพี่น้องมากเกินไป และสุดท้ายเธอก็ต้องโทษโชคชะตาเพียงเท่านั้นที่ทำให้เธอเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น
“พี่มิซูกิอย่า! …” เย่เชียนตะโกนอย่างร้อนรน
ใบหน้าของมารุยาม่ามิซูกิที่ไม่ได้ยิ้มมานานกว่าสิบปีก็ได้เผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งและเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ไอ้หนูเย่เชียน! ..สัญญากับพี่หน่อยสิว่าหลังจากที่พี่ตายไปแล้วเอ็งจะฝังขี้เถ้าของพี่เอาไว้กับเทียนเฟิง..เราจะได้ไปอยู่ด้วยกันในโลกหลังความตาย..ในเมื่อเขาตายไปแล้วเพราะงั้นพี่ก็ไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความเกลียดชังนั้นถึงยังไงเทียนเฟิงก็คือทุกๆ ความหมายของมารุยาม่ามิซูกิมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้นั้นเธอคิดเพียงว่าเธอจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเทียนเฟิงแต่ทว่าตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วเพราะเธอพบเป้าหมายของเธอแล้วซึ่งนั่นก็คือการติดตามเทียนเฟิงไปตลอดกาล
เย่เชียนก็อดไมได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัวและกำลังจะอ้าปากจะพูดแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าความตายอาจเป็นจุดจบและสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมารุยาม่ามิซูกิผู้เป็นดั่งพี่สาวและผู้มีพระคุณที่เปลี่ยนชีวิตของเขาคนนี้ ซึ่งอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เธอปรารถนาที่จะติดตามเทียนเฟิงไปตลอดกาล
มารุยาม่ามิซูกิก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอและเธอก็พูดว่า “เย่เชียน! ..พี่ขอโทษ..พี่ขอโทษที่ดาร์คลิลลี่ของพี่ทำให้เอ็งมีปัญหามากมายมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา..แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ของพี่..พี่ไม่สามารถชดใช้ให้เอ็งได้เลย..ถ้าหากเราเจอกันในชีวิตหลังความตายล่ะก็ฉันจะชดใช้ทุกอย่างให้เอ็งนะ..แต่เอ็งก็อย่าเพิ่งรีบตายล่ะเจ้าน้องชาย..นี่! ..รับตราโทเค่นนี้เอาไว้..ต่อจากนี้ไปเอ็งจะสามารถสั่งนักฆ่าขององค์กรดาร์คลิลลี่ทั้งหมดได้และนับจากนี้ไปพวกเธอทั้งหมดจะเชื่อฟังเอ็ง..โชคดีนะเจ้าน้องชายตัวน้อย! ..เทียนเฟิงรอฉันด้วย!” เมื่อคำพูดคำสุดท้ายหลุดออกมาจากปากของเธอแล้วเธอก็ใช้มัดขอวเธอแทงเข้าไปที่หน้าอกของตัวเองด้วยมีดเพียงเล่มเดียวเลือดของเธอก็ไหลออกมาท่วมพื้นแต่เธอก็ยังคงยิ้มอยู่และใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากมีดนั้นก็ดูงดงามเป็นพิเศษในเวลานี้
ดวงตาของเย่เชียนก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเย่เชียนก็พยายามระงับอารมณ์ที่โศกเศร้าของเขาเอาไว้และรีบเดินไปด้านข้างของมารุยาม่ามิซูกิและอุ้มร่างของเธอขึ้นมาแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะเวลากำลังจะหมดลงแล้วและถ้าหากเขาช้าเกินไปล่ะก็มันจะเลวร้ายอย่างมากเพราะเสียงไซเรนของรถตำรวจข้างนอกก็ดังไปทั่วท้องฟ้าแล้วเพราะฉะนั้นถ้าหากช้าเกินไปก็จะถูกเหล่าตำรวจรายล้อมเอาไว้และจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายอย่างมาก
ชิงเฟิงและนากาจิมะชินนะที่กำลังรออยู่ด้านนอกของประตูอย่างใจจดใจจ่อเมื่อเห็นเย่เชียนที่มาพร้อมกับร่างของมารุยาม่ามิซูกิแล้วพวกเขาทั้งสองก็ตกตะลึงอย่างมาก “บอส! ..นี่..” ชิงเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ผู้นำขององค์กรดาร์คลิลลี่!” เย่เชียนพูด
“เอ้า! ..แล้วทำไมบอสถึงต้องอุ้มร่างของเธอมาด้วยล่ะ?” ชิงเฟิงถามด้วยท่าทางที่งุนงง
“ค่อยว่ากันทีหลัง..และพี่น้องคนอื่นๆ ล่ะ..พวกเขาทั้งหมดออกไปอย่างปลอดภัยแล้วรึยัง?” เย่เชียนถาม
“มีแปดคนที่เสียชีวิตในระหว่างเข้าปะทะครับ..ส่วนที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและร้ายแรง..แต่พวกเขาถูกส่งตัวไปยังที่พักของแก๊งฝูชิงแล้ว..และกำลังจะส่งพวกเขาไปโรงพยาบาลโดยไม่มีปัญหาใดๆ ผ่านแก๊งฝูชิงครับ” ชิงเฟิงพูด
มีคนทั้งหมดยี่สิบคนและแปดคนเสียชีวิตในสนามรบซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกเศร้าอย่างมาก แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักฆ่าจากองค์กรดาร์คลิลลี่ที่แข็งแกร่ง “ไปกันเถอะ..รีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!” เย่เชียนพูดต่อ “ชิงเฟิง..นายไปรับพี่ม่อหลงที”
“รับทราบ!” ชิงเฟิงตอบและหันกลับไปมองที่นากาจิมะชินนะและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ดูแลตัวเองด้วยนะ..ค่อยเจอกัน!” หลังจากพูดเขาก็รีบออกไปเพื่อไปสมทบกับม่อหลง
จากระยะไกลนั้นม่อหลงก็รู้สึกโล่งใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเย่เชียนออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว และเหล่าเจ้าหน้าที่ของบริษัทไอร่อนบลัดก็ออกมาแล้ว แต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ยังคงอยู่ข้างในและเมื่อม่อหลงเห็นรถตำรวจกำลังจะมาม่อหลงก็ถึงกับปาดเหงื่อเพราะกังวลว่าเย่เชียนจะออกมาได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าเหล่าตำรวจจากกรมตำรวจและสถานีตำรวจนครบาลโตเกียวกำลังมุ่งตรงกันไปยังจุดของเย่เชียนแล้วม่อหลงก็หันกลับมาและหยิบเครื่องยิงจรวดที่เตรียมไว้และเล็งไปที่ศาลาแล้วก็กดปุ่มจากนั้นจรวดก็พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว “บึ้ม!” ด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงอาคารทั้งหลังถูกระเบิดลงมาและเหล่าตำรวจที่กำลังจะวิ่งเข้าไปก็ถอยกันออกมาและล้มระเนระนาดและพื้นทั้งหมดดูเหมือนจะสั่นราวกับแผ่นดินไหวขนาดย่อม
ม่อหลงก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่บาซูก้าในมือของเขาและพึมพำว่า “เฮ้ยๆ ..แก๊งฝูชิงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ..นี่มันหัวระเบิดแบบพิเศษเลยไม่ใช่เหรอ” ม่อหลงก็ไม่กล้าที่จะรอช้าอีกเขาจึงรีบออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
เซี่ยจือยี่นั้นก็รออยู่ที่นั่นแล้วที่สถานที่นัดพบซึ่งคือที่ตั้งของแก๊งฝูชิงในส่วนของห้องโถงใหญ่ซึ่งมันปลอดภัยมาก และเมื่อเธอเห็นเย่เชียนอุ้มร่างของมารุยาม่ามิซูกิมาและนากาจิมะชินนะที่กำลังจะก้าวออกจากรถมาเซี่ยจือยี่ก็รีบเข้าไปทักทายว่า “คุณเย่ค่ะ..คนของคุณได้รับการจัดให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว..ซึ่งเป็นสถาบันแพทย์แผนจีนของชาวจีนของเรา..เพราะงั้นจะไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยค่ะ” เซี่ยจือยี่พูด
“ขอบคุณครับ..คุณเซี่ย!” เนื่องจากเรื่องของมารุยาม่ามิซูกินั้นทำให้เย่เชียนไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรและอยู่ในความโศกเศร้าอย่างมากเย่เชียนจึงไม่มีรอยยิ้มใดๆ เผยให้เห็นบนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อยรวมไปถึงน้ำเสียงของเย่เชียนก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ..ว่าแต่คุณเย่เป็นอะไรมั้ยคะ” เซี่ยจือยี่พูดต่อ “แล้วนี่…เธอควรรีบไปโรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรอคะ” เห็นได้ชัดเลยว่ามารุยาม่ามิซูกินั้นกำลังจับมือของเย่เชียนเอาไว้แน่นซึ่งมือของเธอนั้นก็ดูขาวซีดแล้ว เพราะฉะนั้นเซี่ยจือยี่จึงรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้นั้นได้หมดลมหายใจไปแล้วแต่ทว่าเซี่ยจือยี่นั้นก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่สำคัญมากสำหรับเย่เชียนหรือไม่เพราะงั้นเธอจึงถามด้วยความไม่แน่ใจ
“ไม่ครับ..แบบนี้น่าจะเป็นตอนจบที่ดีที่สุดของเธอแล้วล่ะ” เย่เชียนพูดด้วยความโศกเศร้า
“คุณเย่คะ..คือ..ทำไมม่อหลงถึงยังไม่กลับมาล่ะ?” เซี่ยจือยี่ถามด้วยความเขินอายและกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร..ไม่ต้องกังวล..ชิงเฟิงไปรับเขาแล้ว” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
เซี่ยจือยี่ก็พยักหน้าเพราะถ้าหากม่อหลงตายไปง่ายๆ ล่ะก็เขาคงจะไม่ใช่ผู้ชายที่เธอชอบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและวุ่นวายเพราะฉะนั้นเธอก็ยังคงกังวลเล็กน้อยเมื่อไม่ได้เห็นม่อหลงกลับมาพร้อมกับเย่เชียน หลังจากพาเย่เชียนและนากาจิมะชินนะเข้าไปในห้องโถงแล้วเธอก็สั่งให้คนของเธอเสิร์ฟชาสองถ้วยจากนั้นก็ทักทายเย่เชียนและหันหลังกลับไปและเดินออกไป
ภายใต้หิมะที่กำลังตกหนักผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ประตูเพื่อมองออกไปข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อราวกับว่าเธอเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ที่กำลังรอสามีกลับมา ซึ่งในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้นำแก๊งเจ้าพ่อมาเฟียฝูชิงเซี่ยตงไป่แล้วยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เซี่ยจือยี่ต้องเรียนรู้และพี่ชายทั้งสามคนของเธอก็ไม่มีความตั้งใจที่จะรับช่วงต่อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงทำให้ภาระต่างๆ ที่หนักหน่วงทั้งหมดตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียวและในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเซี่ยตงไป่ก็ไม่ค่อยได้จัดการกับเรื่องของแก๊งมากนักและส่วนใหญ่เขาก็ให้เธอเป็นคนจัดการทั้งหมด อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงและกำลังอยู่ในช่วงแสวงหาความรักและเธอก็โหยหาความรักที่สวยงามมาโดยตลอดและดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอมาก
ตั้งแต่ที่ได้เห็นม่อหลงในแวบแรกเซี่ยจือยี่ก็รู้สึกใจเต้นอย่างรุนแรงซึ่งนี่เป็นพฤติกรรมของวัยหนุ่มสาวที่อ่อนไหวดั่งแม่น้ำและทะเลสาบ
จากระยะไกลเมื่อเห็นม่อหลงและชิงเฟิงมาหัวใจของเซี่ยจือยี่ก็สั่นสะท้านและในที่สุดก้อนหินในใจก็ถูกปล่อยลง ซึ่งโดยไม่คำนึงถึงหิมะที่กำลังตกหนักและลมหนาวที่พัดผ่านใดๆ เซี่ยจือยี่ก็รีบเข้าไปทักทายพวกเขาและถามด้วยความห่วงใยว่า “คุณเป็นอะไรมั้ย?”
ม่อหลงเองก็ตกใจเล็กน้อยและดูเหมือนจะแปลกใจไปกับความกระตือรือร้นของเซี่ยจือยี่ จากนั้นม่อหลงก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เอ่อ..ไม่..ไม่เป็นไร!”
ชิงเฟิงที่เห็นฉากนี้จากด้านข้างเขาก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มจากนั้นก็มองไปที่เซี่ยจือยี่แล้วก็ถามว่า “คุณเซี่ยครับ..เอ่อคุณนากาจิมะชินนะของฉันเธอกลับมาแล้วรึยัง?”
เซี่ยจือยี่ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและก็พูดว่า “อ๋อ..มีสาวสวยคนนึงกลับมาพร้อมคุณเย่ด้วยค่ะ..แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอคือคุณนากาจิมะชินนะที่คุณพูดถึงหรือเปล่า”
“ใช่ๆ ..นั่นแหละเธอ” ชิงเฟิงก็ฉีกยิ้ม “ฉันขอเข้าไปหานากาจิมะชินนะของฉันก่อนนะ..พวกคุณจีบกันต่อเถอะ” ในขณะที่ชิงเฟิงพูดเขาก็ตอกแขนใส่ม่อหลงเบาๆ และพูดว่า “พี่ชาย..สู้ๆ นะ” หลังจากพูดจบชิงเฟิงก็รีบเดินเข้าไปที่ห้องโถง
เซี่ยจือยี่ก็ยิ้มเบาๆ และไม่รู้สึกเขินอายใดๆ และเธอก็มองไปที่ม่อหลงและพูดว่า “เราก็เข้าไปกันเถอะ!”
“อืม..” ม่อหลงตอบอย่างไม้ตายซากจริงๆ ซึ่งดูแข็งทื่อและน่าเบื่อมากเกินไป
.
.
.
.
.
.
.