ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 319 ความอ่อนโยนไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนที่ 319 ความอ่อนโยนไม่มีที่สิ้นสุด
สายตาของหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นจดจ่ออยู่กับพวกเขาสองคนตรงหน้าอย่างมากซึ่งถ้าเป็นพี่น้องเขี้ยวหมาป่าคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็คงจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรเลยในตอนนี้ เพราะทุกๆ ครั้งที่เย่เชียนกับซ่งหลันพูดด้วยถ้อยคำหวานๆ ใส่กันแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็มักจะหันหน้าหนีแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยินสิ่งต่างๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตน เพราะเรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าไม่แทรกแซงและก้าวก่ายใดๆ
“ถ้านายไม่พูดก็ไม่มีใครด่านายว่าโง่หรอกนะ” เย่เชียนหันหน้ากลับไปมองหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่กำลังฉีกยิ้มอยู่หลังจากนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็ปิดปากลงไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งหลันเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีกต่อไปเพราะไม่ว่าเย่เชียนจะคิดอะไรอยู่ในใจของเขาก็ตามแต่ตอนนี้แค่นี้เธอก็มีความสุขมากแล้ว เพราะถ้าหากเธอยังคงดื้อรั้นหรือเอาแต่ใจมากเกินไปก็มีแต่จะพลักไสเย่เชียนให้ออกห่างจากเธอมากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อตระหนักถึงการที่เย่เชียนซื้อของขวัญให้ตัวเองเช่นนี้แล้วซ่งหลันเธอก็รู้ดีว่าเธอนั้นได้ก้าวเข้าไปสู่ความสำเร็จในหัวใจของเย่เชียนในระดับหนึ่งแล้วและเธอก็สลักอยู่ในใจของเย่เชียนไปแล้ว ซึ่งปัญหาในตอนนี้ก็คือเวลาเพียงเท่านั้น
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก..เท่าที่ฉันเห็นมาชิงเฟิงน่ะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรอก..เขาเก่งพอที่จะมัดใจน้องสาวของฉันที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อนได้ด้วยวิธีการที่ขี้เล่นของเจ้าเด็กนั่นน่ะ” ซ่งหลันพูด
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นั่นสินะ..เรื่องแบบนี้ชิงเฟิงมันเก่งจริงๆ ..แต่ถึงยังไงก็สู้หลี่เหว่ยไม่ได้อยู่ดี..ฮ่าๆ”
“มีแต่นายแหละที่เหมือนท่อนไม้ตายซาก!” ซ่งหลันตะคอกเย่เชียนแล้วหัวเราะเบาๆ
“ไม่ใช่ผมนะ! ..พี่ม่อหลงนู่น..เขานั่นแหละเป็นท่อนไม้จริงๆ ..สาวสวยอุตส่าห์เข้ามาหาเขาแต่เขากลับผลักไสเธอ” เย่เชียนพูดไปยิ้มไปพลางหันไปมองม่อหลงอย่างซุกซน
“โอ้โห! ..ไปญี่ปุ่นคราวนี้ได้อะไรกลับมากันเยอะเลยเนอะ..นี่ม่อหลงมีแฟนกับเขาบ้างแล้วเหรอเนี่ย?” ซ่งหลันรู้สึกแปลกใจอย่างมากเพราะเธอนั้นคลุกคลีอยู่กับเขี้ยวหมาป่ามานานแล้วและเธอก็รู้เกี่ยวกับบุคลิกและนิสัยของม่อหลงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างมากที่คนอย่างม่อหลงที่มักจะเย็นชาและสงบเสงี่ยมอยู่เสมอจะแสดงออกถึงความรู้สึกรักใคร่เหมือนคนอื่นๆ
“พี่หลันอย่าไปฟังบอสเลย” ม่อหลงยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูด แต่ทว่าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกหวานๆ ในใจของเขาผุดขึ้นมา
“เอาหน่าๆ ..ไม่มีอะไรต้องอายหรอกม่อหลง..ผู้ชายน่ะต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึก..ยังไงเราก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว” ซ่งหลันพูด
“เอ่อ..อ่าห๊ะ!” ม่อหลงตอบอย่างประหม่าโดยสายตาของเขานั้นหันออกไปทางนอกหน้าต่างรถและจู่ๆ ก็มีใบหน้าของเซี่ยจือยี่ปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจของเขา
“นี่ๆ เจ้าน้องชายที่แสนดีของฉัน..ทั้งชิงเฟิงทั้งม่อหลงต่างก็พบรักที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้กันทั้งนั้น..แล้วนายล่ะ? ..นายไม่มีกับเขาบ้างหรอ..หืม?” ซ่งหลันแกล้งถามอย่างซุกซน
“ไม่ๆ ..ไม่มีเลย..ผมเป็นคนดีและซื่อสัตย์และบริสุทธิ์พี่ก็รู้..แล้วผมจะไปเป็นเหมือนพวกเขาได้ยังไง..ทั้งๆ ที่ไปทำงานไปปฏิบัติการกันแท้ๆ แต่กลับหมกมุ่นกันแต่เรื่องส่วนตัว..นี่ผมยังพิจารณาอยู่เลยเนี่ยว่าจะหักค่าจ้างของพวกเขาดีมั้ย! ..ฮ่าๆ” เย่เชียนพูดหยอกล้อ
“นายเนี่ยนะ! ..หึ..ฉันไม่เชื่อหรอก” ซ่งหลันแสยะยิ้มอย่างมีเสน่ห์
เย่เชียนก็หัวเราะแห้งๆ และเปลี่ยนประเด็นถามว่า “พี่หลันเรื่องกองทุนเป็นไงบ้าง?”
“โรวเร่วเก่งมาก..เรื่องต่างๆ ของกองทุนเธอจัดการได้ดีมาก..แววตาของนายเนี่ยช่างเฉียบคมจริงๆ ..ผู้หญิงทุกคนของนายเนี่ยช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟจริงๆ” ซ่งหลันพูดอย่างอิจฉาเล็กน้อย
“พี่ก็พูดเกินไป..ฮ่าฮ่า!” เย่เชียนก็หัวเราะกลบเกลื่อน
“โรวโร่วบอกว่ากองทุนช่วยการศึกษาและนักเรียนจะแยกกันและเธอก็เตรียมงานเบื้องต้นเอาไว้เกือบหมดแล้ว..การสั่งผลิตชุดและเครื่องแต่งกายของนักเรียนก็เริ่มดำเนิการแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา..แต่โรวโร่วบอกว่าเธอต้องรอให้นายกลับมาตัดริบบิ้นและรอให้นายมาแสดงความคิดเห็นก่อน..เรื่องชื่อของกองทุนและโครงการน่ะ” ซ่งหลันพูดต่อ “โรวโร่วเธอได้ระดมทุนสนับสนุนจำนวนมากไปแล้ว..แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอโน้มน้าวพวกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขี้เหนียวเหล่านั้นมาสมทบทุนด้วยอย่างไม่เห็นแก่ตัวได้ยังไง”
“ให้ผมไปตัดริบบิ้นหรอ..ไม่ต้องๆ!” เย่เชียนพูด
“นายเป็นCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนะ..คนดีที่ทำความดีก็สมควรที่จะให้ผู้คนจดจำชื่อของนายสิ..และด้วยสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ทำร้ายแผนการต่างๆ ของนายในอนาคตอีกด้วย..ฉันคิดว่าโรวโร่วน่ะเธอตั้งใจรอให้นายกลับมาก่อนและไปตัดริบบิ้นเริ่มโครงการ..นั่นก็หมายความว่าถึงนายจะคิดชื่อไม่ออกก็ตามแต่ยังไงนายก็ต้องไปตัดริบบิ้นเริ่มโครงการด้วยตัวเอง” ซ่งหลันพูด
เย่เชียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและก็พยักหน้าและพูดว่า “นั่นเหมือนบังคับกันเลยนี่หน่า” ก่อนหน้านี้เย่เชียนนั้นก็ยังคงต้องการปกปิดตัวตนของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้คนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติรู้แต่ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่สามารถปิดบังคนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติได้แล้วเพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดอีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้นหูวเค่อเองก็ยังมอบใบเบิกทางที่รุ่งโรจน์ให้กับเขาแล้วด้วยเพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการปูทางให้ตัวเองก้าวข้ามสิ่งต่างๆ และเชื่อมต่อกับรัฐบาลกลางเช่นนั้น ซึ่งนี่มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือการกวาดล้างใดๆ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการทำให้รัฐบาลกลางเห็นความจริงใจและความรักชาติของเขา และกองทุนช่วยเหลือนักเรียนเหล่านั้นก็มีไว้สำหรับนักเรียนที่ยากจนและยากไร้เช่นกันไม่ได้มีประสงค์อื่นแอบแฝงแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าความเป็นจริงแล้วเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดที่จะทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเสแสร้งเพื่อแสวงหาชื่อเสียงแต่อย่างใด
“จะไปที่บริษัทหรือจะกลับบ้าน?” ซองหลันถาม
“เดี๋ยวพี่หลันจอดตรงสี่แยกข้างหน้าก็ได้ครับ..ผมกับเส้าเจี๋ยจะกลับไปที่บริษัทไอร่อนบลัด” ม่อหลงพูด
“ตอนนี้จะไปโบกเรียกแท็กซี่ที่ไหนได้..เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” ซ่งหลันพูด
หลังจากนั้นไม่นานซ่งหลันก็ขับรถไปส่งม่อหลงกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยที่หน้าบริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัด จากนั้นซ่งหลันก็พาเย่เชียนกลับไปที่สำนักงานใหญ่เครือน่านฟ้ากรุ๊ป นั่นก็เพราะว่าซ่งหลันรู้อยู่แก่ใจและรู้ดีว่าเย่เชียนนั้นอยากจะไปเจอหน้าหลินโรวโร่วมากแค่ไหนและถึงแม้ว่าเธอจะขี้หึงและหวงเย่เชียนมากแค่ไหนก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็เป็นคนที่ใจกว้างและเธอก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
การไม่ก้าวก่ายหรือไม่เข้าไปแทรกแซงนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าซ่งหลันจะไม่ได้หึงหรือไม่ได้หวงแต่อย่างใด หลังจากนั้นซ่งหลันก็พาเย่เชียนเข้าไปในสำนักงานใหญ่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปและซ่งหลันและเย่เชียนก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนและเมื่อถึงชั้น 4แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออกและซ่งหลันก็ชี้ไปข้างนอกและพูดว่า “นี่คือออฟฟิศของโรวโร่ว..ฝ่ายที่ดูแลกองทุนทั้งหมดอยู่ที่ชั้นนี้..นายไปเถอะ”
แน่นอนว่าเย่เชียนเองนั้นก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอิจฉาและความหึงหวงในใจของซ่งหลัน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขอโทษและจับมือของซ่งหลันเอาไว้แล้วพูดว่า “พี่หลัน..คืนนี้ผมจะไปกินมื้อเย็นกับพี่นะ”
ในทันใดนั้นหัวใจของซ่งหลันก็สั่นสะท้านและคำใบ้ของความหวานในหัวใจก็เอ่อล้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยิ้มอ่อนๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไรๆ ..เย็นนี้ฉันมีธุระ..นายไปกับโรวโร่วเถอะ..เธอคงจะเหนื่อยมากสำหรับการจัดเตรียมเรื่องเงินทุนในวันนี้..นายเองก็เหมือนกัน..ฉันไม่เป็นไร”
ในเรื่องแบบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ใจกว้างและทำเหมือนซ่งหลันได้แบบนี้อีกแล้ว ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าซ่งหลันนั้นยอดเยี่ยมและดีเลิศและเพียบพร้อมกว่าผู้หญิงคนไหนๆ อย่างแน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอทำเพื่อเย่เชียนแล้วเธอที่เป็นถึงนักฆ่าแต่กลับต้องคอยช่วยเย่เชียนในการจัดการกับบริษัทและเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในหลายๆ ภาษาและเรียนรู้การบริหารจัดการและเรื่องของการเงินและด้านต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลแล้วความเจ็บปวดในเรื่องนี้นั้นมันก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผ่านมา ท้ายที่สุดแล้วประโยคประโยคเดียวก็สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจนได้
“พี่หลัน..ในอนาคตพี่ต้องเป็นภรรยาที่ดีที่สุดในโลกแน่นอน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายก็รู้อยู่แล้วหนิ!” ซ่งหลันสบตากับเย่เชียนอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเธอก็พูดว่า “ไปเถอะๆ ..อย่าทำตัวอืดอาดยืดยาดเลย” หลังจากนั้นเธอก็กำลังจะทำท่าเตะเย่เชียนและเย่เชียนก็หัวเราะและรีบวิ่งออกจากลิฟต์ไปอย่างซุกซน
ตำแหน่งปัจจุบันของหลินโรวโร่วคือผู้จัดการโครงการและกองทุนบรรเทาทุกข์ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปซึ่งกองทุนนี้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ มากมายรวมถึงกองทุนนักเรียนและกองทุนบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ และกองทุนสนับสนุนด้านชีวิตคู่และด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นก็ได้จงใจแยกกองทุนช่วยเหลือนักเรียนออกจากกองทุนส่วนใหญ่เพื่อที่จะสามารถดูแลและจัดการได้อย่างดียิ่งขึ้น เย่เชียนนั้นมาที่นี่อย่างหดหู่ใจเพราะเขานั้นรู้ดีถึงความเจ็บปวดที่ไม่มีหนังสือเอาไว้อ่านตอนที่เขายังเป็นเด็กซึ่งเย่เชียนนั้นก็อยากที่จะเรียนหนังสือมาโดยแต่ทว่าพ่อของเขาก็ยากจนเขาจึงต้องจำใจลาออกจากโรงเรียนมาเพื่อช่วยพ่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัวของเขา
เมื่อเดินตรงไปที่ห้องของผู้จัดการแล้วเย่เชียนก็เคาะประตูและหลังจากนั้นเสียงของหลินโรวโร่วก็ดังขึ้น “เข้ามาได้เลยค่ะ!”
เย่เชียนก็เปิดประตูเบาๆ และเดินเข้าไปและเห็นว่าหลินโรวโร่วนั้นกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังเขียนหนังสืออยู่อย่างจริงจังที่โต๊ะโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองแต่อย่างใด เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็เดินเข้าไปเบาๆ และไปอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของเธอและนั่งลงโดยไม่พูดไม่จาอะไรใดๆ เพียงนั่งเท้าคางและคอยเฝ้ามองเธออยู่อย่างเงียบๆ
ผู้ชายที่จริงจังในการจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ นั้นช่างดูมีเสน่ห์อย่างมากและเมื่อเห็นความจริงจังของหลินโรวโร่วในการทำงานแล้วเย่เชียนก็รู้สึกว่านับวันผู้หญิงคนนี้ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็ดูมีเสน่ห์ที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก
ผ่านไปสักพักหนึ่งหลินโรวโร่วก็รู้สึกประหลาดใจเพราะเมื่อครู่นี้มีเสียงเคาะประตูแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาอีกเป็นเวลานานและเธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจเพราะในทันใดนั้นเธอก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้าเธอจนหลินโรวโร่วนั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมากและดีใจอย่างมากเช่นกันจนรอยยิ้มที่ดูมีความสุขก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอและเธอก็พูดว่า “นี่คุณกลับมาเมื่อไหร่กันเนี่ย..แล้วทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“ก็ผมอยากทำให้คุณประหลาดใจไงล่ะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมคุณถึงไม่เข้ามาโดยไม่พูดไม่จาเลยล่ะ..คุณเกือบจะทำให้ฉันหัวใจวายตายแล้วนะ” หลินโรวโร่วจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูดอย่างอ่อนหวาน
“ก็ผมเห็นว่าคุณกำลังจดจ่ออยู่กับงาน..ผมเลยไม่อยากไปรบกวนคุณ” เย่เชียนพูดขณะที่เขายื่นมือออกมาและลูบผมของหลินโรวโร่วเบาๆ “โรวโร่ว..ดูคุณเหนื่อยมากเลยนะ”
หลินโรวโร่วจับมือของเย่เชียนมาลูบแก้มของเธออย่างช้าๆ และพูดว่า “ฉันยังไม่ค่อยคุ้นเคยน่ะ..แรกๆ ก็เงี้ยแหละ..เพราะงั้นต้องทำความคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ..แต่ถึงยังไงฉันก็มีความสุขมาก”
“แต่พอเห็นคุณเหนื่อยขนาดนี้แล้ว..ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย” เย่เชียนพูด
“ไม่ต้องห่วงนะ..เดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีขึ้น” หลินโรวโร่วพูดด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน “อ้อ..กองทุนนักเรียนที่คุณพูดถึงน่ะถูกแยกออกออกจากกองทุนส่วนใหญ่แล้ว..ฉันได้ติดต่อกับเหล่าหัวหน้าองค์กรหลายๆ แห่งในเมืองเซี่ยงไฮ้แล้ว..พวกเขาทั้งหมดก็ยินดีที่จะบริจาคทุนและสมทบทุนด้วยส่วนหนึ่ง..ส่วนชื่อโครงการกับกองทุนน่ะ..ฉันยังรอให้คุณคิดอยู่นะ..คุณจะใช้ชื่ออะไรหรอ”
“อืม..ขอคิดแป๊บนึง” เย่เชียนพูดขณะที่เขายืนขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของหลินโรวโร่วและนั่งลงบนพนักแขนของเก้าอี้ “ผมคิดว่าควรจะชื่อ..กองทุนโรวโร่ว”
หลินโรวโร่วจ้องเขม็งเย่เชียนและพูดว่า “โถ่..มันน่าเกลียดมาก”
“ห๊ะ..นี่คุณกล้าพูดว่าชื่อของคุณน่าเกลียดด้วยหรอ..เอ่ออันที่จริงผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันฮ่าๆ” เย่เชียนพูดแกล้งหยอกล้อหลินโรวโร่ว
“ไม่ๆ ..ที่ฉันบอกว่ามันน่าเกลียดน่ะ..ฉันหมายความว่าถ้าชื่อของฉันไปเป็นชื่อของทุนมันก็จะดูน่าเกลียดน่ะ” หลินโรวโร่วทุบตีเย่เชียนเบาๆ และพูดว่า “อีกอย่างกองทุนนี้น่ะไม่ได้เป็นของฉันแค่คนเดียวนะ..แล้วแบบนี้จะไปใช้ชื่อของฉันได้ยังไง? ..นั่นมันก็เหมือนกับว่าฉันกำลังพยายามจะมีชื่อเสียงในอนาคตไม่ใช่หรอ?”
“ใครจะกล้าพูดกับคุณแบบนั้น..เดี๋ยวผมจะไปจัดการเขาเอง” เย่เชียนพูดอย่างเคร่งขรึม
“คุณสามารถปิดปากของคนอื่นได้..แต่คุณไม่สามารถปิดกั้นความคิดของคนอื่นได้..และนอกจากนี้ในประเทศจีนก็มีจำนวนประชากรที่ตั้งหลายล้านคน..แล้วแบบนี้คุณจะสามารถจัดการกับพวกเขาทั้งหมดได้ยังไง?” หลินโรวโร่วหยอกล้อกลับและพูดว่า “เอาเถอะ..ลองคิดดูซิว่าจะใช่ชื่ออะไร”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขหลังจากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมคิดว่าเราน่าจะใช่ชื่อ..กองทุนแห่งอนาคต.. ดีมั้ย..เพราะเด็กๆ เหล่านั้นน่ะคืออนาคตของประเทศและชื่อนี้ก็ยังสะท้อนถึงลักษณะและวัตถุประสงค์ของกองทุนอีกด้วย”
.
.
.
.
.
.
.