ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 318 เดินทางกลับประเทศจีน
ตอนที่ 318 เดินทางกลับประเทศจีน
สำหรับการแสดงออกที่กระตือรือร้นของเซี่ยจือยี่นั้นดูเหมือนว่าม่อหลงจะต่อต้านเพียงเล็กน้อยเพราะผู้ชายที่มีลักษณะนิสัยเหมือนต้นไม้คนนี้ดูเหมือนจะชอบความเงียบสงบอยู่เสมอ เพราะเขานั้นต้องการเพียงแค่ความเรียบง่ายและความสงบเพียงเท่านั้น
เย่เชียนก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับท่าทีการแสดงออกของเซี่ยตงไป่เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่คัดค้านหรือไม่เห็นด้วยในการที่เซี่ยจือยี่มีใจให้กับม่อหลงเช่นนี้เลย หรือนี่จะเป็นความใจกว้างจริงๆ หรือจะเป็นการที่เขาตามใจลูกๆ? หรือเขาพยายามที่จะแทรกแซงเขี้ยวหมาป่าด้วยวิธีนี้กัน? หรือจะสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและดึงม่อหลงมาอยู่ข้างตัวเอง? จะมีสิ่งอื่นอีกหรือไม่เย่เชียนก็ไม่แน่ใจ?
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนถึงยังไงเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวล นั่นก็เพราะว่าเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่านั้นก็มีชีวิตและจิตใจเป็นของตัวเอง ทั้งความเชื่อและความรักความผูกพันถึงยังไงพวกเขาต่างก็มีเป็นของตัวเองและถึงแม้ว่าจะเป็นในกรณีของจู้จือก็ตามแต่ถึงยังไงความคิดภายในจิตใจของจู้จือก็ยังคงจกรักภักดีและหวังดีต่อเขี้ยวหมาป่ามาเสมอ ซึ่งม่อหลงนั้นก็สามารถพูดได้เลยว่าความรู้สึกและความจงรักภักดีที่เขามีต่อเขี้ยวหมาป่านั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครคนไหนเสียอีก ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะหลอกใช้ม่อหลงเพื่อจัดการกับเขี้ยวหมาป่าเช่นนั้น และถ้าหากว่ามันเป็นเพียงแค่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับม่อหลงเพียงเท่านั้นล่ะก็เย่เชียนก็รู้สึกว่ามันอาจจะไม่เป็นผลดีนัก แต่ถึงยังไงท้ายที่สุดแล้วเซี่ยตงไป่ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการและแก๊งเจ้าพ่อมาเฟียฝูจิงก็จะถูกเขี้ยวหมาป่ากลืนกินไปทีละนิดหรือไม่เรื่องนั้นก็ไม่มีใครทราบได้
“ฉันซาบซึ้งในความเมตตาของคุณเซี่ยมาก..แต่ฉันยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ..ฉันขอโทษจริงๆ” ม่อหลงพูด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วม่อหลงนั้นก็ไม่ได้พูดโกหกและมันก็เป็นความจริงทั้งหมดเพราะหลังจากที่ออกจากประเทศจีนไปเป็นเวลานานนั้นนอกเหนือจากการค้นหาสาวกม่อจื๊อแล้วยังมีเรื่องของตู้เหลียงเฉิงอีกและยิ่งไปกว่านั้นสาวกม่อจื๊อก็ดูเหมือนจะห่างหายไปจากประเทศจีนแล้ว ดังนั้นม่อหลงจึงใช้ความพยายามอย่างมากมาโดยตลอดแต่ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ เลย
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยจือยี่นั้นสูญเสียอาการเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงมีความสุขเพราะหลังจากผ่านไปสองสามวันแล้วเซี่ยจือยี่ก็สามารถเข้าใจบุคลิกของม่อหลงได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนที่สามารถเปลี่ยนใจและเปลี่ยนผู้ชายคนนี้ได้
เซี่ยตงไป่ก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ในเมื่อน้องม่อหลงมีสิ่งที่ต้องไปทำฉันก็จะไม่รั้งเอาไว้..ไว้มีเวลาว่างๆ ในอนาคตก็ค่อยมาเยี่ยมกันบ้างก็แล้วกัน..ทิวทัศน์ของประเทศญี่ปุ่นน่ะยอดเยี่ยมมาก..ไว้พาพี่ๆ น้องๆ คนอื่นมาด้วยก็แล้วกัน..ฉันยินดีต้อนรับเสมอ”
“ได้ครับ!” ม่อหลงพูด
“เอาล่ะๆ ..เสี่ยวยี่..สั่งอาหารชุดใหญ่มา..ดื่มเหล้าเพื่ออุ่นร่างกายกันหน่อยในฤดูหนาวนี้..อู่เหลียงเย่จากจีนแท้ๆ ไม่ใช่ของญี่ปุ่นนะ..ฮ่าๆ!” เซี่ยตงไป่พูดด้วยรอยยิ้มและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เช้าวันรุ่งขึ้นสำนักข่าวและสื่อมวลชนทั้งหลายต่างก็ปั่นป่วนวุ่นวายกันทันทีซึ่งเป็นเรื่องที่สะเทือนวงการใต้ดินอย่างมากเมื่อสามผู้นำของแก๊งยากูซ่ายามากูจิถูกสังหารในชั่วข้ามคืนเช่นนั้น ส่วนทางด้านของเหล่าสมาชิกของแก๊งยามากุจิก็ออกสอดส่องกันไปทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมายและพยายามสืบหาเกี่ยวกับข่าวทั้งหมดและพยายามหาคนที่ฆ่าผู้นำของพวกเขาเหล่านั้น ส่วนทางด้านสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางของโตเกียวนั้นต่างก็ทำงานกันอย่างหนักหน่วงเนื่องจากสถานการณ์ของแก๊งยามากุจิเริ่มตึงเครียดขึ้นพวกเขาจึงต้องจัดแจงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มากขึ้นเพื่อรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยของเมือง
ส่วนทางด้านของแก๊งฝูชิงนั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือดำเนินการใหญ่ใดๆ พวกเขาเพียงส่งคนไปคอยสอดส่องและคุ้มกันย่านในไชน่าทาวน์ของเมืองให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งยามากุจิมาคุกคามคนจีน และเนื่องจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้นำทั้งสามของแก๊งยากูซ่ายามากุจินั้นภายในเครือข่ายของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยในตัวของผู้นำคนที่เหลืออยู่แต่ละคน และยกประเด็นเป็นความต้องการที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของแก๊งนั่นเองและถึงแม้ว่าจะมีการบังคับใช้มาตรการการแทรกแซงของกรมตำรวจส่วนกลางจนทำให้เมืองโตเกียวยังคงอยู่ในความสงบได้เช่นนี้ แต่ถึงยังไงทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าคราวนี้แก๊งยามากุจินั้นจะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนที่ไม่เคยมีมาอย่างแน่นอน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเย่เชียนนั้นไม่เคยออกไปไหนเลยเพราะเขานั้นเก็บตัวเองอยู่แต่ในห้องพักของโรงแรม โดยเอาแต่เขียนและวาดภาพลงบนกระดาษเปล่าๆ ด้วยปากกาและดินสอ ซึ่งนี่ก็คือแผนที่วิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างประเทศในประเทศจีนตลอดจนไปถึงเขตแดนที่อยู่ภายใต้เขี้ยวหมาป่าและแผนการต่างๆ ในอนาคตอย่างจริงจัง
ในฐานะผู้นำของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแล้วเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่ใครคิด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่เป็นใบเบิกทางที่ทำให้เย่เชียนสามารถผ่อนคลายกับสิ่งอื่นๆ ได้ และก็ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้เลยว่ากี่ค่ำกี่คืนแล้วที่เย่เชียนไม่หลับนอนเพียงเพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคตและวิสัยทัศน์ต่างๆ ที่เหมาะสมที่สุดและดีที่สุดในการดำเนินการ แต่ทว่าอย่างไรก็ตามบางครั้งแผนก็มักจะล้มเหลวได้ตามการเปลี่ยนแปลงและโชคชะตาแต่ถึงยังไงทิศทางโดยรวมก็อยู่ในมือของเย่เชียนที่เขากำหนดเสมอ
เราทุกคนจะต้องจ่ายไม่ว่าจะเป็นเงินหรือความคิดหรือสิ่งใดถึงยังไงเราทุกคนก็ต้องจ่ายเพื่อที่จะได้รับสิ่งนั้นมา นั่นก็เพราะว่าเราไม่สามารถรับสิ่งที่เราต้องการได้โดยอาศัยความบังเอิญได้เพียงเท่านั้น เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเย่เชียนก็พึ่งพาสติปัญญาของตัวเองและพี่น้องของเขาในการต่อสู้และฟ่าฟันสิ่งต่างๆ มาเสมอ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับประเทศแต่ทว่ามันก็ยากที่จะปกป้อง ซึ่งเย่เชียนนั้นเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงระมัดระวังสิ่งต่างๆ อยู่ในใจมาเสมอ
อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นก็มีหลักการของตัวเองและเขี้ยวหมาป่าเองก็มีหลักการเป็นของตัวเองเช่นกัน และถ้าหากใครละเมิดหลักการของเขาล่ะก็เย่เชียนก็จะไม่ยอมและถึงแม้ว่าเขาจะต้องใช้พลังของเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าจนหมดก็ตาม ถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู
เมื่อเทียบกับเย่เชียนแล้วทุกวันนี้ชิงเฟิงกับม่อหลงนั้นสบายกว่ามากแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ไม่เคยได้พูดหรือบ่นอะไรเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะฉะนั้นพวกเขาก็สมควรที่จะได้รับการผ่อนคลายอย่างเหมาะสมเพราะถ้าหากคนเราตึงเครียดมากเกินไปมันก็จะไม่ดีต่อตัวเอง
ในหลายวันที่ผ่านมานี้ชิงเฟิงก็คอยติดตามนากาจิมะชินนะเพื่อคอยช่วยจัดการเรื่องของกรงเล็บหมาป่า ในขณะที่ม่อหลงถูกเซี่ยจือยี่พาเดินทางไปเที่ยวทั่วเมืองโตเกียว เพราะท้ายที่สุดแล้วม่อหลงก็กำลังจะเดินทางกลับไปในไม่ช้าดังนั้นเซี่ยจือยี่จึงต้องการคว้าโอกาสสุดท้ายเพื่อที่เธอจะได้ฝากความประทับใจเอาไว้ในใจของม่อหลงให้ได้มากที่สุด ส่วนม่อหลงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกันเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ได้โง่จนไม่รู้อะไรเรื่องของความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนในสายตาของชิงเฟิงที่คิดว่าม่อหลงเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วม่อหลงนั้นเขาก็สามารถมองเห็นจิตใจและความรู้สึกของเซี่ยจือยี่ที่มีให้กับเขาได้เพียงแต่ว่าม่อหลงนั้นยังคงต่อต้านอยู่เล็กน้อย เพราะจากมุมมองของเขาแล้วความรู้สึกต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นความฟุ่มเฟือยเล็กน้อยและในอุดมคติที่เขายึดมั่นนั่นก็คือการตามหาสาวกของสำนักม่อจื๊อที่หลงเหลืออยู่ จากนั้นเขาก็จะสร้างสำนักม่อจื๊อขึ้นมาใหม่นั่นเอง
เมื่อจัดการเรื่องแผนการต่างๆ เสร็จแล้วเย่เชียนก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการไปหาซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพราะในเมื่อมาเยือนถึงประเทศญี่ปุ่นแล้วอย่างน้อยๆ เขาก็ต้องหาของฝากกลับไปให้หลินโรวโร่วและซ่งหลันบ้าง ซึ่งมันเป็นความตั้งใจของเย่เชียนแต่เย่เชียนก็รู้ดีว่าสำหรับหลินโรวโร่วและซ่งหลันแล้วมูลค่าของของขวัญนั้นมันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อยเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจและเจตนาที่ดีที่มอบให้กับเธอ
ไม่กี่วันต่อมาเมื่อสภาพอากาศที่โตเกียวนั้นไม่โหมกระหน่ำและรุนแรงมากนักเย่เชียน,ม่อหลงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ขึ้นเครื่องบินกลับไปที่ประเทศจีนส่วนชิงเฟิงก็ยังคงอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อเพื่อคอยช่วยเหลือนากาจิมะชินนะเพื่อดูแลจัดการหน่วยกรงเล็บหมาป่าและเตรียมพร้อมสำหรับเขี้ยวหมาป่าในการเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในอนาคต ซึ่งที่สนามบินนานาชาติโตเกียวนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินคนเดิมและหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ทักทายแม่ของเขาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มและหลังจากที่เจ้าหน้าที่คนนั้นได้ยินคำแปลของม่อหลงแล้วเขาก็ยังขอบคุณหวงฟู่เส้าเจี๋ยอีกครั้งอย่างเป็นมิตรและพูดว่ายินดีต้อนรับพวกเขากลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นอีก
เนื่องจากใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้วสนามบินจึงมีผู้คนหนาแน่นมากเพราะนั่นคือวันพิเศษของประเทศจีนเช่นกัน และในช่วงเวลานี้ของปีไม่ว่าจะเป็นสนามบินหรือสถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟนั้นต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนที่รอกลับบ้านจากการมีอาชีพที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับเหล่าแรงงานข้ามชาติและเด็กๆ และคนเฒ่าคนแก่ที่อพยพกันออกไปหาเลี้ยงชีพของตัวเอง
หนึ่งปีของการทำงานหนักนั้นมันไม่ใช่แค่การกลับบ้านระยะสั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หรือครึ่งเดือนเพียงเท่านั้นเพราะการรอที่จะกลับบ้านเพื่อไปพบพ่อแม่ที่แก่ชราและลูกๆ นั้นถึงแม้ว่าภายนอกจะเหน็ดเหนื่อยและขมขื่นสักแค่ไหนแต่ถึงยังไงอารมณ์และความรู้สึกในตอนได้กลับบ้านนั้นก็อิ่มเอมอย่างควบคุมไม่ได้และพวกเขาเหล่านั้นก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะได้กลับบ้านของตน
นี่เป็นความไม่สมดุลอย่างร้ายแรงในการพัฒนาภูมิภาคและภูมิศาสตร์ของประเทศจีน แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมีรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินเพิ่มมาก็ตามถึงยังไงมันก็ยังคงไม่เพียงพอสำหรับจำนวนประชากรของแผ่นดินใหญ่อยู่ดี
หลังจากที่เย่เชียน,ม่อหลงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยสามารถหลักตัวกันออกจากเทอร์มินอลของสนามบินได้แล้วพวกเขาก็ต้องรู้สึกเศร้าและขมขื่นที่พบว่าตอนนี้มันไม่มีรถแท็กซี่ว่างเลยสักคันและแม้แต่รถประจำทางก็แน่นไปด้วยผู้คน เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงต้องโทรไปหาซ่งหลันและขอให้เธอช่วยส่งคนมารับพวกเขาด้วยความสิ้นหวังอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะยังไม่ถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิก็ตามแต่ทั้งเมืองก็มีบรรยากาศปีใหม่อยู่แล้วซึ่งมีโคมไฟสีแดงถูกแขวนเอาไว้ตามร้านค้าริมถนนและเหล่าเด็กๆ ต่างก็มาจุดประทัดกันอย่างสนุกสนาน
ทั้งสามคนก็ยืนรออยู่ด้านนอกของสนามบินและไม่นานนักรถ BMW ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสามคนและซ่งหลันก็ลดกระจกรถลงมาและยิ้มให้เย่เชียนหลังจากนั้นก็พูดว่า “ขึ้นมาสิ!”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและเดินเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ ส่วนม่อและหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็เข้าไปนั่งที่เบาะหลังจากนั้นซ่งหลันก็สตาร์ทรถและขับออกไปจากสนามบินและเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “พี่หลันมารับด้วยตัวเองเลยหรอ..ดีใจจัง”
“จริงหรอ..แล้วนายจะตอบแทนฉันยังไงดีล่ะ..หืม” ซ่งหลันถามด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างมาก
เย่เชียนก็ยื่นของขวัญที่เตรียมเอาไว้ให้เธอและก็พูดว่า “ผมซื้อมาจากญี่ปุ่น..เพื่อขอบคุณพี่สาวที่แสนดีของผม”
ซ่งหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างมีความสุขเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่เธอได้รับของขวัญและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังเป็นคนให้เธออีกด้วย สำหรับเธอแล้วไม่ว่าของขวัญจะมีมูลค่าเท่าถึงยังไงเธอก็ไม่สนแต่ที่เธอมีความสุขมากเช่นนี้ก็เป็นเพราะความตั้งใจของเย่เชียนที่มีให้เธอ “นี่ๆ” ซ่งหลันหันหน้าไปหอมแก้มของเย่เชียนและเธอก็ประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเย่เชียนในทันทีและซ่งหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คิดแบบนี้เป็นด้วยสินะ”
ม่อหลงที่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วและเขาเองก็เคยเห็นอะไรที่เลวร้ายกว่านี้ระหว่างซ่งหลันกับเย่เชียนมามากมายเขาเลยไม่แปลกใจอะไรโดยธรรมชาติและเขาเพียงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างและทำเหมือนไม่เห็นอะไรเลย ส่วนหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นเป็นคนที่จิตวิญญาณและความเชื่อถูกทำลายลงโดยหลี่เหว่ยซึ่งตอนนี้หวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นก็กำลังฉีกยิ้มและจ้องมองพวกเขาทั้งสองด้วยความสนใจอย่างซุกซน
“ทำไมชิงเฟิงถึงไม่กลับมาด้วยล่ะ..แล้วก็ชินนะด้วย..ทำไมนายถึงไม่ให้เธอกลับมาด้วยล่ะ..ฉันกับเธอไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว” ซ่งหลันพูด
“อ้อใช่ๆ ..ถ้าพี่ไม่พูดผมก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย..ไอ้เจ้าชิงเฟิงน่ะขอให้ผมมาขอร้องพี่หลัน” เย่เชียนพูด
“ขอร้องอะไร? ..แปลกแหะ..ไอ้เด็กนั้นจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ” ซ่งหลันถามด้วยความประหลาดใจ “มันคืออะไร?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ชิงเฟิงขอให้พี่ช่วยพูดสิ่งดีๆ ต่อหน้าน้องสาวและขอให้พี่ช่วยเป็นแม่สื่อให้เขาหน่อยน่ะ”
“หือ? ..นี่นายกำลังจะบอกว่าชิงเฟิงตกหลุมรักชินนะอย่างงั้นเหรอ?” ซ่งหลันถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่! ..ไอ้เจ้าบ้านั่นมันตกหลุมรักนากาจิมะชินนะตั้งแต่เห็นครั้งแรกเลยล่ะ..เพราะงั้นผมก็เลยปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อ..และให้พวกเขาช่วยกันจัดการเรื่องต่างๆ ของดาร์คลิลลี่ต่อไปน่ะ” เย่เชียนพูด
ซ่งหลันก็พยักหน้าและพูดว่า “อืม..ชินนะก็ควรจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง..จะมีผู้หญิงคนไหนกันที่ไม่ปรารถนาอยากจะมีผู้ชายที่รักเธออย่างลึกซึ้งจริงใจและอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป” ในขณะที่ซ่งหลันพูดเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนราวกับว่าเธอจะสื่อถึงความหมายบางอย่าง
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและจู่ๆ ก็ถามออกมาอย่างตกตะลึงว่า “นี่พี่หลันเห็นด้วยที่จะให้น้องสาวแต่งงานจริงๆ ใช่มั้ย?”
“ห๊ะ! ..นายหมายความว่าไง?” ซ่งหลันไม่ได้ตอบคำถามของเย่เชียนเพียงจ้องเขม็งไปที่เย่เชียน
“โถ่อาจารย์! ..ทำไมอาจารย์ถึงได้เซ่อซ่าขนาดนี้..นี่อาจารย์ไม่รู้เลยเหรอว่าพี่สาวน่ะอยากให้อาจารย์แต่งงานกับเธอและรักเธอในฐานะภรรยา!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยที่กำลังเกาะเบาะหลังอยู่ก็ขัดจังหวะเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อและกระตือรือร้น
.
.
.
.
.
.
.