ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 329 ความแค้นของหลินยี่
ตอนที่ 329 ความแค้นของหลินยี่
“พี่เขย! ..ผม..ผมไปฆ่าคน!” ในขณะที่เย่เชียนกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องพักของโรงแรมนั้นจู่ๆ หลินยี่ก็เปิดประตูเข้ามาและพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกและกระวนกระวายอย่างมาก ส่วนหลินโรวโร่วนั้นเธอเดินทางกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน
เย่เชียนก็ผงะไปพักหนึ่งและบอกหลินยี่ให้นั่งลงก่อนและเย่เชียนก็ชงชาแล้วยื่นให้เขาจากนั้นก็พูดว่า “เดี๋ยวๆ ..ใจเย็นๆ ..ค่อยๆ พูดช้าๆ ..มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ผม…วันนี้ผมไปหาหลี่ลู่หลานมาและเห็นเธอกับเสี่ยวเจี๋ยกำลังกินข้าวด้วยกันอยู่..ผมก็เลยวิ่งเข้าไปถามว่ามันยังไงกันแน่..แต่ไม่เพียงแค่เธอไม่แยแสผมเพราะเธอยังทำให้ผมอับอายอีกด้วย..และเสี่ยวเจี๋ยกับผมก็มีปากเสียงกันและผมก็โกรธมากเลยหยิบมีดไปแทงแต่มันพลาดไปโดนหลี่ลู่หลานน่ะครับ” หลินยี่พูดด้วยความตื่นตระหนกและตกใจ
เย่เชียนก็ถอนหายใจและพูดว่า “เมื่อสองวันก่อนฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันมีตั้งหลายวิธีที่จะจัดการน่ะ..แล้วทำไมนายถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“ก็..ตอนนั้นผมโมโหมากน่ะ..ผมห้ามตัวเองไม่อยู่ผมขาดสติไปจริงๆ ..พี่เขยผมจะทำยังไงดี?” ร่างกายของหลินยี่สั่นสะท้านไปทั้งตัว คนที่มักจะหยิ่งผยองและเกรี้ยวกราดมาตลอดคนนี้เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวเช่นการฆ่าคนแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะกลัวและตื่นตระหนกเช่นนี้
“อย่าเพิ่งคิดมาก..มันอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดก็ได้” เย่เชียนพยายามปลอบใจเขา “บอกลุงไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปรึยัง?”
“ไม่ๆ ..ผมจะกล้าไปบอกเขาได้ที่ไหน..ถ้าผมบอกเขาก็คงจะจับผมไปที่สถานีตำรวจโดยไม่ลังเลแน่นอน” หลินยี่พูด
“ด้วยตำแหน่งปัจจุบันของลุงไห่แล้วถึงแม้ว่าเขาอยากจะช่วยนายมากแค่ไหนก็ตาม..ถึงยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี..แล้วเสี่ยวเจี๋ยคนนั้นเป็นใคร?” เย่เชียนถาม
“เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเสี่ยวที่มีชื่อเสียงในเมืองหางโจว..และเขาก็คงจะไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความผมอย่างแน่นอน..เขาหาโอกาสที่จะกำจัดผมมาตั้งนานแล้ว..แล้วเขาก็คงจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน” ร่างกายของหลินยี่ก็ยังคงตัวสั่นและพูดด้วยความหวาดกลัว
เย่เชียนก็ตบไหล่เขาเบาๆ และถามต่อไปว่า “อย่ากังวลไปเลย..บางทีนายอาจจะระแวงไปเอง..นายอาจจะไม่ได้ฆ่าหลี่ลู่หลานก็ได้..เอาเถอะ..ถึงแม้ว่าหลี่ลู่หลานจะตายไปถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร..ไม่ต้องห่วง..นายแค่บอกฉันมาว่ามีใครที่เห็นเหตุการณ์อีกนอกจากเสี่ยวเจี๋ย”
“บริกรในโรงแรมและผู้ช่วยของหลี่ลู่หลานน่ะ” หลินยี่ตอบ
การแก้ไขปัญหานี้นั้นแตกต่างจากการกวาดล้างตงเซียงกรุ๊ปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเรื่องนี้อาจง่ายกว่าแต่ก็ซับซ้อนกว่ามากเช่นกันเพราะมันมีหลายองค์ประกอบที่จะต้องทราบและเนื่องจากปัญหานี้มันจะส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานของหลินยี่ในอนาคต ดังนั้นจึงต้องทำให้ถูกต้องและถูกวิธี เมื่อเป็นเช่นนี้คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นและความคิดต่างๆ ก็เริ่มแวบเข้ามาในหัวสมองของเขาเรื่อยๆ
หลินยี่ก็จ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างเคว้งคว้างและไม่กล้าเข้าไปรบกวนความคิดของเย่เชียนซึ่งหลินยี่ก็ทำได้เพียงนั่งมองด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกและหมดหนทาง
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาหลี่จื้อเทียนและบอกเรื่องของหลินยี่อย่างตรงไปตรงมาและขอให้หลี่จื้อเทียนช่วยติดต่อพี่ใหญ่ของเขาในเมืองหางโจวและบอกถึงเรื่องนี้ ซึ่งหลี่จื้อเทียนนั้นก็ตกลงตามธรรมชาติและไม่ลังเลใดๆ และทำให้เย่เชียนรู้สึกโล่งใจเพราะมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเขา และตราบใดที่เป็นเย่เชียนแล้วหลี่จื้อเทียนนั้นก็เชื่อว่าเรื่องต่างๆ ก็จะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
เย่เชียนก็ตอบขอบคุณด้วยรอยยิ้มและแลกเปลี่ยนคำพูดกับหลี่จื้อเทียนเล็กน้อยหลังจากนั้นเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นเย่เชียนก็โทรไปหาแจ็คเพื่อบอกให้เขาใช้ทักษะการแฮ็คของเขาเพื่อเข้าไปในระบบของหน่วยข่าวกรองของประเทศเพื่อแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลปลอม ซึ่งสำหรับแจ็คแล้วเรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายและเขาก็ตอบตกลงอย่างง่ายๆ
หลังจากที่ทุกอย่างเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้วเย่เชียนก็วางโทรศัพท์ไปเพราะที่เหลือเขานั้นต้องไปจัดการด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเย่เชียนก็ตบบ่าของหลินยี่เบาๆ และพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกก่อน..นายก็อยู่ในห้องและอย่าออกไปไหนนะรู้มั้ย? ..ถ้านายถูกจับไปที่สถานีตำรวจมันไม่เป็นอะไรก็จริงแต่มันจะทำให้นายเสียประวัติและอนาคตของนายก็จะพัง”
ในขณะนี้หลินยี่ที่กำลังตื่นตระหนกตกใจอยู่เขาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ในขณะที่เย่เชียนออกมาจากโรงแรมจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นและเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของหลินไห่นั่นเอง ซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และรับสายทันที “ลุงไห่มีอะไรหรอครับ?” เย่เชียนถาม
“เสี่ยวเย่! ..หลินยี่ไปหาเธอหรือเปล่า?” หลินไห่ถาม
“เอ่อใช่ครับ..หลินยี่อยู่ที่นี่กับผม” เย่เชียนก็ตอบตามความเป็นจริง
“เธอเฝ้าเขาเอาไว้ก่อนนะและบอกที่อยู่มา..เดี๋ยวฉันจะให้ตำรวจไปรับเขา!” น้ำเสียงของหลินไห่มีร่องรอยของความเกลียดชังและไม่สบอารมณ์อย่างมาก และแล้วในที่สุดหลินไห่ก็รู้เรื่องนี้แล้วและตอนนี้หลินยี่ก็ไม่มีความหวังสำหรับอนาคตของเขาแล้วและถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลก็ตามแต่ถึงยังไงก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดาๆ เขาก็อาจจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้อยู่แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นคนดังในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียงและยังเป็นเชื้อสายชาวต่างชาติอีกด้วยเพราะฉะนั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป
“ลุงไห่ครับ..เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป..มันจะไม่มีอะไรร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอกครับ..เดี๋ยวผมจะจัดการเอง..ตอนนี้ปล่อยให้หลินยี่อยู่คนเดียวไปก่อนนะ..ผมสัญญาเลยว่าหลินยี่จะปลอดภัยและจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่ออนาคตของเขา..ลุงไฮ่คิดว่าไงครับ?” เย่เชียนพูด
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งหลินไฮ่ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และพูดว่า “เห้อ..เสี่ยวเย่ฉันฝากเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน..เขาเป็นความหวังของครอบครัวตระกูลหลินของเรา”
“ได้ครับ..ผมรู้ว่าต้องทำยังไง..เพราะงั้นคุณสามารถมั่นใจได้เลย” เย่เชียนพูดต่อ “อ้อลุงไห่ครับ..ตอนนี้หลี่ลู่หลานเธอเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ตอนนี้เธออยู่ในห้องผู้ป่วยหนักICUของโรงพยาบาล..และไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเธอจะรอดหรือเปล่าน่ะ..ฉันได้ยินมาว่าเธออาการหนักมาก..ฉันกลัวว่าวันนี้เธออาจจะไม่รอดน่ะสิ” หลินไห่พูด
“คนเราถ้าตายไปแล้วอะไรอะไรก็อาจจะดีขึ้นก็ได้” เย่เชียนพูด
หลินไห่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสายโทรศัพท์ก็ตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัดและเขาก็สับสนงุนงงอย่างมากว่าเย่เชียนพูดอะไรกันแน่
เย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไปโดยไม่ได้คุยอะไรกันเพิ่มเติม หลังจากนั้นไม่นานหลี่จื้อเทียนก็ยังโทรมาบอกด้วยว่าเขาได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆ เอาไว้แล้วและตอนนี้บุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหางโจวก็คือตู้ไห่และเหอจื้อ ซึ่งเย่เชียนก็ต้องไปหาพวกเขาเหล่านั้นโดยตรงเป็นการส่วนตัว
หลังจากที่เย่เชียนกล่าวขอบคุณหลี่จื้อเทียนแล้วเขาก็รีบออกไปซึ่งในไม่ช้าเขาก็มาถึงฟิตเนสคลับเย่เชียนก็รีบจอดรถแล้วรีบเดินเข้าไป ซึ่งฟิตเนสคลับแห่งนี้ตอนนี้ก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนและมีเด็กหนุ่มสองสามคนที่กำลังออกกำลังกายกันอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาเด็กหนุ่มผมยาวคนหนึ่งก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็กวักมือเรียกพรรคพวกของเขามารุมล้อมเย่เชียนเอาไว้
เด็กหนุ่มผมยาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกเย่เชียนสั่งสอนไปในเสี่ยวจู้โหลวในวันนั้นและใบหน้าของเขาก็ยังมีรอยฟกช้ำอยู่เล็กน้อย
“แกเนี่ยช่างกล้าหาญมากเลยนะที่กล้ามาหาฉันถึงที่แบบนี้..เอาล่ะวันนี้แกคงไม่สามารถกลับออกได้อีกแล้ว..เดี๋ยวฉันจะสะสางความแค้นในวันนั้นเอง!” เด็กหนุ่มผมยาวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “วันนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อชำระหนี้แค้น..ฉันมาที่นี่เพื่อมาหาพี่ใหญ่ของพวกนายคุณตู้ไห่น่ะ!”
“อย่างนายเนี่ยนะคิดจะมาหาพี่ใหญ่ของพวกเรา” เด็กหนุ่มผมยาวพูดอย่างเย้ยหยันและหลังจากที่เขาพูดจบเขาก็โบกมือและเด็กหนุ่มเหล่านั้นก็วิ่งเข้าไปหาเย่เชียน ซึ่งครั้งสุดท้ายเขาก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของเย่เชียนแล้วดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเป็นนกตัวแรกที่ถูกสอยร่วงอีกต่อไปและปล่อยให้คนอื่นๆ เข้าไปแทน
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะมาที่นี่เพื่อมาพบตู้ไห่ก็ตามแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะปล่อยให้เด็กหนุ่มเหล่านี้มาเย้ยหยันเขา หลังจากนั้นเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและปล่อยหมัดของเขาออกไปใส่เด็กหนุ่มทีละคนๆ จนล้มลงไปกับพื้นทีละคนๆ
ในเวลานี้ชายวัยกลางคนก็เดินออกมาจากข้างในและเมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้าแล้วทันใดนั้นเขาก็ตะโกนว่า “หยุด!” เขาคนนี้เป็นยักษ์ใหญ่รุ่นใหม่ที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างรวดเร็วหลังจากการตายของราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงในเมืองหางโจวนั้นอำนาจและอิทธิพลของตู้ไห่ก็พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วและเขาก็เข้าควบคุมธุรกิจบันเทิงไปเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองและนอกจากนี้เขาก็ยังควบคุมบ่อนพนันใต้ดินและเงินกู้นอกระบบอีกด้วย
เมื่อเสียงของตู้ไห่จบลงเด็กหนุ่มเหล่านั้นก็นอนโอดครวญกันอยู่บนพื้นไปเสียแล้ว ซึ่งเด็กหนุ่มผมยาวก็รีบวิ่งไปที่ด้านข้างของตู้ไห่และพูดว่า “พี่ใหญ่ไห่ครับ..คนคนนี้แหละที่เขาทำร้ายผมครั้งที่แล้วและวันนี้เขาก็มาเพื่อที่จะทำร้ายพวกเราอีกครั้ง”
ตู้ไห่เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ว่า “น้องชาย..ฉันเข้าใจนะว่านายน่ะเก่ง..แต่นายก็ต้องรู้ด้วยว่าที่นี่เป็นที่ของใคร..และการที่นายมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาถึงถิ่นของตู้ไห่แบบนี้น่ะ..น้องชายเบื่อหน่ายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยเหรอ?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “อ้อคุณคือพี่ใหญ่ตู้ไห่ใช่มั้ย..ผมเย่เชียนครับ..คุณหลี่จื้อเทียนคงจะแจ้งให้พี่ใหญ่ทราบแล้วใช่มั้ยครับ?”
ตู้ไห่ก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัวและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยคงามตกตะลึงและพูดว่า “คุณ…คุณคือเย่เชียนเหรอ? ..เย่เชียนคนที่พิชิตเมืองหนานจิงและทำให้หงเหมินกรุ๊ปกับแก๊งชิงรวมกันเป็นหนึ่งเดียวที่เมืองเซี่ยงไฮ้น่ะเหรอ?”
“เหอะๆ ..พี่ใหญ่ก็พูดเกินไป..มันก็เป็นแค่ความโชคดีของผมน่ะที่ไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้นเอง” เย่เชียนพูดอย่างนอบน้อม
ด้วยเสียง “ผัวะ” ตู้ไห่ตบหน้าเด็กหนุ่มผมยาวแล้วตะโกนว่า “ไอ้เด็กนี่หนิ..พวกเอ็งตาบอดกันรึไงว่ะ..เขาไม่ใช่คนที่พวกเอ็งจะไปยุ่งด้วยได้เลย..รู้มั้ยเนี่ยว่าแค่เขาขยับนิ้วน่ะครอบครัวทั้งตระกูลของพวกเอ็งก็อาจจะหายสาบสูญไปได้เลย!”
เด็กหนุ่มผมยาวตกใจอย่างมากและเมื่อเขาได้ยินถึงตัวตนของเย่เชียนที่ตู้ไห่พูดในตอนนี้แล้วเขาก็เข่าทรุดลงไปโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้วที่ก่อนหน้านี้เย่เชียนพูดอย่างมั่นใจว่าแม้แต่ราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงก็ยังต้องหวาดกลัวเขา และการที่ได้ยินว่าเย่เชียนผู้นี้เป็นคนกวาดล้างแก๊งชิงผู้ยิ่งใหญ่และครอบครองหงเหมินกรุ๊ปที่รุ่งโรจน์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ได้เช่นนี้จะสามารถใช้คำๆ ไหนกับเขาได้บ้าง? ซึ่งพี่ใหญ่ที่ครอบครองธุรกิจใต้ดินและเหล่ามาเฟียของเมืองหางโจวอย่างตู้ไห่ของพวกนั้นก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับเย่เชียนผู้นี้ได้เลยเขาผู้นี้เป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริง ซึ่งการถูกตบหน้านั้นก็ถือว่าเบาอย่างมากแล้วและก็ถือว่าเขานั้นโชคดีอย่างมากเช่นกัน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ..คนที่ไม่รู้ย่อมไม่ผิด..ผมชอบนิสัยที่เกรี้ยวกราดของพวกเขามากฮ่าๆ!” เย่เชียนพูดอย่างง่ายๆ สบายๆ
ตู้ไห่เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยความรู้สึกขอโทษและตะโกนบอกเด็กหนุ่มผมยาวว่า “มันยังไม่สายเกินไปที่จะขอโทษหัวหน้าเย่นะ!” ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบุคคลที่สามารถรวมแก๊งชิงและหงเหมินเป็นหนึ่งได้นั้นจะต้องยิ่งใหญ่อย่างมากอยู่แล้วและยิ่งไปกว่านั้นเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่จื้อเทียนอีกด้วยและขนาดราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงยังต้องหวาดกลัวคนคนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงตู้ไห่เลยซึ่งเป็นธรรมดาที่ตู้ไห่จะเคารพเย่เชียน
“เด็กๆ พวกนี้มีตาหามีแววไม่..ผมหวังว่าหัวหน้าเย่จะให้อภัยพวกผมนะครับ..ในภายภาคหน้าเด็กตัวน้อยๆ อย่างพวกผมจะต้องชดใช้หนี้บุญคุณให้ท่านอย่างแน่นอน” เด็กหนุ่มผมยาวโค้งคำนับอย่างเคารพและแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมและจริงใจ
เย่เชียนก็ยื่นมือออกมาและส่งสัญญาณให้พวกเขาลุกขึ้นและพูดว่า “เอาหน่าๆ ..ก็พวกนายไม่รู้อะไรหนิ..เพราะงั้นพวกนายก็ไม่ผิดหรอก”
“หัวหน้าเย่เป็นคนที่ใจกว้างมาก..ฉันล่ะเคารพคนอย่างคุณจริงๆ” ตู้ไห่พูด “คุณเย่ได้โปรดไปดื่มชาแล้วคุยกันเถอะ”
.
.
.
.
.
.
.